บทที่ 31 ลูกผอมไปนะ (รีไรท์)
เสิ่นทิงหงกลับมาถึงบ้าน เสิ่นปี้เหลียนกำลังให้อาหารไก่อยู่หน้าบ้าน
ตอนที่ยังไม่แยกบ้าน ตามระเบียบแล้วแต่ละบ้านสามารถเลี้ยงไก่ได้ถึง 5 ตัว แต่หลังจากแยกบ้านแล้ว หนึ่งครอบครัวสามารถเลี้ยงได้ 2 ตัว แบบนี้จึงสามารถให้บ้านพ่อเฒ่าเลี้ยงเพิ่มได้ 1 ตัว
เพราะเรื่องของเสิ่นปี้เหลียนก่อนหน้านี้ทำให้บ้านใหญ่ต้องสูญเสียเงินไปก้อนหนึ่ง ทำให้ตอนนี้จางซู่ฉินยังโกรธลูกคนนี้ไม่หาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนั้นเสิ่นโหย่วเหวยออกไปสังสรรค์กับเพื่อนข้างนอก พอกลับมาก็พบแต่ละครอบครัวต่างแยกบ้านไปเรียบร้อยแล้ว และสาเหตุที่ต้องเสียเงินให้บ้านสามไปถึง 20 หยวนก็มาจากปัญหาของเสิ่นปี้เหลียน ทำให้เขาบันดาลโทสะจนลงมือทุบตีเสิ่นปี้เหลียนไปรอบหนึ่ง
เสิ่นต้าลี่และจางซู่ฉินเป็นจำพวกรักเอ็นดูลูกชายมากกว่า ตอนนี้เสิ่นโหย่วเหวยลงมือกับเสิ่นปี้เหลียน ถึงจะรั้ง ๆ เอาไว้บ้าง แต่เพราะในใจก็ขุ่นเคืองอยู่เหมือนกัน สุดท้ายจึงปล่อยเลยตามเลยตาม
ตอนนี้เสิ่นปี้เหลียนเกลียดเสิ่นทิงหงมาก ทำไมตอนนั้นถึงไม่ทำให้หล่อนตายตกไปเลยนะ!
ถ้าทำให้ตาย ๆ ไปได้ซะก็ดี ถูกตีก็ถูกตีไปแล้ว แต่ตอนนี้เห็นเสิ่นทิงหงอยู่ดีกินดี ใส่เสื้อผ้าสวยงามกลับมาจากโรงเรียน หน้าตาสะอาดสะอ้าน ในใจก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา
แต่ว่าเธอมีบทเรียนจากเรื่องก่อนแล้ว เสิ่นปี้เหลียนก็ไม่ใช่คนโง่ พอเห็นเสิ่นทิงหงก็ทำเสียงฟึดฟัดแล้วหันหลังเดินสะบัดก้นไปพร้อมกับอ่างใส่อาหารไก่
เสิ่นทิงหงได้แต่กรอกตามองบน หมดคำพูดกับญาติคนนี้จริง ๆ
เสิ่นทิงเหวินอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลยังไม่กลับมา เสิ่นทิงอู่ก็ออกไปลงนาอยู่ข้างนอก เสิ่นต้าเฉียงก็ไปคืนเกวียนควาย ที่บ้านจึงเหลือแค่หลิวเยว่กับเสิ่นทิงหงสองคนแม่ลูก
เธอกวาดสายตาสำรวจรอบ ๆ รอจนหลิวเยว่ออกไปเตรียมอาหารเย็นที่ห้องครัว ก็เข้าไปเอาเนื้อสัตว์สองชิ้นออกมาจากห้วงมิติพร้อมกับข้าวสารสองจิน
จากนั้นก็เดินไปที่เตาชั่วคราว
“แม่คะ มื้อเย็นพวกเรากินพวกนี้กันเถอะ”
เธอรู้ว่าคนในยุคสมัยนี้นิยมกินเนื้อติดมัน แต่ตัวเสิ่นทิงหงเองไม่ชอบกินเนื้อที่มีไขมันทั้งชิ้นแบบนั้นจึงหยิบหมูสามชั้นออกมาแทน
หลิวเยว่เห็นของที่ลูกสาวถืออยู่ในมือก็รู้สึกตกใจ
“ลูกไปเอาของดี ๆ พวกนี้มาจากที่ไหนเนี่ย?!”
อย่างไรของพวกนี้ต้องมีตั๋วแลกซื้อถึงจะซื้อได้ ต่อให้เธอจะให้เงินลูกสาวก่อนไปโรงเรียนถึง 5 หยวน แต่เรื่องตั๋วนั้นกลับเป็นไปไม่ได้
“มีเพื่อนร่วมชั้นที่คุ้นเคยกันคนหนึ่ง พ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการโรงงานเนื้อสัตว์ หนูขอให้เขาช่วยหาให้ค่ะ” เสิ่นทิงหงกุเรื่องบอกไป
ต่อให้ไปถามเสิ่นชิงชิง ก็พอหาเค้ามูลได้อยู่
“แบบนี้ไม่เท่ากับติดค้างน้ำใจคนอื่นหรือ เอาเงินไปซื้อของพวกนี้หมดแล้ว อยู่โรงเรียนลูกอยู่กินยังไงทั้งเดือน?”
พอคิดว่าลูกสาวตัวเองได้กินแต่พืชผักทั้งเดือนเพื่อซื้อของพวกนี้กลับมาให้ที่บ้าน หลิวเยว่ก็รู้สึกปวดใจแทน
เงิน 5 หยวนถึงจะมาก แต่ก็เป็นค่ากินอยู่ของลูกสาวเธอทั้งเดือนเลยนะ!
เสิ่นทิงหงรู้ดีว่าแม่ของตนเองคิดอะไรอยู่ เลยรีบเดินไปตรงหน้าหลิวเยว่แล้วหมุนตัวไปมาให้หลิวเยว่ดู
“แม่คะ หนูไม่ทำให้ตัวเองลำบากหรอก พวกนี้คือส่วนที่หนูค่อย ๆ เก็บสะสมไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ เอาไว้ฉลองหนูเรียนจบไง ต่อไปนี้หนูสามารถอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ที่บ้านได้แล้วนะคะ”
เมื่อหลิวเยว่ได้ฟัง ถึงจะรู้สึกว่าลูกตัวเองคงทนลำบากมาไม่น้อย แต่ก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน
พอคิดว่าต่อไปไม่ต้องทนคิดถึงลูกสาวเป็นเดือนแล้วหัวใจก็พลันดีอกดีใจ เธอเม้มปากแล้วพูดขึ้น
“ได้สิ วันนี้พวกเรามาส่องแสงให้ลูกสาวคนดีคนนี้กัน เอาเนื้อมาทำก่อนสักครึ่งจิน ส่วนที่เหลือแม่เก็บไว้ทำให้กินพรุ่งนี้นะ”
เสิ่นทิงหงรู้ดีว่าตอนนี้ไม่อาจเปลี่ยนใจหลิวเยว่ได้ในทันที แม้จะเป็นเนื้อสัตว์แค่ครึ่งจิน ก็ถือว่าแม่ของตนใจกว้างมากแล้ว
ก่อนหน้านี้มีเพียงแค่วันเกิดหรืองานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้กินเนื้อ สามารถทำให้หลิวเยว่ยอมเอาเนื้อครึ่งจินมาทำอาหารวันนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
จากนั้นเสิ่นทิงหงก็บอกว่าจะช่วยคุณแม่หุงข้าว หลิวเยว่รู้สึกตื้นตันใจจนพูดชมเสิ่นทิงหงออกมาหลายคำ
สัญชาตญาณความเป็นแม่บังเกิดเกล้าแรงมาก
เสิ่นทิงหงบอกว่าจะมาช่วยหุงข้าว หนึ่งก็เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานบ้านของแม่ อีกอย่างก็เพราะว่าแม่ของเธอคงยากจะหักใจใช้ข้าวสาร เธอจึงต้องชิงเป็นคนลงมือเอง
ตอนที่หลิวเยว่เข้ามาเห็นหม้อข้าวหม้อใหญ่ที่หุงใกล้เสร็จแล้ว
หลิวเยว่ “...”
แม้อยากจะพูดอะไรออกมาสักหน่อย ทว่ามันเป็นครั้งแรกที่ลูกสาวเข้าครัว อย่าเพิ่งไปทำลายความมั่นใจลูกเลย แค่ข้าวสารนิดเดียว นิดเดียวเองน่า…
เสิ่นทิงหงเห็นท่าทางทุกข์ระทมของหลิวเยว่ก็อดขำไม่ได้
ผ่านไปสักครู่ เสิ่นต้าเฉียงก็กลับมาถึงบ้าน เนื่องจากวันนี้ทั้งคู่ออกไปรับเสิ่นทิงหงจากโรงเรียน จึงทำการลางานไว้แล้ว
พอก้าวเท้าพ้นธรณีเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมฉุยของเนื้อ เตาชั่วคราวของพวกเขาสร้างขึ้นไว้ที่ลานหน้าประตูของบ้านสาม แค่เสิ่นต้าเฉียงมองมาก็เห็นเนื้อที่ถูกผัดอยู่ในกระทะได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่บ้านใหญ่ บ้านรองก็มองเห็นเช่นกัน
ตอนแรกเสิ่นทิงหงอยากจะลงมือทำด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าแม่เธอคงตัดใจใช้เครื่องปรุงไม่ลง แต่เตานี้ตั้งอยู่ที่ลานด้านหน้าอย่างโจ่งแจ้ง ถึงเธออยากจะลงมือเองสักหน่อยก็ทำไม่ได้ ก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ไป
“เมียจ๋า บ้านเราเอาเนื้อมาจากไหนน่ะ” เสิ่นต้าเฉียงถามขึ้นเสียงดังเมื่อเปิดประตูลานบ้านเข้ามา
หลิวเยว่สังเกตเห็นสายตาที่มองมาของอีกสองบ้าน จึงตั้งใจตอบกลับเสียงดังฟังชัด
“อ่อ ก็ลูกคนนี้น่ะสิ ให้เงินไปใช้ที่โรงเรียน แต่เด็กคนนี้กลับยอมทนอดมื้อกินมื้อ ประหยัดเงินเอาไว้ซื้อเนื้อกลับมาให้พวกเรา”
ถึงจะรู้ว่าคุณแม่ตั้งใจพูดให้อีกสองบ้านฟัง แต่เสิ่นทิงหงก็รู้สึกว่าแม่เธอออกจะพูดเกินไปหน่อย เธอออกจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ เหมือนคนที่ต้องอดมื้อกินมื้อเสียเมื่อไหร่เล่า!
วัตถุดิบสิ่งของทั้งหมดในห้วงมิติยังไม่ได้ถูกใช้สักอย่าง เพราะเธอต้องอยู่กับเสิ่นชิงชิงทั้งวัน กินข้าวก็กินด้วยกัน ทำให้ไม่มีเวลาว่างในระยะนี้เลย
ยกเว้นในตอนกลางคืนที่ตัวเองเข้าไปในห้วงมิติหยิบนมวัวมาดื่มเล็กน้อยแล้ว สิ่งของต่าง ๆ ในนั้นยังเหลืออีกมากโข
พอเสิ่นต้าเฉียงได้ยินก็รู้สึกปวดใจ ดึงให้เสิ่นทิงหงลุกขึ้น แล้วจับตัวลูกสาวหมุนไปมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตาคลอเบ้า
“ลูกพวกเราผอมไปจริง ๆ”
หลิวเยว่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เสิ่นทิงหง “...”
อู่อวิ๋นอิจฉาตาร้อน พวกเราแยกบ้านกันแล้ว เธอคิดว่าตอนนี้ตัวเองก็มีเงินแล้ว ไม่ได้มีชีวิตอัตคัดเหมือนเมื่อก่อน ถ้าอยากกินจริง ๆ จะไปซื้อมากินเองเมื่อไหร่ก็ได้
แต่บ้านรองมีเงิน ไม่ได้หมายความว่าบ้านใหญ่จะมีเงินเสียหน่อย ตอนนี้เงินที่ใช้สู่ขอภรรยาให้เสิ่นโหย่วเหวยก็ยังขาดอยู่ หลังจากจ่ายค่าสินสอดไปแล้ว เงินที่จะใช้ดำรงชีวิตยังแทบไม่มี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกินเนื้อเลย
ปกติพวกผู้หญิงต้องกลับบ้านมาก่อนเพื่อเตรียมทำอาหาร จางซู่ฉินได้แต่หัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อเห็นแต่ผักเละ ๆ ในกระทะตัวเอง จึงเริ่มทุบหม้อทุบชามระบายอารมณ์คุกรุ่น ปากแดกดันกระแหนะกระแหนไม่หยุด
“เอาเงินของคนอื่นไปใช้กินดีอยู่ดี ไม่กลัวข้าวติดคอรึไง! กินเข้าไปเถอะ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะกินคนไม่ได้เรื่องอย่างพวกแกเข้าไปบ้าง!”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว