บทที่ 10
หมาน้อย
ขบวนเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงของฮ่องเต้แห่งอาณาจักรหยาง ได้เดินทางผ่านพื้นดินที่แห้งแล้งยามเที่ยงวันที่มีแดดส่องแสงท้าทายลงมาตลอดเวลา แต่ด้วยความโชคดีของบุคคลสำคัญทั้งหลายที่รวมกันอยู่ในขบวนยาวแห่งนี้ทำให้ไม่ไกลนักมีป่าอยู่เบื้องหน้า เป็นตัวบอกพวกเขาทั้งหลายว่ากำลังจะได้พัก
ต้นขบวนในยามนี้ถูกนำด้วยองค์รัชทายาทหยางหงเยี่ยนและรองแม่ทัพกู่เว่ยเทียน ทั้งสองเทียบเคียงกันด้วยม้าอาชาหนึ่งขาวหนึ่งดำ สิ่งที่เหมือนกันคือสีหน้าที่เคร่งขรึมท่ามกลางอากาศร้อน จนทำให้เหงื่อเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลลงจากขมับของร่างองอาจทั้งคู่
ถัดมาไม่ไกลจากคนนำขบวนทั้งสองคือองค์ฮ่องเต้บนอาชาสีน้ำตาลแดงรายล้อมด้วยเหล่าองครักษ์ที่แต่งตัวมาครบพร้อมทั้งเกราะและอาวุธประหนึ่งว่าจะไปออกรบ
จนทำให้หญิงสาวผู้ที่ได้รับฉายาว่าโฉมงามนั่งอยู่ในเกี้ยวสีน้ำตาลอ่อนขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย กับเรื่องการคุมครองคนของที่แห่งนี้ ....รัชทายาทนำขบวนอกผายไหล่ผึงไม่มีองครักษ์มารายล้อม แต่ฮ่องเต้กลับถูกคุมกันแน่นหนาเสียงยิ่งกว่าโจรที่อยู่ท้ายขบวนเสียอีก
ส่วนตัวหยินหลินเองนั้น ในตอนนี้นางก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่ในเกี้ยว มีบางทีที่แอบเปิดผ้าตรงหน้าต่างออกไปชมทิวทัศน์ภายนอกแต่เมื่อเจอกับแสงแดดที่ส่องกระทบรูม่านตาก็ทำให้เลือกที่จะเลิกสนใจข้างนอกในทันที สิ่งที่ทำเป็นงานหลักในขณะนั่งเฉยๆ คือการลูบผ้าไหมสีน้ำตาลขาวที่ตนสวมใส่อยู่เล่นไปพลางๆ
เนื้อผ้าที่เนียนนุ่ม ยามลูบไล้ทำให้รู้สึกสบายดีจนอธิบายไม่ถูก
เพียงหนึ่งก้านธูป ขบวนก็พากันเดินทางมาถึงชายป่า ป่าแห่งนี้แม้จะดูแห้งแล้งแต่ยังพอมีร่มเงาและลมจากธรรมชาติอยู่บ้าง ทำให้อากาศไม่ร้อนเท่ากับเขตนอกป่า
เกี้ยวของหยินหลินถูกวางลงอย่างเบามือจนคนในเกี้ยวแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตนเองถูกวางลงแล้ว จนกระทั่งผ้าม่านสีขาวครีมถูกเปิดออกด้วยนายทหารสตินางจึงกลับมาอีกครั้ง แล้วออกจากเกี้ยวมาด้วยท่าทางไม่รีบร้อนก่อนจะเริ่มสังเกตสภาพรอบด้านตนเอง
เมื่อออกมายืนเต็มความสูงอีกครั้ง สิ่งแรกที่หยินหลินมักเห็นก่อนเสมอตลอดเวลาคือจินหมิง ในยามนี้องครักษ์สาวได้มีสีหน้าบูดบึ้งที่แต่เดิมก็เคร่งขรึมอยู่แล้ว ในยามนี้กลับดูดุดันมากกว่าเดิมเพียงเพราะเรื่องที่คุณหนูของตนได้ตัดสินใจหมั้นกับองค์รัชทายาทโดยที่นางไม่ได้รู้เรื่องมาก่อน
“เลิกทำหน้าบูดได้แล้ว ธรรมชาติจะแห้งเหี่ยวก็เพราะใบหน้าของเจ้าในตอนนี้เนี่ยแหละ” โฉมงามกล่าวขึ้นหลังจากที่แข่งกันจ้องตาอยู่พักใหญ่ ใบหน้าของนางในยามนี้ประดับด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่จินหมิงไม่อาจทำลายมันได้
“คุณหนูทราบหรือไม่ว่าในวังหลวงมันเป็นอย่างไร” จินหมิงกอดอก ในขณะที่ถามความเห็น นางแสดงท่าทางออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการกระทำครั้งนี้โดยเด็ดขาด
“ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าในที่แห่งนั้นมีการแก่งแย่งชิงดี แผ่นดีต่อให้สงบสักเพียงไรในวังหลวงก็มักจะเต็มไปด้วยไฟมรสุมมากเท่านั้น แต่ในกรณีของยุคนี้...ข้าคิดว่าเจ้าคิดมากเกินไป” หยินหลินตอบอย่างที่ตนคิด
ในประวัติศาสตร์ที่นางอ่านมา นางจำได้แม่นว่าไม่เคยมีราชวงศ์ใดที่เกี่ยวกับหยางจิ่นเหวย ไม่มีหุบเขาของนักฆ่าที่นางจากมา และแผ่นดินเองก็ดูจะสงบสุขไร้การรุกรานจากดินแดนอื่น มีเพียงโจรและกบฏบางตนเท่านั้นที่ก่อความวุ่นวายให้แก่แผ่นดินหยาง
เพราะคำว่าไม่รู้ทำให้นางไม่ตัดสินใจเรื่องราวภายในวังหลวงสักเท่าไหร่ เพราะบางทีมันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่จินหมิงหวาดระแวง
องครักษ์ในยามนี้เงียบกริบไปอีกครั้ง หยินหลินจึงได้โอกาสสำรวจรอบด้านเพื่อหาอะไรที่น่าตื่นตาให้ตนเอง แต่จนแล้วจนรอดดวงตาคมก็มองเห็นเพียงแค่หญ้าแห้งและต้นไม้ประปรายเต็มไปด้วยเหล่าทหารเท่านั้น
นางจึงเลือกที่จะหลับตาและพยายามเงี่ยหูฟังเสียงของธรรมชาติรอบกายแทน การทำแบบนี้มันทำให้นางรู้จุดยืนของผู้อื่นได้แม่นยำเสียยิ่งกว่าตาเห็น...
“โฮก...” เสียงครางแผ่นเบาอย่างทรมานของสัตว์ตนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู
หยินหลินลืมตาขึ้นทั้นทีที่ได้จับจุดของเจ้าสัตว์นั้นได้ ในใจของนางพลันเกิดความร้อนรนขึ้นมา ปกติแล้วนางเป็นคนรักสัตว์เกือบทุกชนิดและเพราะการที่ชอบทำให้กลายเป็นว่านางสามารถสนิทกับพวกมันได้ดีทีเดียว และเนื่องจากด้วยเหตุหลายประการ นางในยามที่ได้ยินเสียงสัตว์ร้องอย่างทรมานจึงรู้สึกร้อนรนแม้จะทราบสถานะตัวเองในตอนนี้ได้ว่าไม่อาจออกไปจากสายตาของจินหมิงได้
“ไปเอาน้ำมาให้ข้าหน่อยสิ” เสียงหวานเอ่ยสั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่แสดงท่าทางพิรุธออกมาให้จินหมิงจับผิดได้แม้แต่นิด
“คิดจะทำอะไรอีกเจ้าคะ” อีกฝ่ายระแวงถาม สีหน้าดูไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้คุณหนูของตนอยู่ลำพัง ยิ่งเหล่าทหารในตอนนี้กำลังไปรวมตัวเพื่อพักผ่อนกันนางเองก็ไม่อยากจะไปรบกวนมาเฝ้าคุณหนูตรงหน้าสักเท่าไหร่
“ข้านั่งรอเฉยๆ เลยก็ได้” ว่าแล้วนางก็นั่งลงบนโขดหินในทันที
“อย่าไปไหนนะเจ้าค่ะ” จินหมิงถอนหายใจยอมแพ้ ก่อนจะเดินจากไปยังกลุ่มคนเพื่อเอาน้ำมาให้คุณหนูตน
ฝ่ายหยินหลินรอจนจินหมิงหายลับไปกลุ่มชน นางก็อาศัยจังหวะนั้นใช้วิชาตัวเบาที่ฝึกมานานหลายปีกระโดดหายไปจากโขดหินเข้าไปยังกลีบเมฆ นางมั่นใจว่าต้องไม่มีผู้ใดจับความเคลื่อนไหวของนางได้ ยิ่งพ้นออกมาจากตัวกองทัพฝีเท้าบางก็ยิ่งทวีความเร็วมากขึ้นจนไปหยุดยืนอยู่หน้าปากหลุมลึก
ใบหน้าเรียวชะเง้อมองลงไปข้างใต้โดยเอามือทั้งสองข้างไขว้ไว้ที่ด้านหลัง ในคราแรกกำลังสงสัยว่าจะเจอกับกระต่ายน้อยหรือจิ้งจอก แต่เมื่อได้พบกับเจ้าสัตว์สี่ขาที่นอนร้องครวญครางทรมานอยู่ใต้นั้นนางก็อดแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้
หน้าตาคล้ายแมวก็ไม่ใช่ หมาก็ไม่เชิง...ขนสีน้ำตาล ดูรวมๆ แล้วมันคลับคล้ายคลับคลาจะเป็น ลูกสิงโต!
เจ้าลูกสิงโตที่ไม่ประสีประสาเมื่อเห็นหน้าสิ่งมีชีวิตที่โผล่มาหน้าปากหลุมก็ร้องครางหงิงๆ คล้ายจะขอความช่วยเหลือ ด้วยความที่เลือดนักล่าที่ยังไม่ทันได้ตื่นตัวทำให้มันไม่ขู่หยินหลินอย่างที่เผ่าพันธุ์ของมันควรทำ
“ทำไมถึงมาอยู่ในหลุมแบบนี้ได้ หลงฝูงมาหรือไงกัน” ร่างเล็กบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะก้มลงไปอุ้มมันขึ้นมาวางบนพื้นอย่างเบามือ
เจ้าลูกสิงโตพอพ้นจากอันตรายได้ก็คำรามเบาๆ อย่างพอใจ ก่อนจะเอาหัวถูกับมือของหยินหลินอย่างอ่อนโยน ในตอนที่มันขยับตัวหยินหลินถึงได้รู้ว่าที่แท้ขาหลังของมันหัก นั้นเป็นต้นเหตุที่เจ้าตัวน้อยตรงหน้านางร้องครางเจ็บปวด
“แล้วข้าจะด้ามขาให้เจ้าได้ไงกันเนี่ย” โฉมงามหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง
นางรู้แต่วิธีปฐมพยาบาลคน ไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งต้องมาหาทางรักษาสัตว์ ครั้นจะปล่อยให้มันไปตามยถากรรม ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ข้ารู้แต่วิธีรักษาคนนี่สิ...” นางพูดกับเจ้าสิงโตตรงหน้าที่จ้องมองมายังนางด้วยแววตาที่แข็งกล้าอันอ่อนโยน “ไม่ลองก็ไม่รู้เนอะ” นางยิ้มให้กับท่าทางเหมือนกับรู้เรื่องของมัน ก่อนจะเดินด้อมๆ มองๆ ตามหากิ่งไม้ดีๆ แถวนั้นมา โดยที่มีเจ้าสิงโตน้อยมองตามอย่างสนอกสนใจ
แล้วเมื่อหยินหลินตามหากิ่งไม้ที่ต้องการเจอนางก็กลับมายังสิงโตน้อย แล้วลงมือวัดขนาดไม้กับขามันแล้วหักให้เท่ากันพอดีขา จากนั้นก็ฉีกแขนเสื้อของตัวเองอย่างไม่นึกเสียดายแล้วเอามาพันเข้ากับขาของเจ้าตัวน้อย
“กลับไปหาพ่อแม่ซะนะ” นางลูบหัวของมัน ท่าทีของนางในยามนี้อ่อนโยนลงจนดูคล้ายกับจะเป็นคนละคน หากแต่มันเป็นเฉพาะกับสัตว์เท่านั้น เพราะนางมักคิดเสมอว่าสัตว์ทุกชนิดหาได้มีพิษภัย แต่กับคนนั้นเราไม่อาจรู้จิตใจอีกฝ่ายได้เลย บางทีคนที่เราไว้ใจมากที่สุด วันหนึ่งอาจเป็นคนที่ทำร้ายเราได้อย่างเลือดเย็น
มนุษย์...คือความไม่แน่นอน
นางคิดอย่างปลงๆ ภายในใจ
ร่างบางเหยียดตัวตรงขึ้นอีกครั้งเตรียมตัวจะหันหลังจากไป แต่ก้าวเพียงก้าวเดียวนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าน้อยเหยียบหญ้าแห้งเดินตามหลังมา และเมื่อเหลียวตัวกลับไปมองก็พบว่าเจ้าลูกสิงโตได้เดินตามนางมาด้วยสีหน้าจงรักภักดีคล้ายกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง
“ไม่ต้องตามข้ามาเชียวนะ ข้าเลี้ยงเจ้าไม่ได้หรอก...วังหลวงไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่ ป่านี้ต่างหากอิสระที่คู่ควรกับเจ้า” หยินหลินชี้หน้ามันแล้วสั่งสอนเสียงดุเบาๆ
เจ้าสิงโตที่คล้ายรู้เรื่องคำรามเบาๆ อย่างดื้อรั้นราวกับจะปฏิเสธสิ่งที่นางกล่าว พลางพ่นลมหายใจฟึดฟัดเมื่อหยินหลินตั้งท่าจะเดินหนีอีกครั้ง
“เสน่ห์ของโฉมงามสามารถทำให้สัตว์หลงใหลได้ด้วยงั้นหรือ ข้าคิดไม่ถึงเลยนะ” เสียงทุ้มของรัชทายาทดังขึ้นจากด้านบน และเมื่อคนที่แอบดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นเปิดเผยตัว เขาก็กระโดดลงมายืนอยู่ระหว่างหญิงสาวและลูกสิงโตอย่างแผ่วเบา
“ท่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับข้าอยู่แล้ว” นางกล่าวเสียงเย็นชา หลังจากที่ปรับตัวเข้ากับรัชทายาทได้ นางก็สามารถสร้างกำแพงกั้นตัวเองกับเขาได้ในที่สุด
“แต่ในตอนนี้ข้ารู้ว่ามันอยากอยู่กับเจ้านะ เอาล่ะ...เจ้าจะทำไงดีละในเมื่อวังก็ต้องเข้า เจ้าลูกสิงโตน้อยน่าสงสารก็ยังตามติดแจแบบนี้” รัชทายาทยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังอยู่ในสถานการณ์ทุกข์ร้อน แม้นางจะเผยสีหน้าที่เรียบนิ่งออกมาก็ตาม แต่ก็ไม่อาจซ้อนนัยน์ตาที่อ่อนไหวยามมองเจ้าตัวเล็กไปได้
“สัตว์ป่าก็ควรอยู่แต่ในป่า” หยินหลินพูดตัดใจกับตัวเองแล้วตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะจากลูกสิงโตน้อย แต่เป็นอีกครั้งที่เมื่อนางก้าวเดินก็ได้ถูกหยุดฝีเท้าเอาไว้ ด้วยปากของเจ้าสิงโตที่งับชายกระโปรงของนางเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ช่างเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากยิ่ง แต่ข้ามีหนทางช่วยเจ้านะ” รัชทายาทกล่าว
“อะไร”
“น้ำเสียงตายด้านอะไรแบบนั้นเล่า เจ้าต้องลองขอร้องข้าดีๆ ข้าจะได้ช่วยเจ้าได้” พูดจบชายหนุ่มก็ระบายยิ้มออกมา
หยินหลินแก้มกระตุกเบาๆ เมื่อถูกยั่วยุ จะให้ขอร้องคนตรงหน้างั้นหรือ? ฝันไปเสียเถอะ... นางยอมกลายเป็นมารร้ายดีกว่าต้องยอมขอร้องคนตรงหน้าอีกสักครั้งหนึ่ง
“ท่านคิดว่าข้าอยากเลี้ยงมันขนาดนั้นเลยหรือ จะบอกให้นะ...ข้าไม่ได้อยากเลี้ยงมันเลย สัตว์ป่าคู่ควรกับอิสระ ที่แห่งนี้คือบ้านของมัน วังหลวงอาจสะดวกสบายแต่ก็ไม่ต่างจากกรงทอง ไม่ใช่ที่สำหรับมัน” นางยังคงยืดหยัดด้วยคำพูดเดิมของตนเองไม่เปลี่ยน
ความดื้อรั้นที่ทำเอาคนฟังได้แต่ถอนหายใจ “เจ้านี่ไม่คิดจะยอมลงให้ใครเลยงั้นสินะ เอาเถอะ! วังหลวงไม่ใช่กรงทองอย่างที่เจ้าเข้าใจเสียหน่อย อุทยานหลวงภายในวังหาใช้จะเล็กน้อยเฉกเช่นที่เจ้าคิด จะเลี้ยงลูกสิงโตสักตัวก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ...อุ้มมันแล้วตามข้ามาซะ” ร่างสูงสั่งแล้วทะยานตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้แต่ละต้นย่างคล่องแคล่ว
ทางด้านหยินหลินมองร่างสูงที่จากไปช้าๆ สลับกับเจ้าขนน้ำตาลน้อยที่จ้องมองนางตาแป้ว ในที่สุดโฉมงามก็ถอนหายใจแล้วเลือกที่อุ้มมันแล้วตามรัชทายาทไป เหตุการณ์ในครั้งนี้ที่นางเผยด้านอ่อนโยนให้เขาเห็น อย่างน้อยนางก็ได้พบด้านดีของรัชทายาทที่แม้จะชอบหาเรื่องนาง แต่สุดท้ายเขาก็ยอมช่วยเหลือนางเสมอ...
บทที่ 10
หมาน้อย
ขบวนเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงของฮ่องเต้แห่งอาณาจักรหยาง ได้เดินทางผ่านพื้นดินที่แห้งแล้งยามเที่ยงวันที่มีแดดส่องแสงท้าทายลงมาตลอดเวลา แต่ด้วยความโชคดีของบุคคลสำคัญทั้งหลายที่รวมกันอยู่ในขบวนยาวแห่งนี้ทำให้ไม่ไกลนักมีป่าอยู่เบื้องหน้า เป็นตัวบอกพวกเขาทั้งหลายว่ากำลังจะได้พัก
ต้นขบวนในยามนี้ถูกนำด้วยองค์รัชทายาทหยางหงเยี่ยนและรองแม่ทัพกู่เว่ยเทียน ทั้งสองเทียบเคียงกันด้วยม้าอาชาหนึ่งขาวหนึ่งดำ สิ่งที่เหมือนกันคือสีหน้าที่เคร่งขรึมท่ามกลางอากาศร้อน จนทำให้เหงื่อเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลลงจากขมับของร่างองอาจทั้งคู่
ถัดมาไม่ไกลจากคนนำขบวนทั้งสองคือองค์ฮ่องเต้บนอาชาสีน้ำตาลแดงรายล้อมด้วยเหล่าองครักษ์ที่แต่งตัวมาครบพร้อมทั้งเกราะและอาวุธประหนึ่งว่าจะไปออกรบ
จนทำให้หญิงสาวผู้ที่ได้รับฉายาว่าโฉมงามนั่งอยู่ในเกี้ยวสีน้ำตาลอ่อนขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย กับเรื่องการคุมครองคนของที่แห่งนี้ ....รัชทายาทนำขบวนอกผายไหล่ผึงไม่มีองครักษ์มารายล้อม แต่ฮ่องเต้กลับถูกคุมกันแน่นหนาเสียงยิ่งกว่าโจรที่อยู่ท้ายขบวนเสียอีก
ส่วนตัวหยินหลินเองนั้น ในตอนนี้นางก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่ในเกี้ยว มีบางทีที่แอบเปิดผ้าตรงหน้าต่างออกไปชมทิวทัศน์ภายนอกแต่เมื่อเจอกับแสงแดดที่ส่องกระทบรูม่านตาก็ทำให้เลือกที่จะเลิกสนใจข้างนอกในทันที สิ่งที่ทำเป็นงานหลักในขณะนั่งเฉยๆ คือการลูบผ้าไหมสีน้ำตาลขาวที่ตนสวมใส่อยู่เล่นไปพลางๆ
เนื้อผ้าที่เนียนนุ่ม ยามลูบไล้ทำให้รู้สึกสบายดีจนอธิบายไม่ถูก
เพียงหนึ่งก้านธูป ขบวนก็พากันเดินทางมาถึงชายป่า ป่าแห่งนี้แม้จะดูแห้งแล้งแต่ยังพอมีร่มเงาและลมจากธรรมชาติอยู่บ้าง ทำให้อากาศไม่ร้อนเท่ากับเขตนอกป่า
เกี้ยวของหยินหลินถูกวางลงอย่างเบามือจนคนในเกี้ยวแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตนเองถูกวางลงแล้ว จนกระทั่งผ้าม่านสีขาวครีมถูกเปิดออกด้วยนายทหารสตินางจึงกลับมาอีกครั้ง แล้วออกจากเกี้ยวมาด้วยท่าทางไม่รีบร้อนก่อนจะเริ่มสังเกตสภาพรอบด้านตนเอง
เมื่อออกมายืนเต็มความสูงอีกครั้ง สิ่งแรกที่หยินหลินมักเห็นก่อนเสมอตลอดเวลาคือจินหมิง ในยามนี้องครักษ์สาวได้มีสีหน้าบูดบึ้งที่แต่เดิมก็เคร่งขรึมอยู่แล้ว ในยามนี้กลับดูดุดันมากกว่าเดิมเพียงเพราะเรื่องที่คุณหนูของตนได้ตัดสินใจหมั้นกับองค์รัชทายาทโดยที่นางไม่ได้รู้เรื่องมาก่อน
“เลิกทำหน้าบูดได้แล้ว ธรรมชาติจะแห้งเหี่ยวก็เพราะใบหน้าของเจ้าในตอนนี้เนี่ยแหละ” โฉมงามกล่าวขึ้นหลังจากที่แข่งกันจ้องตาอยู่พักใหญ่ ใบหน้าของนางในยามนี้ประดับด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่จินหมิงไม่อาจทำลายมันได้
“คุณหนูทราบหรือไม่ว่าในวังหลวงมันเป็นอย่างไร” จินหมิงกอดอก ในขณะที่ถามความเห็น นางแสดงท่าทางออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการกระทำครั้งนี้โดยเด็ดขาด
“ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าในที่แห่งนั้นมีการแก่งแย่งชิงดี แผ่นดีต่อให้สงบสักเพียงไรในวังหลวงก็มักจะเต็มไปด้วยไฟมรสุมมากเท่านั้น แต่ในกรณีของยุคนี้...ข้าคิดว่าเจ้าคิดมากเกินไป” หยินหลินตอบอย่างที่ตนคิด
ในประวัติศาสตร์ที่นางอ่านมา นางจำได้แม่นว่าไม่เคยมีราชวงศ์ใดที่เกี่ยวกับหยางจิ่นเหวย ไม่มีหุบเขาของนักฆ่าที่นางจากมา และแผ่นดินเองก็ดูจะสงบสุขไร้การรุกรานจากดินแดนอื่น มีเพียงโจรและกบฏบางตนเท่านั้นที่ก่อความวุ่นวายให้แก่แผ่นดินหยาง
เพราะคำว่าไม่รู้ทำให้นางไม่ตัดสินใจเรื่องราวภายในวังหลวงสักเท่าไหร่ เพราะบางทีมันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่จินหมิงหวาดระแวง
องครักษ์ในยามนี้เงียบกริบไปอีกครั้ง หยินหลินจึงได้โอกาสสำรวจรอบด้านเพื่อหาอะไรที่น่าตื่นตาให้ตนเอง แต่จนแล้วจนรอดดวงตาคมก็มองเห็นเพียงแค่หญ้าแห้งและต้นไม้ประปรายเต็มไปด้วยเหล่าทหารเท่านั้น
นางจึงเลือกที่จะหลับตาและพยายามเงี่ยหูฟังเสียงของธรรมชาติรอบกายแทน การทำแบบนี้มันทำให้นางรู้จุดยืนของผู้อื่นได้แม่นยำเสียยิ่งกว่าตาเห็น...
“โฮก...” เสียงครางแผ่นเบาอย่างทรมานของสัตว์ตนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู
หยินหลินลืมตาขึ้นทั้นทีที่ได้จับจุดของเจ้าสัตว์นั้นได้ ในใจของนางพลันเกิดความร้อนรนขึ้นมา ปกติแล้วนางเป็นคนรักสัตว์เกือบทุกชนิดและเพราะการที่ชอบทำให้กลายเป็นว่านางสามารถสนิทกับพวกมันได้ดีทีเดียว และเนื่องจากด้วยเหตุหลายประการ นางในยามที่ได้ยินเสียงสัตว์ร้องอย่างทรมานจึงรู้สึกร้อนรนแม้จะทราบสถานะตัวเองในตอนนี้ได้ว่าไม่อาจออกไปจากสายตาของจินหมิงได้
“ไปเอาน้ำมาให้ข้าหน่อยสิ” เสียงหวานเอ่ยสั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่แสดงท่าทางพิรุธออกมาให้จินหมิงจับผิดได้แม้แต่นิด
“คิดจะทำอะไรอีกเจ้าคะ” อีกฝ่ายระแวงถาม สีหน้าดูไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้คุณหนูของตนอยู่ลำพัง ยิ่งเหล่าทหารในตอนนี้กำลังไปรวมตัวเพื่อพักผ่อนกันนางเองก็ไม่อยากจะไปรบกวนมาเฝ้าคุณหนูตรงหน้าสักเท่าไหร่
“ข้านั่งรอเฉยๆ เลยก็ได้” ว่าแล้วนางก็นั่งลงบนโขดหินในทันที
“อย่าไปไหนนะเจ้าค่ะ” จินหมิงถอนหายใจยอมแพ้ ก่อนจะเดินจากไปยังกลุ่มคนเพื่อเอาน้ำมาให้คุณหนูตน
ฝ่ายหยินหลินรอจนจินหมิงหายลับไปกลุ่มชน นางก็อาศัยจังหวะนั้นใช้วิชาตัวเบาที่ฝึกมานานหลายปีกระโดดหายไปจากโขดหินเข้าไปยังกลีบเมฆ นางมั่นใจว่าต้องไม่มีผู้ใดจับความเคลื่อนไหวของนางได้ ยิ่งพ้นออกมาจากตัวกองทัพฝีเท้าบางก็ยิ่งทวีความเร็วมากขึ้นจนไปหยุดยืนอยู่หน้าปากหลุมลึก
ใบหน้าเรียวชะเง้อมองลงไปข้างใต้โดยเอามือทั้งสองข้างไขว้ไว้ที่ด้านหลัง ในคราแรกกำลังสงสัยว่าจะเจอกับกระต่ายน้อยหรือจิ้งจอก แต่เมื่อได้พบกับเจ้าสัตว์สี่ขาที่นอนร้องครวญครางทรมานอยู่ใต้นั้นนางก็อดแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้
หน้าตาคล้ายแมวก็ไม่ใช่ หมาก็ไม่เชิง...ขนสีน้ำตาล ดูรวมๆ แล้วมันคลับคล้ายคลับคลาจะเป็น ลูกสิงโต!
เจ้าลูกสิงโตที่ไม่ประสีประสาเมื่อเห็นหน้าสิ่งมีชีวิตที่โผล่มาหน้าปากหลุมก็ร้องครางหงิงๆ คล้ายจะขอความช่วยเหลือ ด้วยความที่เลือดนักล่าที่ยังไม่ทันได้ตื่นตัวทำให้มันไม่ขู่หยินหลินอย่างที่เผ่าพันธุ์ของมันควรทำ
“ทำไมถึงมาอยู่ในหลุมแบบนี้ได้ หลงฝูงมาหรือไงกัน” ร่างเล็กบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะก้มลงไปอุ้มมันขึ้นมาวางบนพื้นอย่างเบามือ
เจ้าลูกสิงโตพอพ้นจากอันตรายได้ก็คำรามเบาๆ อย่างพอใจ ก่อนจะเอาหัวถูกับมือของหยินหลินอย่างอ่อนโยน ในตอนที่มันขยับตัวหยินหลินถึงได้รู้ว่าที่แท้ขาหลังของมันหัก นั้นเป็นต้นเหตุที่เจ้าตัวน้อยตรงหน้านางร้องครางเจ็บปวด
“แล้วข้าจะด้ามขาให้เจ้าได้ไงกันเนี่ย” โฉมงามหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง
นางรู้แต่วิธีปฐมพยาบาลคน ไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งต้องมาหาทางรักษาสัตว์ ครั้นจะปล่อยให้มันไปตามยถากรรม ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ข้ารู้แต่วิธีรักษาคนนี่สิ...” นางพูดกับเจ้าสิงโตตรงหน้าที่จ้องมองมายังนางด้วยแววตาที่แข็งกล้าอันอ่อนโยน “ไม่ลองก็ไม่รู้เนอะ” นางยิ้มให้กับท่าทางเหมือนกับรู้เรื่องของมัน ก่อนจะเดินด้อมๆ มองๆ ตามหากิ่งไม้ดีๆ แถวนั้นมา โดยที่มีเจ้าสิงโตน้อยมองตามอย่างสนอกสนใจ
แล้วเมื่อหยินหลินตามหากิ่งไม้ที่ต้องการเจอนางก็กลับมายังสิงโตน้อย แล้วลงมือวัดขนาดไม้กับขามันแล้วหักให้เท่ากันพอดีขา จากนั้นก็ฉีกแขนเสื้อของตัวเองอย่างไม่นึกเสียดายแล้วเอามาพันเข้ากับขาของเจ้าตัวน้อย
“กลับไปหาพ่อแม่ซะนะ” นางลูบหัวของมัน ท่าทีของนางในยามนี้อ่อนโยนลงจนดูคล้ายกับจะเป็นคนละคน หากแต่มันเป็นเฉพาะกับสัตว์เท่านั้น เพราะนางมักคิดเสมอว่าสัตว์ทุกชนิดหาได้มีพิษภัย แต่กับคนนั้นเราไม่อาจรู้จิตใจอีกฝ่ายได้เลย บางทีคนที่เราไว้ใจมากที่สุด วันหนึ่งอาจเป็นคนที่ทำร้ายเราได้อย่างเลือดเย็น
มนุษย์...คือความไม่แน่นอน
นางคิดอย่างปลงๆ ภายในใจ
ร่างบางเหยียดตัวตรงขึ้นอีกครั้งเตรียมตัวจะหันหลังจากไป แต่ก้าวเพียงก้าวเดียวนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าน้อยเหยียบหญ้าแห้งเดินตามหลังมา และเมื่อเหลียวตัวกลับไปมองก็พบว่าเจ้าลูกสิงโตได้เดินตามนางมาด้วยสีหน้าจงรักภักดีคล้ายกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง
“ไม่ต้องตามข้ามาเชียวนะ ข้าเลี้ยงเจ้าไม่ได้หรอก...วังหลวงไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่ ป่านี้ต่างหากอิสระที่คู่ควรกับเจ้า” หยินหลินชี้หน้ามันแล้วสั่งสอนเสียงดุเบาๆ
เจ้าสิงโตที่คล้ายรู้เรื่องคำรามเบาๆ อย่างดื้อรั้นราวกับจะปฏิเสธสิ่งที่นางกล่าว พลางพ่นลมหายใจฟึดฟัดเมื่อหยินหลินตั้งท่าจะเดินหนีอีกครั้ง
“เสน่ห์ของโฉมงามสามารถทำให้สัตว์หลงใหลได้ด้วยงั้นหรือ ข้าคิดไม่ถึงเลยนะ” เสียงทุ้มของรัชทายาทดังขึ้นจากด้านบน และเมื่อคนที่แอบดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นเปิดเผยตัว เขาก็กระโดดลงมายืนอยู่ระหว่างหญิงสาวและลูกสิงโตอย่างแผ่วเบา
“ท่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับข้าอยู่แล้ว” นางกล่าวเสียงเย็นชา หลังจากที่ปรับตัวเข้ากับรัชทายาทได้ นางก็สามารถสร้างกำแพงกั้นตัวเองกับเขาได้ในที่สุด
“แต่ในตอนนี้ข้ารู้ว่ามันอยากอยู่กับเจ้านะ เอาล่ะ...เจ้าจะทำไงดีละในเมื่อวังก็ต้องเข้า เจ้าลูกสิงโตน้อยน่าสงสารก็ยังตามติดแจแบบนี้” รัชทายาทยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังอยู่ในสถานการณ์ทุกข์ร้อน แม้นางจะเผยสีหน้าที่เรียบนิ่งออกมาก็ตาม แต่ก็ไม่อาจซ้อนนัยน์ตาที่อ่อนไหวยามมองเจ้าตัวเล็กไปได้
“สัตว์ป่าก็ควรอยู่แต่ในป่า” หยินหลินพูดตัดใจกับตัวเองแล้วตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะจากลูกสิงโตน้อย แต่เป็นอีกครั้งที่เมื่อนางก้าวเดินก็ได้ถูกหยุดฝีเท้าเอาไว้ ด้วยปากของเจ้าสิงโตที่งับชายกระโปรงของนางเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ช่างเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากยิ่ง แต่ข้ามีหนทางช่วยเจ้านะ” รัชทายาทกล่าว
“อะไร”
“น้ำเสียงตายด้านอะไรแบบนั้นเล่า เจ้าต้องลองขอร้องข้าดีๆ ข้าจะได้ช่วยเจ้าได้” พูดจบชายหนุ่มก็ระบายยิ้มออกมา
หยินหลินแก้มกระตุกเบาๆ เมื่อถูกยั่วยุ จะให้ขอร้องคนตรงหน้างั้นหรือ? ฝันไปเสียเถอะ... นางยอมกลายเป็นมารร้ายดีกว่าต้องยอมขอร้องคนตรงหน้าอีกสักครั้งหนึ่ง
“ท่านคิดว่าข้าอยากเลี้ยงมันขนาดนั้นเลยหรือ จะบอกให้นะ...ข้าไม่ได้อยากเลี้ยงมันเลย สัตว์ป่าคู่ควรกับอิสระ ที่แห่งนี้คือบ้านของมัน วังหลวงอาจสะดวกสบายแต่ก็ไม่ต่างจากกรงทอง ไม่ใช่ที่สำหรับมัน” นางยังคงยืดหยัดด้วยคำพูดเดิมของตนเองไม่เปลี่ยน
ความดื้อรั้นที่ทำเอาคนฟังได้แต่ถอนหายใจ “เจ้านี่ไม่คิดจะยอมลงให้ใครเลยงั้นสินะ เอาเถอะ! วังหลวงไม่ใช่กรงทองอย่างที่เจ้าเข้าใจเสียหน่อย อุทยานหลวงภายในวังหาใช้จะเล็กน้อยเฉกเช่นที่เจ้าคิด จะเลี้ยงลูกสิงโตสักตัวก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ...อุ้มมันแล้วตามข้ามาซะ” ร่างสูงสั่งแล้วทะยานตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้แต่ละต้นย่างคล่องแคล่ว
ทางด้านหยินหลินมองร่างสูงที่จากไปช้าๆ สลับกับเจ้าขนน้ำตาลน้อยที่จ้องมองนางตาแป้ว ในที่สุดโฉมงามก็ถอนหายใจแล้วเลือกที่อุ้มมันแล้วตามรัชทายาทไป เหตุการณ์ในครั้งนี้ที่นางเผยด้านอ่อนโยนให้เขาเห็น อย่างน้อยนางก็ได้พบด้านดีของรัชทายาทที่แม้จะชอบหาเรื่องนาง แต่สุดท้ายเขาก็ยอมช่วยเหลือนางเสมอ...