ไฟสวาทน้องสาว NC++-Chapter 4 ปะทะ

โดย  Miss.Mama

ไฟสวาทน้องสาว NC++

Chapter 4 ปะทะ

ตำหนักของเสวยจันทร์ของไท่โฮ่วเจ้าซู่หนี่ว์นั้นเงียบกริบด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม เหล่านางกำนัลนั้นพากันก้มหน้ากับพื้นคุกเข่าตลอดโถงทางเดิน เมื่อโอรสสวรรค์ปรากฏกาย ร่างสูงแกร่งชุดสวมใส่สีดำปักด้วยดิ้นไหมสีทองรูปมังกรผงาดเต็มแผ่นหลังเสื้อตัวยาว ชายเสื้อพัดปลิวไสวตามแรงลมหนาวที่พัดพา หิมะโปรยปรายปะทะผมยาวสีดำสนิทจนเป็นเกล็ดหิมะขาวโพลน จนขันทีต้องเลื่อนร่มเข้ามาบัง ปกป้องไม่ให้ต้องวรกาย ดวงหน้านั้นกระด้างราวกับแท่งหินศิลาขนาดยักษ์ ปราศจากความรู้สึกรู้สา ฝีเท้าก้าวไปตามทางเดินนั้น หางตากลับปรายมองยังองครักษ์หลายนายที่เฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยตลอดช่องทาง

นานมาแล้วที่เขาแทบไม่ได้แวะมาตำหนักจันทร์เสวย ยามนี้ดอกเหมยฮวากำลังเบ่งบานรับฤดูหนาวมันงดงามทว่าเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเงียบเหงาและไร้ชีวิต เซียวซื่อเซิน หรือเซียวซื่ออี่นั้น อดจะคิดไม่ได้ว่าหญิงชราผู้นี้อยู่ในตำหนักนี้มากี่ปีแล้ว นางชาชินหรือไม่กับความเงียบที่ไร้ชีวิตแบบนี้ ชุดสีแดงยาวระพื้นหินอ่อนเคลื่อนไปตามพื้นท่ามกลางความเงียบงันอยู่เบื้องหน้าของเขา ชายหนุ่มยิ้มในสีหน้า

“ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ขอทรงมีพระชนม์ยิ่งยืนนาน”

“โอ..ซื่อเซินลูกแม่ เจ้าไม่ต้องมีพิธีรีตรองใดๆ มานั่งข้างๆแม่เถอะ ยินดีนัก ที่เจ้าคิดถึงแม่ อย่าเย็นชาเหมือนพ่อของเจ้านักเลย ซื่อเซิน ไม่นึกไม่ฝันว่าเจ้าจะคิดถึงแม่ขึ้นมา ยามนี้อากาศกำลังหนาวจัดเจ้าควรห่มผ้าหนาๆนะ อย่าลืมดูแลสุขภาพของเจ้าให้ดีล่ะ แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก”

นางแย้มยิ้มจนนัยน์ตาฝ้าฟางนั้นเป็นประกายสดใส ริมฝีปากแดงฉ่ำด้วยสีชาดสด ด้วยวัยแล้วนางควรจะชราภาพกว่านี้สิบปี แต่ด้วยสมุนไพรหายากในแคว้นเหอหนานมีหรือที่นางจะปล่อยให้ตนเองแก่ชราไปตามเวลาไท่โฮ่วเจ้าซู่หนี่ว์ นับวันกลับงดงามเปล่งประกายถดถอยวัยเยาว์ลงเรื่อยๆ นางนับเป็นที่ริษยากับอิสตรีทุกนางในแคว้นเหอหนาน หลายสำนักปรารถนาจะได้สูตรยาที่นางสรรหายิ่งนัก แต่ไม่ได้ง่ายสำหรับตำแหน่งไท่โฮว่ อำนาจในมือนางนั้นเล่า เหนือกว่าอ๋องเซียวโม่หยางถึงสองส่วน และมากกว่าเขาซึ่งเป็นถึงโอรสสวรรค์ถึงสามส่วน

“ขอเสด็จแม่ทรงดูแลวรกายด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ลูกยังหนุ่มแน่นแข็งแรงพอ แต่เสด็จแม่พระชนมายุมากแล้วลูกย่อมห่วงใยมากขึ้น”

“ปากหวานยิ่งลูกชายข้า ซูหว่านเหอ นำชาสมุนไพรจากแคว้นเล่ยมาให้ฝ่าบาทลิ้มรสสักหน่อยเถิด ลูกซื่อ แคว้นเล่ยคราวนี้ถึงกับส่งชาชั้นเลิศของเขามาพร้อมกับองค์หญิงหลิงซู่เอ๋อร์มาเป็นเครื่องบรรณาการแก่เหอหนานของเรา แม่ไม่รับไว้ก็คงจะกระไรอยู่ รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าไม่ปรารถนาสตรี แต่อย่างไรสักวันเจ้าก็ต้องแต่งตั้งฮองเฮา แม่เลยจำต้องรับไมตรีของปาปาหลี่เซียนไว้ก่อน เอาไว้เจ้าถูกใจใครก็ค่อยให้นางถวายตัวเป็นสนมดีไหม ลูกซื่อ”

ถ้อยคำล้วนอ่อนหวานหว่านล้อมแก่บุตรชายด้วยกิริยาเอาอกเอาใจ มากน้อยไม่ว่า แต่ยามนี้ชายหนุ่มไม่ได้ที่จะใส่ใจรับฟังเขาทอดสายตามองนางด้วยแววตาของบุตรที่กตัญญูยิ่ง

“หม่อมฉันยังไม่ต้องการอิสตรี หากมิได้ห้ามเสด็จแม่คัดเลือกสาวงามแต่อย่างใด สนมในวังหลัง ปีนี้นับแล้วคงจะมากมายกว่าครั้งเสด็จพ่อยังทรงพระชนม์อยู่ หากเสด็จแม่พอพระทัยก็ตามเถิดลูกไม่ห้ามปราม แต่ที่มาวันนี้ ลูกอยากขอร้องเสด็จแม่เรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ..”

นางนั้นปล่อยรอยยิ้มจางคลายลงเล็กน้อยเมื่อบุตรชายนั้นกล่าวขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทั้งดวงตาก็ออดอ้อนนางเช่นวัยเด็กน้อย ทำให้นางพึงพอใจขึ้นมาอีกหลายส่วน พยักหน้าให้นางกำนัลรินชาร้อนๆ

“เอาเถิดลูกซื่อ เจ้าไม่เคยขอสิ่งใดจากแม่เลย นับแต่เล็กจนโตเป็นหนุ่ม คราวนี้เกรงว่าจะเป็นเรื่องสำคัญกระมัง”

“ขอบพระทัยเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ดื่มชาเสียลูกซื่อ แล้วค่อยบอกสิ่งที่เจ้าขอแก่แม่ หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงแล้วแม่ย่อมให้เจ้าสมปรารถนาทุกอย่าง”

เขาทำตามนางบอกอย่างไม่เกี่ยงงอน ไทโฮ่วเจ้าซู่หนี่ว์นั้นยิ้มกว้างพอใจกับการว่าง่ายของบุตรชายยิ่ง นางเลื่อนมือเรียวยาวงดงามนั้นแตะตรงดวงหน้าคมสันด้วยรอยยิ้ม

“ลูกซื่อปีนี้เจ้าย่างสิบแปดแล้ว สมควรยิ่งที่จะมีทายาทมังกร แต่แม้แต่ฮองเฮาเจ้าก็ยังไม่ได้แต่งตั้งจะมีทายาทมังกรได้อย่างไร ดีร้ายบ้านเมืองเราก็ยังคงสงบร่มเย็น เอาเวลานี้ไปเฉลิมฉลองจะดีกว่าไหมลูกซื่อ”

นางยิ้มแย้มอ่อนหวานยามที่บุตรชายนั้นไม่มีความแข็งกร้าวผ่านแววตา นางรู้ว่าบุตรชายนั้นหาใช่คนหัวอ่อนไม่ เพียงแต่ไม้อ่อนย่อมดีกว่าไม้แข็ง

“แม่ให้องครักษ์ต้วนไปหารายชื่อหญิงงามในแคว้นเหอหนานของเรามาจนครบแล้ว บุตรีเหล่าขุนนางสามพันคน องค์หญิงต่างแคว้นที่ส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการอีกสิบคน เจ้าเห็นเป็นอย่างไรลูกซื่อ..”

“ลูกตามพระทัยเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ เว้นก็แต่ ละบุตรสาวของแม่ทัพเสวี่ยไว้สักคนเถิด ได้ยินว่านางนั้นอ่อนแอขี้โรคและเป็นบุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพเสวี่ย หวังว่าท่านแม่จะเมตตานาง”

เรียวคิ้วของไท่โฮ่วเจ้าซู่หนี่ว์นั้น ขมวดมุ่นแค่ไม่กี่อึดใจ นางคลี่รอยยิ้มอย่างยินดี

“เจ้าขอเช่นนี้แม่ตกใจนะลูกซื่อ คิดว่าเจ้าจะเก็บนางมาไว้ข้างกายเสียอีก เฮ้อ..ลูกซื่อหนอลูกซื่อ เมื่อไหร่เจ้าจะเติบโตเสียที แม้นว่านี่เป็นความประสงค์ของเสวี่ยหลงชวน ตาเฒ่าคนนั้นยังคิดว่าแม่จะชายตามองอีกหรืออย่างไร หึ..เอาเถอะ สมัยพ่อของเจ้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว แม่ทัพเสวี่ยนับว่ามีบุญคุณกับแคว้นเหอหนานของเรายิ่ง ขอแค่นี้ แม่จะแล้งน้ำใจได้อย่างไรล่ะ สำคัญแต่เจ้าเถอะ ในเมื่อไม่ปรารถนาลูกสาวเสวี่ยหลงชวนมาอุ่นเตียง ต่อไปก็อย่าได้คิดข้องแวะกับนางอีกดีหรือไม่?ลูกซื่อ”

เขาไม่ได้ตอบโต้ถ้อยคำนี้ เห็นว่าหมดธุระแล้ว ร่างสูงนั้นผุดลุกจากที่นั่งเอื้อมมือประคองมารดาด้วยรอยยิ้มดีใจ

“ขอบพระทัยเสด็จแม่ อย่างไรเสีย งานคัดตัวสาวงามของเสด็จแม่นั้นลูกขอตัวไม่ร่วมด้วย ได้ยินว่ามีงานประลองยุทธที่เขาเป่ยเหลียง เสด็จแม่กับเสด็จอาคงจะไม่พลาด อย่างไรก็ตาม องครักษ์ปีนี้ในเขตพระราชฐานมีเยอะแล้วลูกไม่อยากให้เสด็จแม่ต้องเหนื่อยล้าอีก เอาไว้ ลูกจะให้เสด็จอาจัดแบ่งจอมยุทธที่ผ่านการคัดเลือกนั้นไปอยู่จวนเสด็จอาดีหรือไม่ พ่ะพ่ะค่ะ”

เขาเอ่ยเปรยด้วยสีหน้าที่ซื่อใสจนนางอ่านไม่ออก ความห่วงใยแท้จริงเจ็ดส่วน ความกังวลสามส่วน ไท่โฮ่วเจ้าซู่หนี่ว์ถึงกับกัดริมฝีปากแดงชาดของนางชั่วขณะก่อนจะแย้มรอยยิ้มออกมาได้อีกครา

“ลูกซื่อเจ้าช่างห่วงใยแม่เหลือเกิน เช่นนั้นเอาที่เจ้าว่าเถิด องครักษ์ล้วนจำเป็น คนมีฝีมือย่อมดีต่อการปกครองวันหน้า เจ้าควรเอาเยี่ยงอย่างเสด็จพ่อของเจ้านะ”

“ขอบพระทัยเสด็จแม่”

“แม่จะไปส่งเจ้า..”

“มิได้พ่ะย่ะค่ะ อากาศด้านนอกหนาวเย็นยิ่ง เชิญเสด็จแม่เข้าไปพักผ่อนเถิด ลูกยังต้องมีราชกิจรออยู่”

เขายิ้มให้กับนางพลางกล่าวคำลาง่ายดาย ก้าวออกมาจากตำหนักเงียบสงบของนางได้ เขากลับถอนหายใจยาวออกมาดวงหน้านั้นเปลี่ยนแปรสีไปในทันที

“อวี้จื่อ..”

“นี่ พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

ขวดยาสีขาวอันเล็กถูกยื่นมาให้เขา ชายหนุ่มรับไว้และดึงเม็ดยาหนึ่งใส่ปากกลืนลงท้องไปพลางถอนหายใจอีกครั้ง เกี้ยวขบวนเคลื่อนออกจากที่มุ่งสู่เขตพระราชฐานชั้นใน

“กล้าวางยาพิษในถ้วยชา..นางคงคิดดีแล้วเรื่องนี้ หวังว่าเสด็จอาจะไม่เกี่ยวด้วยหรอกนะ ขืนข้าต้องรับศึกสองด้าน มีกี่ชีวิตข้าถึงจะพอ”

เขาพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา สมองเริ่มโปร่งใสเมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึงเค่อ เซียวซื่ออี่ขยับกายลงจากเกี้ยว เขาปล่อยให้เหยียนอวี้จื่อประคองจนมาถึงห้องทรงงาน เหล่าขุนนางนับสิบนั้นรออยู่หน้าประตูแล้ว ต่างคุกเข่าถวายความเคารพ โอรสสวรรค์โบกมือ

“ลุกขึ้นได้”

จากนั้น ใบฎีกาที่เรียงรายนับร้อยนับพันใบก็เลื่อนมาวางบนโต๊ะจนแทบไม่มีที่ว่าง โอรสสวรรค์ใช้เวลากับความเงียบเมื่อปราศจากผู้คนกวนใจ คนแก่พวกนั้นล้วนแต่เสาะแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง มีน้อยคนนักที่จะทำเพื่อแผ่นดินและผู้อื่น ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นเคืองพระทัย เขาเป็นถึงฮ่องเต้แต่กลับต้องมารับใช้คนพวกนี้อย่างนั้นหรือ?.. มันต้องมีทางแก้ไขเรื่องพวกนี้โดยด่วน ดวงหน้าคมคายนั้นละสายตาจากฎีกาไร้ค่าพวกนั้นเสีย มีเรื่องสำคัญที่เขาต้องทำมัน ร่างหนาแกร่งในชุดสีดำขลิบทองนั้นผุดลุกทันที

“ฝ่าบาทจะเสด็จที่ใดพ่ะย่ะค่ะ..”

“เงียบไปเลย อวี้จื่อ เจ้าอยากให้เราสั่งตัดหัวรึ”

“มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ แต่นี่ได้เวลาเสวยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม..ใช่ กินอิ่มก่อนแล้วค่อยไปก็ได้..”เขากระตุกยิ้ม พลางขยับกายไปนั่งกับเก้าอี้ใหญ่ รอการมาของอาหารมื้อนี้ ระหว่างนั้นกลับครุ่นคิดไปหลายเรื่องราว



“อืม..เสี่ยวเถาว์ จัดสำรับเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

“ท่านกงกงเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

“ดี ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาท” ตรวจอาหารด้วยเข็มเงินเพื่อหาพิษปะปนในนั้นจนแน่ใจแล้วกงกงซุนหมิงก็สั่งให้นางกำนัลเสี่ยวเถาว์ยกอาหารไปในห้องเสวย โอรสสวรรค์นั้นไม่ได้สนใจผู้ใด เขานั่งกลืนอาหารแต่ละอย่างในจานนั้นแค่เพียงพออิ่มท้อง

“หม่าซือถูล่ะ”

“เสนาหม่าไปบ้านสกุลซื่อพ่ะย่ะค่ะ”

“หือ..สกุลซื่อ..”

“ซื่อหยวนเหวินโหรว ป่วยเป็นไข้ป่าจากการไปล่าสัตว์คราวก่อนพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าอาการทุเลาแล้ว ฝ่าบาททรงพระราชทานรังนกให้เพื่อบำรุงร่างกายพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม..”

เขาเพิ่งนึกออก ซื่อหยวนเหวินโหรวนั้นเป็นสหายกับเสวี่ยหลงชวนและยังเป็นพี่เขยของแม่ทัพไร้พ่ายผู้นี้อีกด้วยตำแหน่งรองแม่ทัพที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่มากับเสวี่ยหลงชวนนั้น ถึงกับทำให้เสด็จพ่อของเขาพระราชทานสมรสให้แก่เสวี่ยหลิงเทียนพี่สาวของเสวี่ยหลงชวนแต่จะนับเป็นพี่สาวก็ไม่แน่นักในเมื่อเสวี่ยหลงชวนกับเสวี่ยหลิงเทียนนั้นเป็นแฝดพี่น้องชายหญิง ทว่าเมื่อแต่งให้กับซื่อหยวนเหวินโหรวแล้วอย่างไรเสียต้องเป็นฮูหยินซื่อ ซื่อหยวนเหวินโหรวนั้นนับเป็นขุนนางตงฉินอีกคนที่ควรใส่ใจ

เขาสั่งรังนกไปให้เพื่อที่ว่าชายแก่คนนั้นจะยังมีชีวิตที่แข็งแรงพอจะได้เดินหน้ากับตำแหน่งรองแม่ทัพต่อไปต่างหากล่ะ อย่างไรก็ตามตอนนี้อำนาจในกองทัพนั้นอ๋องเซียวโม่หยางล้วนกุมไว้แทบจะหมดอยู่แล้ว เขาคงต้องใจเย็นกับการแก้ไขปัญหาภายใน ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียทีคนแก่วัยกว่าอย่างเสด็จอาและเสด็จแม่ ได้ง่ายๆ พวกเขาล้วนมีความพยายามที่จะลอบสังหารฮ่องเต้ได้ทุกเมื่อ ยิ่งหวนคิดไปถึงชาร้อนจากแคว้นเล่ย เขาก็อดยกมุมปากไม่ได้ นางคิดหรือว่าแค่นั้นจะทำให้เขายอมแพ้..พิษแคว้นเล่ย ไร้สีไร้กลิ่นก็จริงแต่สามารถคงทนในร่างกายได้นานนับเดือนกว่าจะรู้ตัว เขาอาจจะป่วยลงทีละนิด จนกระทั่งตายไป..

นับว่าวิธีนี้โหดร้ายและทารุณนัก นางไม่ได้สงสารเมตตาเด็กน้อยที่นางชุบเลี้ยงมาบ้างเลยหรืออย่างไร? บางครา เขาก็อดจะคิดไม่ได้ คนเราสามารถทำได้ทุกอย่างเพียงเพราะอำนาจนั้นหวานหอมจนยากจะลืมได้ นางกลัวว่าสักวันหากเสด็จอาได้เป็นใหญ่ ตำแหน่งของนางก็จะหลุดลอย ความสุขสบายก็จะหายไปด้วย หรือไม่อีกทางหนึ่งนางต้องรวบอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว สกุลเจ้านั้นไม่มีทายาท มีเพียงหลานๆปลายแถวที่นางคัดมาเพื่อให้นั่งตำแหน่งฮองเฮาของเขา ส่วนเสด็จอาเซียวโม่หยางซื่อนั้นเล่า เดิมทีมาจากสกุลโม่หยางที่นับแล้วเป็นแค่ลูกอนุของเสด็จปู่ของเซียวซื่อเซิน ที่ไม่ได้ใช้แซ่เซียว เพราะใช้แซ่ตามแม่ ไม่แน่ว่าเสด็จปู่จะทรงทราบว่าอ๋องเซียวโม่หยางซื่อนั้นหาใช่สายเลือดของสกุลเซียวไม่ หน้าตาท่าทีแม้แต่อุปนิสัยล้วนผิดไปจากเสด็จพ่อของเขาราวกับไม่ใช่พี่น้อง ชายผู้นั้นอำมหิตและดุร้าย มีนางสนมมากมายในจวนอ๋องเซียวโม่หยางซื่อที่ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากถึงความดุร้ายของเขาสู่ผู้คนภายนอก แต่เซียวซื่ออี่หรือจะไม่รู้ความ เรื่องนี้ร่ำลือมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กทารกด้วยซ้ำไป เขามารู้ในภายหลังว่าอ๋องโม่หยางซื่อนั้นขอพระราชทานแซ่เซียวเพราะต้องการในส่วนของการสืบทอดตำแหน่งอ๋องนั่นเอง และเมื่อเสด็จพ่อของเซียวซื่ออี่ไม่ขัดใจ เสด็จอาเลยได้มีแซ่เซียวนำหน้าจนบัดนี้

อ๋องเซียวโม่หยางซื่อปรารถนาอำนาจและมีโอกาสเมื่อพี่ชายได้จากไป แต่ก็ยังไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของไท่โฮ่วเจ้าซู่หนี่ว์ นางจัดการแต่งตั้งรัชทายาทขึ้นเป็นฮ่องเต้ทันที่ที่พระสวามีได้จากไป ยามนั้นมันผ่านมานานหลายปีแล้ว เขากลับจดจำได้ดีราวกับภาพวาด มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย นับวันเซียวซื่ออี่กลับไร้ซึ่งอำนาจที่จะต่อรองกับคนสองฝั่งที่คอยขย้ำเขาทุกเมื่อ

ยิ่งนึกหาทางออก เขาก็ยิ่งต้องรอบคอบกับการเดินหมาก คนพวกนี้ไร้ความปรานีแม้จะมีแค่อำนาจเท่านั้นที่พวกเขาต้องการ แต่ฮ่องเต้อย่างเซียวหลง เขามิได้หวาดเกรงกับอำนาจของไท่โฮ่วเจ้าซู่หนี่ว์ และอ๋องเซียวโม่หยางซื่อ เขาเกรงแค่ว่าสงครามกลางเมืองนั้นจะทำให้ประชาชนนั้นเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าต่างหากล่ะ นี่ต่างหากที่เป็นสงครามอย่างแท้จริง ผู้คนอดอยากเพราะคนเลวหวังอำนาจในการปกครอง ในฐานะฮ่องเต้เขาย่อมจะนิ่งเฉยไม่ได้ แต่การต่อต้านกับอำนาจสองฝ่ายนั้นแม้ยากเย็น แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พวกเขาร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นบัลลังก์มังกรอย่างเขาคงต้องสั่นคลอนผู้คนในเหอหนานนั้นเล่าจะเป็นอย่างไรถ้าสองฝ่ายนั้นห้ำหั่นกัน ดีไม่ดีอาจจะเปิดโอกาสให้แคว้นเล็กน้อยหัวเมืองต่างๆแข็งข้อขึ้นมากลับกลายเป็นสงครามอย่างแท้จริงอีกครั้ง คนในแคว้นเหอหนานนั้นเพิ่งจะเป็นสุขได้ไม่นานก็จะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอีกหรือไร..

“ฝ่าบาท ทรงนิ่งไปนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ..”

เสียงเหยียนอวี้จื่อเรียกให้โอรสสวรรค์นั้นผ่อนคลายจากห้วงความคิด

“ข้าจะไปเขาเหลียงเป่ย”

“ฝ่าบาท แต่ว่านี่มัน..”

“เจ้าอยู่ที่นี่แหละอวี้จื่อ ไม่อย่างนั้นใครจะรับหน้าเสด็จแม่ของข้าล่ะ”

“ฝ่าบาทอย่าทรงทำแบบนี้ ได้โปรดเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“หรือเจ้าคิดว่าข้าดูแลตัวเองไม่ได้?..”

“หามิได้ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นห่วงว่าพวกอ๋องเซียวโม่หยางซื่ออาจจะฉวยโอกาสนี้..”

“พวกเสด็จอาอาจจะสอดแนมข้า แต่ก็นั่นแหละ เจ้ารู้ว่าข้ามีวิธีเอาตัวรอดได้”

“ฝ่าบาททรงให้ซือถูตามเสด็จ..”

“ซือถูยังมีงานให้ทำอีกเยอะ อวี้จื่อ ทำตามที่ข้าสั่งไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไสหัวไปซะ”

“ฝ่าบาท...”

เหยียนอวี้จื่อนั้นพูดไม่ออก เขาได้แต่ทอดสายตามองร่างสูงของโอรสสวรรค์ผลัดเปลี่ยนชุดใหม่เป็นเสื้อผ้าแบบชาวบ้านทั่วไปนั่นดวงหน้านั้นเล่าถูกดัดแปลงจนจำแทบไม่ได้เคลื่อนไหวพลิ้วกายออกจากตำหนักในอย่างรวดเร็วปล่อยให้องครักษ์คู่ใจนั้นหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความไม่พอใจยิ่งยวด เหยียนอวี้จื่อนั้นแม้จะแน่ใจในฝีพระหัตถ์ของฮ่องเต้เซียวหลงมากเพียงใดแต่ใครจะเบาใจได้ในเมื่อรอบด้านนั้นล้วนแต่มีผู้คนไม่หวังดี แต่จะทำอย่างไรได้ยามนี้ เหยียนอวี้จื่อทำได้แค่ปลอมแปลงโฉมตนเองไว้คอยรับหน้าคนพวกนั้น แม้มันจะได้ผลมาตลอด แต่คราวนี้เหยียนอวี้จื่อกลับรู้สึกกังวลมากมายทีเดียว เขานึกโกรธตนเองที่รั้งโอรสสวรรค์ไว้ไม่ได้


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว