ห้องซ้อมดนตรีให้เช่า
ค่าเช่า 100 หยวน/ชั่วโมง หากดนตรีของคุณไพเราะ ค่าเช่าลดลงครึ่งหนึ่ง
อุปกรณ์ชั้นหนึ่ง คนไม่รู้จักของดีอย่าได้ติดต่อมา
สถานที่ หวาถิงย่วน เขตเหอซี
วิธีติดต่อ applewho@yeah.net
ตอนนี้เป็นฤดูหนาว แสงแดดส่องผ่านหมอกจางๆ ลงมายังเมืองเซียงเฉิง ไม่มีลมแรง ไม่มีหิมะ แต่กระแสลมที่เคลื่อนตัวเบาๆ ก็ยังทำให้อากาศหนาวเย็นเสียดแทงกระดูก
ชายหนุ่มสามคนเดินอยู่ในเขตหมู่บ้านหวาถิงย่วน
ตอนบ่ายที่นี่ดูเงียบสงบมาก พวกเขาจึงกลายเป็นคนกลุ่มเดียวที่กำลังเคลื่อนไหวและสร้างสีสันให้กับหมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขาบางคนสวมกางเกงยีนส์กับเสื้อแจ็กเก็ต บางคนสวมเสื้อยืดกับเสื้อสเวตเตอร์กางเกงยีนส์ที่พวกเขาสวมบ้างก็ขาดเป็นรู บ้างก็มีขนประดับ ส่วนบนร่างของพวกเขานั้นประดับด้วยสร้อยคอ สร้อยคอมือ ห่วงโซ่กางเกงยีนส์ โซ่สารพัดโซ่กระทบกันเบาๆ พื้นรองเท้าที่ค่อนข้างบางเหยียบย่ำลงบนพื้น แต่ละคนต่างทำคอหด ร่างทั้งร่างสั่นระริกด้วยความหนาว
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้สนใจ
พวกเขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารหลังหนึ่ง ห้องซ้อมดนตรีห้องนั้นอยู่ที่นี่ ตั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่งของอาคารหลังนี้ มันดูสะดุดตามาก แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองไม่เห็น ตรงหน้าประตูมีสวนเล็กๆ ปลูกดอกไฮเดรนเยีย ดอกกุหลาบจีน ดอกเบญจมาศป่า รวมไปถึงกุยช่ายกับพริกอีกหนึ่งแถว บนพื้นถูกปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวขจี แม้จะมีบางส่วนที่แห้งเหี่ยวไปบ้าง แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น ประตูถูกทาด้วยสีฟ้าอ่อน หน้าต่างเป็นสีขาว ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่พอมองไปกลับให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย
ทั้งสามหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูด้วยความลังเล สุดท้ายชายผมสั้น ใบหน้าซูบผอม ดวงตาเรียวยาวก็เอ่ยขึ้นว่า “ที่นี่... ทำไมถึงเหมือนมีกลิ่นอายเซียนปกคลุมนะ จะเป็นที่นี่จริงๆ เหรอ?”
อีกคนซึ่งไว้ผมยาวมองประตูแล้วก้มลงมองข้อความในโทรศัพท์มือถือ “ไม่ผิดหรอก ที่อยู่ที่คนคนนั้นส่งมาทางอีเมลคือหวาถิงย่วนอาคาร 5 ห้อง 107 เป็นที่นี่ล่ะ อวี้เซิงมิวสิกสตูดิโอ”
บนประตูมีป้ายซึ่งเขียนคำว่า ‘เซิง’ ด้วยอักษรลี่ซูแขวนเอาไว้ ถึงพวกเขาจะไม่รู้จักศิลปะการเขียนพู่กันจีน แต่ก็คิดตรงกันว่าอักษรตัวนี้ช่างเขียนได้ดีจริงๆ
หนุ่มผมยาวยกมือขึ้นลูบคางพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย “คงไม่ใช่ผู้หญิงหรอกนะ? ถ้าเป็นผู้ชายคงไม่ตกแต่งสตูดิโอแบบนี้ มันดูหวานแหววเป็นบ้า!”
คนนัยน์ตาหงส์เอ่ยขึ้นบ้าง “ถ้าอย่างนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เป็นจอมเสแสร้งน่ะสิ” เขาหมายถึงโฆษณาในอินเทอร์เน็ต
พวกเขาหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน หนุ่มร่างบึ๊กคนที่สามซึ่งมีคิ้วเข้ม เบ้าตาลึกเดินไปกดกริ่ง อีกสองคนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงจะยังไม่ได้ก้าวเข้าไป แต่พวกเขาก็เริ่มเอื้อมมือไปลูบนั่นลูบนี่พลางพยายามยืดคอมองเข้าไปภายในห้อง
อุณหภูมิที่ลดต่ำลงทำให้หมอกจางๆ เกาะอยู่บนหน้าต่าง ‘สวี่สวินเซิง’ ซึ่งยืนอยู่ตรงข้างโต๊ะกำลังเช็ดกู่ฉินอยู่ พอได้ยินเสียงกริ่ง เธอก็เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ออกมา
ประกาศให้เช่าห้องซ้อมดนตรีถูกลงไปสามวันแล้ว แต่วันนี้เพิ่งจะมีคนมาดู เธอจึงอดคิดไม่ได้ว่าโฆษณาของตัวเองดูหยิ่งยโสเกินไปหรือเปล่า แต่ก็คร้านจะแก้ไข ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจรอ สุดท้ายก็ได้พบกับคนที่มีวาสนาจริงๆ
สวี่สวินเซิงพับผ้าเช็ดกู่ฉินให้เรียบแล้ววางไว้ตรงตำแหน่งเดิม จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเดินไปที่ประตู ชั่ววินาทีที่ประตูถูกเปิดออก ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งอึ้ง จากนั้นหนุ่มๆ ทั้งสามซึ่งยืนรออยู่ด้วยท่วงท่าสบายๆ ก็รีบยืนตัวตรง
‘จ้าวถาน’ ที่เป็นคนกดกริ่งกระแอมขึ้นมาครั้งหนึ่ง “ไม่ทราบว่าที่นี่มีห้องซ้อมดนตรีให้เช่าใช่ไหมครับ?”
อีกสองคนที่เหลือยิ้มพลางปรายตามองเขาเหมือนจะพูดว่า ‘พอมีสาวๆ อยู่ตรงหน้า นายก็ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้เหมือนกันนี่’
ใบหน้าของสวี่สวินเซิงสงบนิ่ง เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ใช่ พวกคุณคือวงเจามู่ใช่ไหม?”
ทั้งสามคนรีบพยักหน้า
สวี่สวินเซิงกล่าว “เข้ามาดูสิ ห้องซ้อมอยู่ที่ชั้นใต้ดินน่ะ” เธอเบี่ยงตัวหลบ หนุ่มๆ ทั้งสามจึงก้าวเข้าไปด้วยฝีเท้าที่เบาลงโดยไม่รู้ตัว สวี่สวินเซิงเปิดประตูออกกว้าง ทำให้ลมเย็นโชยเข้าไปพัดม่านหน้าต่างกับหนังสือบนโต๊ะ พวกเขากวาดตามองไปรอบๆ เห็นผนังห้องถูกทาด้วยสีขาว โต๊ะไม้เป็นเงาวาววับ รอบด้านถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย บนโต๊ะมีกู่ฉินกับขลุ่ยวางเอาไว้ ตรงมุมห้องมีเปียโนสีขาวดำหลังหนึ่ง บนผนังยังมีรูปเด็กๆ ที่มาเรียนกู่ฉินกับขลุ่ยติดเอาไว้หลายใบ น่าจะเป็นนักเรียนของผู้หญิงคนนี้
ที่นี่คือห้องซ้อมดนตรีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มัน... ไม่เข้ากับแนวดนตรีของพวกเขาสักนิด
แต่พอพวกเขาเดินตามสวี่สวินเซิงลงไปยังห้องใต้ดิน อะไรบางอย่างก็ระเบิดตูมขึ้นในสมอง
สวี่สวินเซิงเปิดสวิตช์ไฟ ทำให้ห้องทั้งห้องสว่างขึ้นมาทันที ผนังเก่าๆ ซึ่งไม่มีการตกแต่งใดๆ พื้นซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอย และอากาศซึ่งค่อนข้างอับชื้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงแค่ฉากหลังที่ช่วยขับเน้นให้เครื่องดนตรีซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางห้องโดดเด่นขึ้น ที่นี่แตกต่างจากชั้นบนโดยสิ้นเชิง มันเป็นโลกที่ดิบเถื่อนและให้ความรู้สึกที่เป็นเฮฟวีเมทัล*เอามากๆ
หนุ่มผมยาวพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก เขาเอื้อมมือไปลูบกีตาร์แต่ไม่กล้าหยิบมันขึ้นมา ปากคำรามเสียงต่ำ “ว้าว Fender Stratocaster** สุดที่รักของฉัน!”
จ้าวถานเป็นมือเบส เขาเดินตรงไปที่เบสแล้วหันกลับมามองสวี่สวินเซิง พอเห็นเธอพยักหน้าเขาก็หยิบเบสขึ้นมาก่อนจะยิ้มพลางทอดถอนใจ “เป็นของดีจริงๆ!”
‘ฮุยจื่อ’ หนุ่มร่างผอมดวงตาเรียวยาวคนนั้นเป็นมือกลอง เขานั่งลงตรงหน้าชุดกลองแล้วหยิบไม้ตีกลองขึ้นมา เขาสูดหายใจลึกๆ พลางลูบกลองเบาๆ “Dixon* … โอ้พระเจ้าฆ่าฉันเถอะ! ขอลองดูได้ไหมครับ?”
สวี่สวินเซิงเห็นท่าทางของพวกเขาแล้วก็ยิ้มพลางพยักหน้าให้ก่อนจะถอยหลังไปสองสามก้าว หนุ่มๆ ทั้งสามหันไปมองหน้ากัน จากนั้นจ้าวถานก็พูดขึ้นว่า “นักร้องนำของเรายังไม่มา เขาไปทำงานพิเศษตอนบ่าย เราจะขอลองดูก่อน คุณมีของดีแบบนี้ย่อมต้องมีความรู้ด้านดนตรีที่ไม่เลวแน่ ลองฟังดูก่อนว่าเราเหมาะสมกับเงื่อนไขครึ่งราคาของคุณไหม แต่พูดตามตรงนะครับ เครื่องดนตรีดีแบบนี้ เราแทบไม่กล้าขอให้คุณลดราคาเลย!” เขายกมือขึ้นเกาศีรษะ ฮุยจื่อรีบหันไปถลึงตาใส่เขาเหมือนจะบอกว่า ‘นายนี่ซื่อเกินไปแล้ว’
‘จางเทียนเหยา’ หนุ่มผมยาวผู้เป็นมือกีตาร์หยิบกีตาร์ขึ้นมาสะพายไว้เรียบร้อยแล้ว “ยังมียามาฮ่าอีกตัว เอาไว้ให้เสี่ยวเหย่ได้พอดี คนสวยฟังดีๆ นะ รับรองว่าเธอต้องพอใจแน่...”
พูดจบ นิ้วเรียวยาวของเขาก็กรีดลงบนสายกีตาร์ ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงดังกระหึ่ม สวี่สวินเซิงรู้สึกเหมือนแก้วหูสั่นสะเทือนไปวูบหนึ่ง หนุ่มๆ ทั้งสามสบตาแล้วพยักหน้าให้กัน ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เสียงกีตาร์พลิ้วไหวเร่งร้อนราวกับสายน้ำ เสียงเบสเต็มไปด้วยประกายไฟคมกริบ มือกลองฮุยจื่อสะบัดหัวไปตามจังหวะของเพื่อนๆ ทั้งสอง ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นแล้วตวัดลงไปอย่างรวดเร็ว
“ตึง ตึง ตึง...”
ผนังห้องเหมือนจะเริ่มเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลง
สวี่สวินเซิงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงพลางนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง รอจนดนตรีจบท่อน ทั้งสามคนก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เธอด้วยความตื่นเต้น สวี่สวินเซิงอดยิ้มไม่ได้ “พวกคุณเล่นกันไปก่อน เล่นจนพอใจแล้วค่อยขึ้นไปข้างบน”
“ได้เลย” จางเทียนเหยาตอบ
สวี่สวินเซิงหมุนกายเดินกลับขึ้นไปข้างบน หนุ่มๆ ทั้งหลายหันไปสบตากัน ยามนี้พวกเขาไม่มีอารมณ์จะคิดอีกแล้วว่าทำไมหญิงสาวซึ่งเล่นเครื่องดนตรีโบราณถึงได้มีเครื่องดนตรีที่เจ๋งสุดๆ ครบชุดแบบนี้ และไม่สนใจอีกแล้วว่าจะได้ค่าเช่าครึ่งราคาหรือไม่ พวกเขาหวังเพียงแค่ว่าจะได้ครอบครองเครื่องดนตรีเหล่านี้และใช้มันฝึกฝน ต่อให้ต้องเช่ามาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม
แต่ก่อนที่จะเริ่มเล่นเพลงถัดไป จางเทียนเหยาก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “พวกนายไม่รู้สึกบ้างหรือว่าแม่สาวนี่หน้าตาสวยมาก?”
จ้าวถานยิ้มโดยไม่พูดอะไร
“พวกเราไม่ได้ตาบอดนี่!” ฮุยจื่อตอบ
ห้องซ้อมดนตรีใต้ดินเก็บเสียงได้ดีมาก พอสวี่สวินเซิงปิดประตูแล้วนั่งอยู่บนชั้นหนึ่งก็ได้ยินเพียงแค่แว่วๆ ว่าเสียงดนตรีที่งดงามและเต็มไปด้วยความฮึกเหิมกำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง สวี่สวินเซิงนั่งอยู่ตรงข้างโต๊ะครู่หนึ่ง เธอรินน้ำชาให้ตัวเองแล้วยกขึ้นจิบ หัวใจยังคงเต้นแรงเพราะจังหวะที่แสนเร้าใจนั้นยังดังอยู่ตรงข้างหู
ความรู้สึกนั้นกระตุ้นให้เธอขยับไปนั่งอยู่ตรงหน้ากู่ฉิน หลังจากเปิดผ้าคลุมออกแล้วทาน้ำมันลงบนสาย เธอก็วางมือทั้งสองลงบนสายกู่ฉินเบาๆ
กู่ฉินส่งเสียงก้องกังวาน โต๊ะสั่นสะเทือนเบาๆ สีหน้าของเธอสงบนิ่งราวดวงตะวันในยามเช้า มีเพียงนิ้วทั้งสิบเท่านั้นที่เคลื่อนไหวอยู่บนสายกู่ฉินอย่างรวดเร็ว จากแผ่วเบาเป็นหนักแน่น จากช้าเป็นเร็ว ทำนองเสียงดนตรีร็อกค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงเสียงกู่ฉินที่ก้องกังวานไปทั่วกับท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลงและม่านหน้าต่างที่ปลิวไสวไปตามสายลม รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเธอ ชั่ววินาทีนั้นเธอลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งมีคนเดินเข้ามาก็ยังไม่รู้ตัว
นี่เป็นภาพที่ ‘เฉินเหย่’ ได้เห็นเมื่อพบกับสวี่สวินเซิงครั้งแรก
หญิงสาวร่างผอม สวมเสื้อไหมพรมหนาอบอุ่นกับกระโปรงยาว เธอรวบผมเป็นหางม้านั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ผิวของเธอขาวมาก สองแก้มเป็นสีแดงเรื่อ ใบหน้าของเธอได้รูปสวยดูเปล่งปลั่ง ส่วนดวงตาดำสนิทคู่นั้นโตมาก โดยรวมแล้วช่างเป็นใบหน้าที่ดึงดูดใจผู้คนเหลือเกิน
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว