ความคิดในหัวของจี้เยวี่ยเอ๋อไล่ตามจังหวะของสวีเสี่ยวเสียนมิทัน
นางยังมิทันได้เรียกสติกลับมา สวีเสี่ยวเสียนก็ได้นำตำราสองเล่มนั้นส่งให้สาวใช้ของตนและสาวเท้าออกไปจากร้านแล้ว จี้เยวี่ยเอ๋อหันหลังกลับ เห็นสวีเสี่ยวเสียนหยุดฝีเท้าลงที่หน้าโต๊ะหนังสือ สวีเสี่ยวเสียนเห็นกวีสองบทนั้นที่เขาเป็นผู้ประพันธ์วางอยู่บนโต๊ะนั้น
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน ?
สวีเสี่ยวเสียนหันหน้ากลับมา จึงทำให้สายตาของทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน สายตาของสวีเสี่ยวเสียนราวกับมีกระบี่พุ่งออกมา ทว่าสายตาของจี้เยวี่ยเอ๋อกลับโอนอ่อนราวกับสายน้ำ... เอาเถิด นางงดงามโดยแท้จริง ทว่าเจ้าก็มิควรขโมยกวีของข้า !
ประเดี๋ยวก่อน หรือว่านางคือจี้เยวี่ยเอ๋อ ?
มิถูก ! นี่มิใช่ลายมือของเขา หมายความว่านี่มิใช่ต้นฉบับ คาดว่าแม่นางผู้นี้คงจะคัดลอกมาจากจี้เยวี่ยเอ๋อ
นอกจากนี้เหตุผลที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นใบหน้าของนายอำเภอจี้ผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าใบหน้าที่สวยสดงดงามเช่นนี้มิมีความคล้ายคลึงอันใดกับใบหน้าที่มีปากแหลมแก้มเหมือนลิงอย่างนายอำเภอจี้เลย
อือ...ลายมือถือว่าใช้ได้ ช่างเถิด ก็แค่กวีสองบทเท่านั้น เห็นแก่ตำราไร้ประโยชน์สองเล่มนี้ก็แล้วกัน อย่าถือสาหาความกับนางดีกว่า
ครานี้สวีเสี่ยวเสียนได้เดินออกไปแล้วจริง ๆ เขามิได้ผ่อนฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย
จี้เยวี่ยเอ๋อก้าวออกไปที่หน้าประตูร้านหนังสือซานเว่ย นางจ้องมองไปยังสวีเสี่ยวเสียนที่กำลังขึ้นรถม้าผุพัง นางจ้องมองจนรถม้าผุพังคันนั้นหายลับไปจากตรอก นางถึงได้เดินกลับเข้าไปยังร้านหนังสือซานเว่ย
จื่อเอ๋อเองก็กังวลใจมากเช่นกัน
เหตุใดคุณหนูถึงดูเหมือนกับสตรีที่กำลังเกาะประตูเพื่อคอยสามีกัน มิพบเจอบุรุษ ใจก็ร้อนรนและเป็นกังวล
จี้เยวี่ยเอ๋อนั่งลงที่โต๊ะหนังสือ จากนั้นก็จรดพู่กันเพื่อเขียนคำถามที่สวีเสี่ยวเสียนเอ่ยถามเมื่อครู่ลงไป
“ไก่และกระต่ายอยู่ในกรงเดียวกัน มีทั้งหมด 48 หัว และมีขาอยู่ 132 คู่ คำถามไก่กับกระต่ายมีจำนวนเท่าใด ? ”
หญิงสาวมากพรสวรรค์ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะหยิบยกพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนคำตอบลงไปว่า
คำตอบ มีไก่ 30 ตัว มีกระต่าย 18 ตัว
“จื่อเอ๋อ ตำราฉีหมินเย่าซู่และตำราซื่อหมินเยวี่ยหลิงสองเล่มนี้ นำเข้ามานานเพียงใดแล้ว ? ”
“เรียนคุณหนู 3 ปีแล้วเจ้าค่ะ โชคดีที่นำเข้ามาเพียง 3 เล่มเท่านั้น คุณชายสวีนำไป 2 เล่ม โดยมิได้จ่ายเงินอีกด้วย...” จื่อเอ๋อรู้สึกว่าหากทำธุรกิจเช่นนี้จะต้องขาดทุนย่อยยับเป็นแน่
จี้เยวี่ยเอ๋อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บัณฑิตจากสำนักศึกษาจูหลินที่มาซื้อตำรา นอกจากตำราขงจื๊อแล้ว ส่วนมากก็มักให้ความสนใจเกี่ยวกับหนังสือจำพวกนโยบายช่วยเหลือด้านการสอบหรือไม่ก็บทกวีและบทความ
ทว่าตำราสองเล่มนั้นคือตำราเกษตร สวีเสี่ยวเสียนเป็นนักปราชญ์ เหตุใดเขาถึงซื้อตำราเกษตรไปกัน ?
ใช่ ! วันนั้นที่หน้าจวนของเขา มีป้ายประกาศว่าเขาต้องการซื้อที่ดิน... หรือว่าอาการป่วยจะทำให้เขาล้มเลิกที่จะเข้าร่วมการสอบและเลือกที่จะเป็นเศรษฐีที่ดินแทน ?
แต่เป็นเจ้าของที่ดินก็มิจำเป็นต้องลงไปปลูกเองนี่ เรื่องเกษตรในสายตานักปราชญ์แล้ว มันก็คืองานหยาบ ๆ โดยแท้จริง เช่นนั้นแท้จริงแล้วสวีเสี่ยวเสียนต้องการจะทำอันใดกันแน่ ?
ในตอนที่จี้เยวี่ยเอ๋อกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก้อนสีแดงก็ได้พุ่งเข้ามา ทั้งยังกุมจมูกมาอีกด้วย !
ทันทีที่จี้ซิงเอ๋อหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความขมขื่น “วันนี้ถือเป็นคราวซวยแปดชั่วโคตรอย่างแท้จริง เดิมทีข้าจะออกไปจูงม้า สุดท้ายก็ถูกโจวรั่วหลานลากไปซื้อของเป็นเพื่อนนางที่หอติ้งฟาง”
“เดิมทีมันมิมีอันใดเลย ข้าสงสัยเป็นอย่างมากว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงได้ชอบของพรรณ์นั้นกัน”
จี้ซิงเอ๋อเงยหน้าขึ้นมองพี่สาว “คาดมิถึงว่าจะพบเจ้าสวีเสี่ยวเสียนที่หอติ้งฟาง”
จี้เยวี่ยเอ๋อชะงักงัน ทันใดนั้นนางก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดสวีเสี่ยวเสียนถึงได้เอ่ยเช่นนั้นตอนเข้ามาในร้านหนังสือซานเว่ย
“เขาทำเจ้าเลือดออกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้ามิได้พยายามทำให้ท่านพี่โล่งใจหรอกนะ ! เหตุใดเขาต้องไปหอติ้งฟางด้วยกัน ? เขาพาสตรีมาด้วยผู้หนึ่ง เขาต้องการจะซื้อผงชาดให้กับสตรีนางนั้น ! ”
จี้ซิงเอ๋อเดือดดาลเป็นอย่างมาก “เขาคือคู่หมั้นของท่านพี่นะ เหตุใดถึงเหยียบเรือสองแคมได้เล่า ? ”
“ข้าทนมองมิได้ ดังนั้น...ดังนั้นข้าจึงกระโดดลงไป สุดท้าย...สุดท้ายก็ชนเข้ากับเขา จนทำข้าเจ็บเกือบตาย ! ”
จี้ซิงเอ๋อนำผ้าเช็ดหน้าที่ปิดจมูกไว้ออก บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น มีคราบเลือดปรากฏให้เห็นเป็นวง ๆ อีกด้วย
แม้เลือดกำเดาจะมิไหลแล้ว แต่ก็ยังเจ็บที่จมูกมากยิ่งนัก !
จี้เยวี่ยเอ๋อหัวเราะร่า “เจ้าชอบทำเรื่องมิเป็นเรื่อง นั่นสาวใช้ของเขา ! ”
จี้ซิงเอ๋อชะงักงัน “สาวใช้เยี่ยงนั้นหรือ ? ผงชาดของหอติ้งฟางราคาแพงถึงเพียงนั้น เขาจะซื้อให้สาวใช้เยี่ยงนั้นหรือ ? แล้วเหตุใดเขามิซื้อให้ท่านเล่า ? ”
“เหอะ ๆ เขาต้องมีความสัมพันธ์กับสาวใช้เป็นแน่ สวีเสี่ยวเสียนผู้นี้มิใช่คนดีเลยสักนิด ! ”
คำเอ่ยนี้ทำให้จี้เยวี่ยเอ๋อเสียใจเล็กน้อย สัญญาหมั้นหมายก็นำกลับมาแล้ว ท่านพ่อเอ่ยว่าจะนำกลับไปคืนอีกครา นี่มันก็ผ่านมาสิบกว่าวันได้แล้ว เหตุใดถึงยังมิส่งไปอีกกัน ?
บัดนี้ตนและสวีเสี่ยวเสียนมิได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย หากเขาตกหลุมรักสาวใช้ของเขาเข้าแล้วจริง ๆ ใช่ ! สาวใช้ของเขานางนั้นหน้าตาสะสวย เขาได้ยอมแพ้กับตนแล้ว
มิมีทาง !
ทันใดนั้นเอง ผู้ที่มีความคิดเฉียบแหลมที่สุดเยี่ยงจี้เยวี่ยเอ๋อจึงได้ทำการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด
“จื่อเอ๋อ ยังมิมีข่าวคราวจากพ่อค้านายหน้าอีกหรือ ? ”
“คุณหนูเจ้าคะ ที่ดินของเราตรงนั้นขายมิค่อยดีเท่าใดนัก มันอยู่ใกล้กับชายแดนจนเกินไปเจ้าค่ะ”
จี้เยวี่ยเอ๋อครุ่นคิด “มิใช่ว่าสวีเสี่ยวเสียนต้องการที่จะซื้อที่ดินหรอกหรือ ? แบ่งขายให้เขาสัก 60 หมู่สิ ! บัดนี้เหมือนว่าเขาจะยังมิทราบว่าข้าเป็นผู้ใด เขาเองก็มิทราบว่าเจ้าคือสาวใช้ของข้า เรื่องนี้ให้เจ้าเป็นผู้จัดการ”
“มิใช่ คุณหนู...”
“รีบไป ! ”
“เจ้าค่ะ...”
จื่อเอ๋อหันหลังเดินออกไป คุณหนูรีบร้อนที่จะขายที่ดินและซื้อเรือนที่อยู่ข้าง ๆ จวนสวี อาศัยเพียงความสามารถและรูปลักษณ์ของคุณหนู นางยังจะต้องส่งของขวัญไปให้ถึงประตูอีกหรือ ?
จี้ซิงเอ๋อเองก็ตกตะลึงมิแพ้กัน
“ท่านพี่ ! ”
“ท่านพี่ต้องการเช่นนี้จริง ๆ หรือ ? ”
จี้ซิงเอ๋อยกมือขึ้นมาสัมผัสหน้าผากของพี่สาว “มิได้มีไข้นี่ เขาป่วย ! ท่านพี่อย่าได้ถูกกวีสองบทของเขาหลอกเชียว การแต่งงานมีบุตรคือเรื่องของทั้งชีวิต หากเขาสิ้นใจทันทีหลังจากแต่งงานเล่า... ชั่วชีวิตนี้ท่านจะทำเยี่ยงไร ? ”
สุดท้ายนางก็คือฝาแฝดพี่สาวน้องสาวที่สนิทกัน โดยปกติมักจะมีการลับฝีปากกันบ้าง ทว่ามิได้วิวาทใหญ่โตอันใด แต่ในยามที่ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ จี้ซิงเอ๋อก็ช่วยเหลือได้มากเลยทีเดียว
จี้เยวี่ยเอ๋อจ้องมองดอกสาลี่นอกหน้าต่าง ในแววตาของนางมีความลุ่มหลงอยู่เล็กน้อย “เมื่อครู่...สวีเสี่ยวเสียนมาที่นี่”
ปากเล็ก ๆ ของจี้ซิงเอ๋อคว่ำลง สายตาจดจ้องไปยังใบหน้าของจี้เยวี่ยเอ๋อ “คนชั่วนั่น มิใช่ ! ท่านได้ตัดสินใจแล้วใช่หรือไม่ ? ”
“อย่าได้คิดอันใดไร้สาระเชียว เขามิมีทางจำได้ว่าเป็นข้า เขาคิดว่าข้าคือเจ้า ดังนั้นท่าทีที่มีต่อข้าจึงมิดีเลยสักนิด”
“ข้าหาเรื่องเขาก็เพื่อท่าน เหตุใดถึงโทษข้าเล่า ? ”
จี้เยวี่ยเอ๋อหันไปจ้องจี้ซิงเอ๋อเขม็ง สีหน้าของนางค่อนข้างดุดัน “มิโทษเจ้าแล้วข้าต้องโทษตนเองเยี่ยงนั้นหรือ หากมิใช่เพราะวันนี้เจ้าไปหาเรื่องเขาอีก เขาจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? ”
จี้ซิงเอ๋อมิสบอารมณ์ขึ้นมาทันใด “ข้าเป็นกังวลว่าเขาจะกินในถ้วยแต่มองในกระทะ ชายผู้นี้มิได้มีอันใดดีเลยสักอย่าง ข้าช่วยเจ้าอบรมเขาแทนเจ้าเสียด้วยซ้ำ เพื่อเจ้า ! เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าข้าต้องเสียเลือดไปมากเพียงใด ? ”
“ข้าได้บอกกับเจ้าไปเนิ่นนานแล้ว เจ้ามิต้องเข้ามายุ่งเรื่องของข้า เจ้าสบายใจได้ เจ้าจงไปตามหาแม่ทัพใหญ่ของเจ้าเถิด ! ”
“เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน สวีเสี่ยวเสียนคิดว่าข้าคือเจ้า ตอนเข้ามา เขามิได้มีสีหน้าดี ๆ ให้ข้าเลยสักนิด นี่มิใช่เพราะเรื่องเหล่านั้นที่เจ้าก่อหรอกหรือ ! ”
จี้ซิงเอ๋อน้อยอกน้อยใจมากยิ่งนัก แต่การทะเลาะกันในครานี้นางจะยอมแพ้มิได้
ดวงตาของจี้ซิงเอ๋อถลึงโต “เหอะ ๆ ในเมื่อเขาคิดว่าเจ้าเป็นข้า จี้เยวี่ยเอ๋อ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถแย่งสวีเสี่ยวเสียนมาจากเจ้าได้ ! ”
“ด้วยท่าทีที่ดุดันของเจ้า เจ้าคิดว่าบุรุษจะชอบเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จี้ซิงเอ๋อลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็ยกยิ้มและเชิดหน้าอกขึ้น “แต่ข้ากลับคิดว่าบุรุษจะชอบคนเยี่ยงข้า หากเจ้ากล้าก็มาลองดูได้ ! ”
ทันใดนั้นจี้เยวี่ยเอ๋อก็ได้พ่ายแพ้ “ความคิดตื้น ๆ ! ”
“เรียกว่ามีของต่างหากเล่า มิเหมือนกับใครบางคน...เหอะ ๆ ” จี้ซิงเอ๋อเหลือบมองหน้าอกของจี้เยวี่ยเอ๋อ “สิบหกปีแล้ว ทว่ายังมีรูปร่างเหมือนกับหมั่นโถวที่มิฟูอยู่เลย เจ้าว่าหมั่วโถวที่ฟูแล้วหรือหมั่นโถวก้อนเล็ก ๆ ที่ยังมิฟู อันใดจะรสชาติดีกว่ากัน ? ”
“เจ้า... ! ”
จี้ซิงเอ๋อเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “เจ้ามิเข้าใจบุรุษ ในสายตาของบุรุษ ความรู้ที่สูงส่งของเจ้ามิสามารถเทียบเคียงกับหมั่นโถวของข้าได้ ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อรู้สึกเสียใจมากยิ่งนัก หลังจากออกไปจากร้านหนังสือซานเว่ยนางมิได้ตรงกลับจวนทันที ทว่านางกลับตรงไปยังร้านยาตระกูลโจวเพื่อไปพบโจวรั่วหลาน
“รั่วหลาน มียาอันใดบ้าง ที่สามารถ...สามารถทำให้หมั่วโถวฟูขึ้นมาได้ ? ”
“มีผงส่าเหล้า1... ประเดี๋ยวก่อนเจ้าจะนึ่งหมั่นโถวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
1ผงส่าเหล้า คือ ยีสต์
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว