คนบาป

ตอนที่ 2


เป็นพรรษาที่วุ่นวายโดยแท้ ทั้งเจ็บปวดและน่าหัวร่อ ใครนะบอกว่าถ้าเป็นสังคังแล้วทายานี้จะหาย ผลตามมาคือลูกอัณฑะบวมเป่งและโตขึ้นไม่ต่างจากของหมูสัด ขยับเขยื้อนไปไหนได้ในเมื่อมันคับอยู่ระหว่างขา ปวดแสบปวดร้อนถึงต้องกับสลัดความอายทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ปราโมทย์ สุระ ประยูร บุญมีฯล้วนแต่อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน มีสามเณรร่วมอยู่ด้วยคนหนึ่งคือพรตตาเอก พ่อทายก ญาติโยมของพระเณรเหล่านั้นต่างกรูออกมาวัด สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ประแดงมีโยมพ่อของหลวงพี่สุระพูดเสียงดังโล้งเล้ง ด่าพระไม่ต่างกับด่าลูกตอนเป็นคฤหัสถ์ แกหูไม่ค่อยดีจึงดูเสียงดังไปกว่าปรกติ อีกประการหนึ่งชอบตั้งปุจฉา วิสัชนาธรรมะไม่เลือกสถานที่ โดยเฉพาะกับสามัญ เห็นกันที่ไหน อย่างไรไม่สนใจ จะไล่ความรู้กันตะบัน อย่างกับตั้งตนเป็นนักเทศน์สองธรรมาสน์ไม่มีผิด ถามประวัติพุทธเจ้าไปจนถึงปริศนาธรรมอีสานเช่นอยากได้บุญให้ตีพ่อตีแม่ อยากกินข้าวให้ปลูกใส่พลานหินฯ นั้นหมายความว่า ‘อย่างไร’ ถ้าตอบได้ประเด็นหนึ่ง แกจะรุกสู่อีกประเด็นหนึ่ง หลายต่อหลายคนอึดอัดสั่นกลัวประแดงคนนี้ยิ่งนักบางคนคิดด่าในใจ

“อีตาบ้า ขึ้นรถโดยสารคนเต็มออกยังงี้ ยังยื่นปากตะโกนมาถามปัญหากันอยู่ได้” เฒ่าคนนี้กาละเทศะเป็นอย่างไร ไม่คำนึง ดูเหมือนเป็นความสุขเอกอุของตาเฒ่าเลยทีเดียวกับการได้ทำอย่างนั้น แปลกที่ไม่ใครถือซา คงปล่อยให้แกต้อนสามัญเข้ามุมอยู่แล้ว ๆ เล่า ๆ

สาเหตุเกิดสังคังในร่มผ้าเพราะส้วม ฐานไม่ค่อยสะอาด ทั้งยังมีอยู่อย่างจำกัด ทางกุฏิใหญ่มีอยู่ที่เดียวแถมถูกถวายให้เป็นสมบัติเจ้าอาวาสไปแล้ว เป็นส้วมสะอาดที่สุด น้ำในตุ่มไม่เคยบกพร่อง พื้นซีเมนซต์เอี่ยมสะงามจนเณรยี้ว่าน่ามานอนเล่น จริงๆแล้วไม่มีใครได้เข้าไปใช้ เพราะเจ้าอาวาสจะใส่กุญแจแน่นหนา ลูกกุญแจมีอยู่ 2 ดอก คืออยู่กับอาจารย์และเณรอุปัฏฐากเท่านั้น ตรงข้ามกับอีกที่หนึ่งทางด้านตะวันตก สกปรก เต็มไปด้วยไม้ชำระ บางทีไม่มีคนล้าง ปล่อยให้เต็มคอส้วมอยู่อย่างนั้นเดือดร้อนถึงเณรตัวเล็กๆอย่างพวกสามัญ อีกแห่ง เป็นฐาน สร้างเหมือนกุฎีเล็กๆ ลมโกรกสบายอยู่ท้ายวัดทางทุ่งนาคราไปใช้แต่ละทีจะแลลงไปเห็นเศษส่วนของอุจจาระชัดเจน แมลงวันหัวเขียว ไม่เขียวจับเต็มอยู่ก้นฐาน บินกวนคนปลดทุกข์ไม่ต่างกับฝูงยุง จะรำคาญ สะอิดสะเอียนเพียงไรยังคงใช้กันต่อไปความสกปรกไม่ถูกหลักอนามัยเหล่านี้ก่อโรคร้ายให้กับพระเณรแทบทุกคน สังคังเป็นโรคติดต่อ คันยิบยับๆอยู่ง่ามขา หน้าร้อนยิ่งคันคะเยอ เกากันจนเลือดย้อย น้ำเหลืองเยิ้ม ได้ยินว่าใช้ยานี้ ยานั้นทาแล้วหายจะนำมารักษา ไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่ได้คำนึงว่ามันจะแสบร้อนเพียงไรบางคนทาแล้วต้องกระโดดเป็นม้าดีดยังยอมบางคนหายหายแล้วกลับไปเป็นอีก เวียนเป็นวัฏฏะไม่สร่างเซา

พวกสามัญวิ่งวุ่นไปต้มยา ตำยามาทาแก้ให้พวกหลวงพี่คนซวย ดูเหมือนทั้งหมดจะขยับเขยื้อน ไม่ได้ ครึ่งนอนครึ่งนั่งอยู่ในห้อง กางขาออกอ้าซ่า เณรรับใช้พัดวีอยู่วาบๆ เหนื่อยมาเปลี่ยนเป็นโยมพ่อ หรือญาติพระ ทำกันอยู่อย่างนั้นเป็นโมงเป็นยาม ยาแก้ถูกพอกเข้าไปแต่กลับเสมือนเติมให้บวมเป่งแทบปริจวนเจียนระเบิด ญาติโยมเต็มวัด ใครๆต่างมาขอดู หลวงพี่ผู้หมดอาลัยตายอยาก หมดแรงจะอายแล้วกระมังถึงเปิดสบงอ้าซ่าไว้เยี่ยงนั้น ว่ากันว่าผ้าหรืออะไรไปสัมผัสจะยิ่งแสบร้อนราวโดนลวก สู้ปล่อยโล่งไว้ดีกว่า เรื่องจึงกลายเป็นตลกร้ายหัวร่องอหาย โชคดีว่าเมื่อครบขวบวันมันแฟบลง ไม่อย่างนั้นหลวงพี่อย่างต่ำหกคนคงต้องหิ้วพวงอัณฑะไปไหนต่อไหนไม่ต่างกับหมูพ่อพันธุ์แม่นมั่น งานนี้สงกาปากไม่ได้ไอไม่ดัง เพราะตัวเองเป็นทั้งคนต้นคิดและหนูทดลองไปในตัวเสร็จสรรพ

ความวัวยังไม่หายความควายเข้ามาแทรก ครั้งนี้เป็นกันหมดวัด แย่งฐานแย่งส้วมกันพัลวัน

บางคนถึงกับหมดแรงนอนคอยอยู่ประตูฐานนั่นเอง ตอนที่ลงทุ่งไปแสวงหายาดีมานั้นไม่มีใครคาดเดาผลงานมันถูก โจษกันแต่ว่าเป็นยาถ่ายพยาธิชะงัดนัก ตายหมดทั้งรังปู่ย่าตายายหลานเหลนหล่อนพยาธิทั้งมวลจะออกมาเกลี้ยง ทีนี้ในท้องไส้จะปลอดโปร่งสะอาดเอี่ยมไม่ต่างกับการกวาดถูลงเทียนพื้นกุฏิหรือศาลาการเปรียญ เป็นพืชเล็กๆต้นเตี้ยๆ มีหัวย่างกับหัวผักกาด ชื่อประดู่ดง นำมาปอกเปลือกออก ยำ ฝาน แล้วนำไปตำใส่เครื่องเหมือนทำเมี่ยง มีเปลือกแคเป็นส่วนผสม พริกเกลือ ปลาร้า น้ำปลาครบเครื่อง ถ้าจะให้อร่อยใส่มดแดงเข้าไป ชิมดู แซ่บชิ้ดช้าด ยามบ่ายแก่ ท้องว่างอย่างนั้นช่างกินไม่อิ่มเป็น สำนวนที่ว่าอร่อยจนเลียครกเลียสากเห็นจะใช้กับอาหารมื้อนี้ได้เหมาะเจาะที่สุด ตอนแรกมีคนเสนอให้คั้นเอาเฉพาะน้ำ อย่างเช่นการทำน้ำปานะที่พระพุทธองค์อนุญาตให้ฉันได้ในยามวิกาล แต่ครั้นชิมดูต่างเห็นต้องพ้องกันว่ากินทั้งกากอย่างนี้อร่อยกว่า อาบัติ ศีลขาดต่อได้ไม่ยากเย็น ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ยาวิเศษเริ่มออกฤทธิ์ คิดว่าพยาธิจะยกครัวออกมาข้างนอก ที่ไหนได้ ทุกหยาดหยดในร่างกายไหลหลั่งออกมา ถ่ายแล้วถ่ายอีกเหมือนกับคนท้องร่วงหรือถูกวางสลอดยังไงยังงั้น เดือดร้อนถึงโยมในบ้านอีกครั้ง ดูเหมือนเจ้าอาวาสจะไม่ถนัด ในการแก้ปัญหาหน้าสิ่วหน้าขวาน เอะอะโยนให้พ่อแม่ญาติโยมของพระตัดสิน กรณีท้องร่วงเจียนจะทิ้งชีวิตเช่นนี้น่าเห็นใจท่านอยู่ ไม่ใช่หมอ ไม่มีความรู้เรื่องยาอนามัย สมัยนู้น มดหมออยู่ไกล ที่ทำได้คืออาศัยยาพื้นบ้านรักษากันไปตามมีตามเกิด ความเชื่อผิดๆจึงมักเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ กาลครั้งนั้นเข็ดหลาบไปอีกนาน

แต่ครั้งนี้น่าละอายมากกว่า...

ผู้คนออกมาวัดมากมาย ออกมาตัดสินอธิกรณ์ระหว่างพระเณรเจ้าถิ่นกับต่างถิ่น สองฝ่ายชิงไหวชิงพริบกันมาตลอด องศาแห่งความร้อนร้ายค่อยๆพุ่งสู่จุดสูงสุด ตอบโต้ด้วยชั้นเลิกลึกลับกระทั่งปากต่อปากฟันต่อฟัน เริ่มกันที่"ราตรีแห่งท่อนอ้อย" กุฏิเล็กทั้งสามถูกปลุกจากหลับใหล สะดุ้งขึ้นเพราะเสียงกระทบแห่งมัน ตะเกียงถูกจุดขึ้นราวหิ่งห้อยมารวมฝูงอยู่ที่นี่ กระจายออกมาหา"สื่อ" วิพากษ์วิจารณ์จ้อกแจ้กจอแจ สามัญอกสั่นขวัญแขวนเมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของหลวงพี่เทียน พี่เสมอและเณรใหญ่อื่นๆ หลายต่อหลายคนเหน็บเตี่ยวทะมัดทะแมงพร้อมจะฉะกับอีกฝ่าย อาจารย์ทองล้วนขบกรามแน่น เพราะครั้งนี้มันขว้างขึ้นหลังคาท่าน การรุกรานเช่นนี้เป็นเครื่องบ่งชี้หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการท้าทายอำนาจอาจารย์รอง บอกให้รู้ว่าแกไม่มีน้ำยาอะไรหรอก คนตาบอดอย่างแกใครเขาจะกลัว เป็นการสบประมาทร้ายแรงที่สุด

"ไอ้พวกหมาลอบกัด กูรู้ตัวแม่งเมื่อไหร่ น่าดู..."เทียนทองคำราม

"ไม่ยากเลย จะใช่ใครที่ไหน ผมรู้แล้วล่ะ ไปลากคอมันมาเลยไหม" เสมอคนที่เต็มไป

ด้วยอารมณ์ขันกลับขึ้งเครียดน่ากลัว

"กรรมใดใครก่อกรรมนั้นตอบสนองดอก อย่าไปสนใจเลยเรื่องแค่นี้"หลวงพี่ประยงค์ นัก

เทศน์อีกคนเอ่ยขึ้น เขาเป็นคนออกจะอ้อนแอ้น ไม่เคยถือโทษโกรธเครืองให้ใคร เป็นครูสอนนักธรรมประจำวัดจึงถูกเรียกว่าอาจารย์อีกคน

"พูดอย่างอาจารย์ก็ถูก แต่คนเรามันมีศักดิ์ศรีนะอาจารย์โดยเฉพาะศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ดูถูกกัน

ได้ง่ายๆหรือ เรื่องนี้อาจารย์อยู่เฉยๆ"หลวงพี่เสมอหันไปบอก

พระอาจารย์หนุ่มยิ้มแหยงๆ เลี่ยงเข้าห้องไปก่อนใคร"นอนกำลังอร่อย บ้ากันแท้ๆพวกนี้ อ้อย

เอ้ยยังขว้างขึ้นมาได้ ใครบอกไม่รู้ ฮุ่ย ขี้เกียจสนใจ นอนดีกว่า"

อาจารย์ทองล้วนเรียกหลวงพี่เทียนเข้าไปหา จากนั้นมีคำสั่งให้แยกย้ายกันไปนอน ในความ

เงียบสงบนี้มีขั้นตอนแผนงานสำหรับสืบสวนสอบสวนไว้ครบถ้วน "ฝ่ายนู้น"อาจตายใจไปแล้วจึงเผลอไปคุยเขื่องในวงตัวเองว่า"ฝ่ายนี้"ไร้น้ำยา เจอคนจริงเข้าหน่อยหางจุดตูดไปตามๆกัน

"ใครมันจะกล้าลองกับลูกชายกำนันคนดังให้มันรู้ไป กูไม่เคยกลัวใครทั้งนั้น ไอ้อาจารย์อาเจินอะไรนี้กูไม่สนหรอก ดีปะไรไม่จับไปมัดคอไว้ใต้น้ำ ไอ้หัวขอดมึงไปรายงานลูกพี่มึงเลยนะว่า กูพูดอย่างนี้"

สามัญหน้าเสีย เขาไม่รู้ไม่เห็นไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น การขมายไก่ไปปล่อยนั้นทำตามเขา

บอก ไม่ได้นำเรื่องจากทางนั้นไปฟ้องทางนี้ นำเรื่องของทางนี้ไปเปิดเผยกับทางนั้น ตามประสาซื่อเมื่อถูกถามจะเล่าไปเท่าที่รู้ บนห้องหลวงพี่โมทย์ยังคุยเขื่องต่อไป ยังลามปามไม่รู้ที่ต่ำที่สูง สรุปแล้วปลาหมอกำลังจะตายเพราะปากด้วยว่าในคืนหนึ่งลูกน้องของเขาถูกหิ้วขึ้นมาสอบสวน เณรพรตตาเอกสั่นเหมือนลูกนกเมื่อหลวงพี่เทียนผลักโครมเข้าไปในห้อง ยามนี้พรตหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆ หรือยิ่งกว่าลูกแกะในฝูงเสือโคร่ง นั่งจ๋อง ปากคอสั่นเมื่อถูกถามว่า”ใครสั่งให้มึงมาขว้างกุฏิกู “

พรตหันมาทางประตู มันถูกใส่กลอนแน่นหนา เทียน เสมอคุมเชิงอยู่ตรงนั้น ขณะที่อาจารย์

ทองล้วนนั่งหน้าเหี้ยมอยู่บนขอบเตียงพระประยงค์ เจ้าของเตียงหน้าเซียวอยู่ถัดไป ยกหมอนขึ้นมาปิดหน้า กริยาอาการไม่ต่างกับผู้หญิงในยามสงคราม กล้าๆกลัวๆจะดูเหตุการณ์ พรตเหงื่อแตก ตาเอกๆกำลังเหล่หนักเข้าไปอีก เมื่อทองล้วนเล่นตบก่อนถาม ฟาดผ่ามือเข้าซีดแก้มซ้าย ปื้ดแดงทันตา

"กูถาม ทำไมมึงไม่ตอบ...?"

"อ้า ๆๆ..."

เพี้ยะ .!

อีกครั้งหนึ่งที่พรตต้องหน้าหัน แรงตบเรียกเลือดจากมุมปากเยิ้มออกมาทันตา

"เทียน ช่วยทำให้มันพูดที"

หลวงพี่นักมวยเงื้อเท้าจะถีบ หลวงพี่นักเทศน์หลับตาปี๋ทั้งยังซุกหน้าเข้ากับหมอน ถอยล่นไปติดหัวเตียงข้างฝา ขดตัวสั่นอยู่ที่นั้น"ทำไมๆต้องตีกันด้วย โอ่ยเนาะ หยุดเถอะ ฉันกลัว..."

"ผะๆผมบอก บอกแล้ว ..."

โครม...!

ว้าย...!

"พูดช้าจริงไอ้เวร"

ถูกยันเข้าให้จนได้ แต่คนร้องตะกี้กลับเป็นอาจารย์ประยงค์

พรตถูกปล่อยตัวไปในสภาพบอบช้ำน่าดู เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นเจ็บใจที่พอเข้าตาจนจริงๆไม่มีใครหน้าไหนเข้าไปช่วย ดีแต่พากันเห่าอยู่ข้างนอก ดีแต่ยุคนอื่นไปเจ็บตัว เขาไม่พูด ไม่ตอบคำถาม"มันทำอย่างไรบ้าง?" นั้น แต่กลับวิ่งหายขึ้นไปบนกุฏิ ปล่อยให้ลูกพี่ฮึดฮัดโกรธแค้นอยู่ข้างโบสถ์ต่อไปทั้งหมดมีแรงแค้นร่วมกัน ที่ไม่กล้าบุกเข้าไปแย่งชิง"คนของตัวเอง"เพราะเกรงจะเสียท่า พวกมันอยู่ในฝ่ายรับ ย่อมตระเตรียมค่ายกลดีกว่า บุกเข้าไปยามนี้รังแต่จะเสียเปรียบ จึงต้องรวมตัวคอยพรตอยู่ตรงนี้ ซึ่งความมืดจากชายคาอุโบสถและพุ่มไม้อำพรางไว้ดิบดี ในความคิดของโมทย์เชื่อว่ามันคงไม่กล้าเอาพรตถึงตาย อย่างมากแค่สั่งสอน เขาซีจะเอามันถึงตายขออย่าเป็นตาของข้าก็แล้วกัน คำรามในอก เดินกลับไปกลับมาเหมือนลูกพี่ดาวร้ายในหนัง


ณ ศาลาอันเป็นเสมือนหอฉัน ทั้งหมดได้มาเผชิญหน้ากันที่นี่ ละครอีกฉากหนึ่งดำเนินไปอย่างสมบทบาท สามัญอัศจรรย์ว่ามันผ่านไปได้อย่างไร ทุกคนนั่งใกล้กัน ฉันข้าวร่วมภากัน จริงอยู่ล่ะไม่พูดไม่สบตากัน กริยาอาการกลับคล้ายเป็นว่าทั้งหมดกำลังสำรวม สามัญ ยี้และเณรอื่นๆที่รู้เหตุการณ์เมื่อคืนต่างวิตกอกสั่น กลัวว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสาดน้ำแกงรดหน้ากันหรือไม่ก็พังข้าวของถ้วยชามอย่างเช่นการเผชิญหน้าของคู่อริในภาพยนตร์ ชีวิตจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น ญาติโยมพ่อออกแม่ออกไม่ได้มองเห็นหมอกร้ายที่คลุมอยู่ ต่างยังเปี่ยมด้วยศรัทธา ต่างยังหมายจะจับชายผ้าเหลืองลูกขึ้นสวรรค์ หากรู้ว่าชายผ้าที่จับอยู่นั้นกำลังพาดิ่งลงนรก พวกเขาจะคิดเช่นไร ยังจะหมายมั่นยึดเหนี่ยวอยู่หรือเปล่า

เป็นเหมือนละครที่ดำเนินไปเป็นฉากๆ จบฉากนี้ ขึ้นฉากใหม่ ดำเนินไปเป็นองก์ ๆ

แล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนนวล สายลมพัดเพยสบายๆ เงาตาลคู่ทาบพื้นเลือนลาง เลยออกไปข้างวัดด้านตะวันออกทึมเทาอยู่ด้วยเงาไม้ลึกลับ สองฝ่ายได้ส่งสาน์สท้าทายมาดวลกันที่ป่าช้าควาย กะจะจับกันเป็นคู่ๆแล้วฟัดกันด้วยชั้นเชิงมวยไทยล้วนๆ นอกเหนือกว่านี้ขึ้นอยู่กับกลโกงของแต่ละฝ่าย ข่าว"ศึก"ครั้งนี้พัดกระจายไปเต็มวัด บางส่วนอาจปลิวเข้าไป

ในหมู่บ้านแล้วก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นหลวงพี่เทียนไม่ทราบหรอกว่า"ฝ่ายนู้น"กำลังคิดเล่นสกปรก มีการรวบรวมปืนผาหน้าไม้มาไว้เสียด้วย แน่นอนอยู่แล้วที่นักเลงเจ้าถิ่นขี้ขลาดอย่างพวกโมทย์จะกระทำ แต่อย่าหมายจะมัดมือชกถ่ายเดียว ไม่แน่จริงไม่ผ่านมาถึงขั้นนี้หรอก เทียนกลับไปบ้านเกิดที่อยู่ฟากฝั่งห้วย นำลูกซองตราควายติดมือมาด้วย เป็นอาวุธเขาเอง เคยใช้เมื่อครั้งเป็นโยม ซุกซ่อนไว้ในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งไม่ยากเลยที่จะใส่ย่ามกลับมาที่วัด เขาบอกกับตัวเองว่า"มึงแรงมา กูจะแรงไป"

อาจารย์เจ้าอาวาส ไม่ได้หูหนาตาเถื่อน เขาทราบตลอด กำลังคิดหาวิธีแก้ไข เคยเรียก

ทองล้วนขึ้นมาต่อว่าที่วางตัวไม่สมผู้ใหญ่ ไปยุ ไปให้ท้ายเด็กได้อย่างไร ภายในห้องหับสนิท สหายทั้งสองกำลังสั่งสอนกันและกันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าน้ำเสียงเบาแผ่วราวกระซิบ

"ท่านน่ะไม่รู้อะไร พวกมันไม่ถือเราเป็นผู้ใหญ่ เก่งจริงลองเรียกมันมาห้ามปรามดูถี"

"ผมว่าไม่จำเป็น ธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติเราสอนอยู่ประจำ"

"คนพาลนั้นต่อให้ตะโกนจนหลอกดคอแตกมันไม่ฟังหรอก"

"ท่านมองคนในแง่ร้ายอย่างนี้แหละถึงเป็นอย่างนั้น"

"แง่ร้ายยังงั้นรึ ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ตอนที่มันไปขว้างหลังกุฏิผม ท่านทราบดีว่าใครทำ

แล้วทำไม่เรียกมาสั่งสอน บอกพวกเขาควร ไม่ควร ท่านน่ะวางเฉยเกินไปจนพวกมันได้ใจ เหินเกริมกระทั่งประกาศจะจับเจ้าอาวาสไปถ่วงน้ำสระวัด

สีหน้าแดงเรื่อขึ้นทันที"ท่านเอาอะไรมาพูด ใส่ร้ายเขาได้อย่างไร เราเป็นผู้ใหญ่ต้องฟังหูไว้

หู ผิดถูกยังไง อย่าด่วนตัดสิน ชั่วดีพวกเขาต่างเป็นลูกศิษย์เรา"

"ลูกศิษย์คิดล้างครูน่ะซีอย่างนี้"

"เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ก่อนเรื่องจะลามไปกว่านี้"

"ว่ามา แต่อย่าลืมว่ามันเป็นเรื่องภายในนะ ท่านสอนคนอื่นว่าไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่า

นำเข้า ..."

ยกมือขึ้นห้าม"อย่าลืมอีกข้อว่าเราเป็นคนอื่น ไฟในไฟนอกอะไรนั้นไม่สำคัญหรอก โยมพ่อโยมแม่พวกเขาสำคัญกว่า สมควรอย่างยิ่งที่จะให้รับทราบ เอาอย่างผมว่านะ คือเราเรียกประชุมพระเณรทั้งหมด ท่านสั่งเณรมาปัดถู ปูเสื่อหน้าครองกุฏิใหญ่ซะ ผมจะให้คนไปเรียกพ่อประแดงกำนันมา แกเป็นนักเทศน์เก่า มีวาทศิลป์ คงกล่อมพวก ลัจฉวี'อยู่หรอก"

ทองล้วนออกมาจากห้องสหายเงียบๆ หยับย่างลงไปทางกุฏิเล็กเรียกสามัญและพวกมาสั่งงาน ดีเหมือนกัน จะได้ยุติเรื่องบ้าๆนี้เสียที เขาคิด อันที่จริงเราใช่เจ้าคิดเจ้าแค้น เพียงแต่ไม่อยากเห็นการกระทำนอกรีตนอกรอยปานนี้ นิดๆหน่อยๆนั้นพอมองข้าม แต่ประเภทเที่ยวลักไก่ชาวบ้านมากินนี่มันเกินไปเรื่องกระทบกระทั่งกันนั้นเป็นของธรรมดา อีกสักหน่อยก็ออกพรรษา เรื่องราวจะจบลง ต่างแยกย้ายไปใครไปมัน สิกขาลาเพศไม่ต่ำกว่าครึ่ง ผ่านร้อนผ่านนหนาวมานักต่อนัก ไยปล่อยให้โทสจริตครอบงำ จริงอยู่ต้องเด็ดขาดในบางเรื่อง แต่กับการเล่นไม้โหดกับเณรพรตนั้นมันไม่เหมาะ เขาคิดกลับไปกลับมามีทั้งผิดทั้งถูกคละเคล้ากันไป ขณะที่อีกคนหนึ่งคิดคำนวณแต่เรื่องงานเทศน์และรายได้ ออกพรรษาแล้วคง"ยาว"คณะทางสระบุรีส่งข่าวมาบอกว่ารับงานไว้มากน่าดู ไล่ไปตั้งแต่วันออกพรรษาถึงเดือนสี่เดือนห้าเลยเทียว ปีนี้เห็นทีจะให้ล้วนเป็นคนรับกฐินแทน เพราะการเดินทางของเรามันมากจริงๆคงไม่อาจรักษาอานิสงส์กฐินครบถ้วนตามกฎกติกา อาวุโสของทองล้วนเหมาะควรด้วยประการทั้งปวง อีกอย่าง เขาไปไหนลำบากอยู่แล้ว บางทีเราอาจจะแบ่งเงินรายปีให้สักนิดสักหน่อย พอมีกำลังใจ(การมาเป็นเจ้าอาวาสครั้งนี้มีเงื่อนไขก่อนแล้วว่าจะให้ปีละกี่พัน)แต่เอ่...เงินส่วนนี้เป็นของเราฝ่ายเดียวนี่นะ เอาเถอะ,หางานเทศน์ให้สักห้าหกงานคงได้โขหรอก

เกี่ยวกับรายได้พึงมีพึงรับ สุกีย์ไม่เคยทำตกหล่นแม้เสี้ยวธุลี เขาละเอียดพิถีพิถัน แม้แต่ผ้าบัง

สุกุลหรือสบงจีวร หมอน ฟูกฯลฯ ยังถูกเก็บไว้ดิบดีมีระเบียบ ตู้ทุกหลังแน่นเอี๊ยดด้วยสิ่งเหล่านี้ แม้แต่บุหรี่ยี้ห้อต่างๆเขายังเก็บเรียงไว้เป็นหมวดหมู่ มากมายจนสามารถตั้งร้านค้ายาสูบได้ทีเดียว แปลกอยู่ว่าเขาไม่ค่อยจะสูบมัน เก็บไว้ทำไม? ทำไมต้องสะสม? คงเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ความสุขที่ได้เห็นว่ามันมีมันอยู่ อย่างพวกสบงจีวร เขาน่าจะทานให้สามเณรหัวขี้กลากที่ไม่ค่อยมีอะไรนุ่งห่ม แต่เปล่า ขามองดูผ้าเก่าคร่ำของคนพวกนั้นด้วยดวงตาเฉยเมย แต่เป็นความเฉยเมยที่ถูกฉาบทาและรังสรรค์ให้เป็นอย่างอื่นแล้ว เช่นเณรเอ๋ย อาจารย์สงสารพวกเจ้านัก ไว้ออกพรรษาเสียก่อน อาจารย์จะจัดหาจีวรสบางใหม่ให้ อายคนเขานะกับนุ่งห่มผ้าขาดๆอย่างนี้ เออแกนี่เรียบร้อยน่ารักนะลูก จำไว้ว่าเกิดมาต้องเป็นคนดี ความดีเท่านั้นที่จะเป็นเกราะป้องกันตัวให้เรา คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้จำไว้นะลูก เออบีบตรงนั้นแรงๆหน่อยซีลูก..."


ตะเกียงเจ้าพายุถูกจุดขึ้นสองดวง ห้อยไว้ทั้งหัวและท้ายที่ประชุม เรืองสว่างส่องถึงทุกที่ทุก

แห่ง หน้าครองพักบนมีพระเณรลูกวัดทั้งหมดนั่งอยู่บนนั้น เรียงแถวตามอาวุโส ถัดลงมา ณ ระเบียงกว้างขวาง ลามไล่ไปถึงชานบันใดต่างเต็มอยู่ด้วยญาติโยม เสียงพูดคุยยังคงจ้อกแจ้กจอแจ วิจารณ์ถามไถ่ถึงที่มาที่ไป ในขณะที่พระอาจารย์ลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยเมตตา ยกคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของพ่อกำนันสร้อยขึ้นกล่าว ต่อการบรรยายนั้นหากกำนันลอยขึ้นเหนือพื้นดินได้ คงละล่องให้เห็นไปแล้ว แกนั่งเคี้ยวหมากอยู่ด้วยมาดภูมิสง่า วาระต่อไปเป็นหน้าที่ของแก ได้ตกลงกับเจ้าอาวาสแล้วว่าจะอบรมพระลูกวัดเหล่านี้อย่างไร ประเด็นไหนบ้าง อย่างน้อยที่สุดลูกชายของแกจะยอมรับเสียทีว่าพ่อนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร แกก็เหมือนพ่อคนอื่นๆที่ต้องการให้ลูกเป็นคนดี เป็นคนดีอย่างที่แกพูด แต่อย่าเป็นคนดีอย่างที่แกกระทำ


"ลูกๆหลานๆ ที่ฮักทั้งหลาย..."อดีตกำนันประแดงหมาดคอไล่เสลดสองสามทีก่อนจะกล่าว

ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบต่อไป เริ่มด้วยการเล่าประวัติของตัวเองเมื่อครั้งบวชซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องอัศจรรย์เหลือเชื่อมากมาย ดูเหมือนแกกำลังสวมวิญญาณของนักปาฐกถา สร้างความเชื่อเถือให้กับผู้ฟังโดยแสดงความเป็นพหูสูตรด้านต่างๆ คำความเต็มไปด้วยศัพท์แสง ภาษาบาลีถูกยกมากล่าวอ้าง ‘สุโข สังฆัสสะ สามัคคี, ทุกขโต ทุกขตา ทุกขถานัง’ เป็นคุ้งแคว พาผู้ฟังไปตรงนี้ แวะตรงนั้น ผ่านมาถึงนิทานแห่งการทะเลาะเบาะแว้งของพระญาติพุทธองค์ ลงไปถึงนิทานพื้นบ้าน"การสอนลูกให้เป็นโจร" ของกระทาชายนายหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบว่าการตามใจ การกระทำของตัวเองได้กลายเป็นเหตุที่มาของมหาโจรคนนั้น เรื่องจบลงตรงที่มหาโจรถูกพ่อพาตำรวจมาจับตาย ย้ายมาถึงเรื่อง "คุณบิดามารดรหนาหนักเพี้ยงพสุธา คุณครูบาอาจารย์ดุจ อากาศกว้างฯ" ถึงตอนนี้สามัญเริ่มจะหลับ อีกหลายคนกำลังดิ่งสู่อากาศขว้างของแก โงกงุบจนชนกับเข้ากับแผ่นหลังเพื่อน ผู้นั่งชิดผา ทอดตัวสบายล่องลอยไปไกลกว่าคำความเหล่านั้นมากมายสามัญสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะ"เปรี้ยงๆ...."จากพ่ออดีตกำนันที่ทั้งใช้ปาก ท่าทางหลบหลีกพัลวัน จับความได้แบบปะติดปะต่อว่าแดงๆฯนั้นคือสีผ้าประเจียด มันหลุดหาย คิดอะไรไม่ออก คิดเห็นแต่ตีนผ้าถุงแม่ที่นำติดตัวไปด้วย เลยยกใส่เหนือหัวอธิษฐานว่าคุณแม่คุณพ่อเอ๋ย ให้ช่วยคุ้มครองลูกบ้าง เชื่อไหมลูกๆหลานๆ

พ่อผ่านการรบครั้งนั้นมาได้อย่างตลอดปลอดภัย รอยข่วนแม้เท่าเล็บแมวยังไม่มี ทั้งที่ต้นไม้ที่ใช้กำบังนั้นเล็กเท่าแขน กระสุนบินเฟี้ยวฟ้าวข้ามหัวหูไปหมด โอ้โห...ตอนนั้นนึกว่าตายแล้วเชียว เพราะอะไร พ่อรอดมาได้เพราะคุณของบิดามารดานี่แหละ แล้วอย่างนี้เราจะกล้าลบหลู่คุณของท่านได้อย่างไร ลูกๆหลานๆ มาบวชก็ด้วยต้องการตอบแทนพระคุณนั้น ถ้าสมมุติว่าเราประพฤติปฏิบัติในสิ่งนอกเหนือจากคำสอนของพ่อแม่ ของครูบาอาจารย์ ของพระพุทธเจ้า เราจะบาปเพียงไร? เนรคุณเพียงไร? (เน้นเสียงถามหนักแน่น) ใครๆเขาจะตราหน้าเราว่าลูกอกตัญญู ลูกศิษย์คิดล้างครูนั้นดีไฉน ‘สามัคคี สามัคยานัง’ ปลายเสียงได้ขาดหายออกไป คลับคล้ายคลับคลาว่าเขากำลังวิ่งไขว่คว้าสายป่ายจากที่ใดที่หนึ่ง เคลิ้มหลับไปจนกระทั่งมีเสียงลุกตึงตังดังขึ้น สามัญถึงกลับสู่ภาวะเดิมอีกครั้ง เลิกประชุมแล้วหรือนี่ ยิ้มแหยๆกับเพื่อนแล้วหันมาเก็บเสื่อไปไว้ในที่ของมัน ตะเกียงเจ้าพายุดับลง ความมืดกรูเข้าแทนที่ ความเงียบสงัดเดินสวนญาติโยมที่กลับเข้าบ้านมาแล้วคลุมอยู่ตราบรุ่งอรุณของวันใหม่.

(โปรดติดตามอ่านต่อตอนต่อไป)

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว