Femme Fatale ยังไงก็รัก

ยังไงก็รัก 6 แค่อยากรู้ NC+++

ในการต่อสู้ที่ประคับประคองเวลาและท่าทีของสองชายชรา จู่ ๆ ก็บังเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สถานการณ์จำต้องเปลี่ยนแปลง... ดวงวิญญาณรับใช้ที่ชายชราสวมหน้ากากอสูรขาว ส่งกระจายไปรอบ ๆ เขาหมิงซาน เพื่อทำหน้าที่คอยสำรวจสิ่งต่าง ๆ นั้น มีตนหนึ่งกลับมาแจ้งข่าวที่น่าตกใจ นั่นคือการตายของ สู่เหยียนกุ่ย ลูกศิษย์ที่ชายชรามั่นใจว่าคงไม่มีทางพ่ายแพ้มดปลวกผู้เยาว์เหล่านั้น...

คราแรกยังเพียงแค่สั่นคลอนความเชื่อมั่นให้หวั่นไหว คิดว่าข่าวสารที่ได้รับน่าจะผิดพลาดไป... ทว่าเมื่อได้รับการยืนยันจากวิญญาณอีกหลายดวงอย่างต่อเนื่อง มันกลับกลายเป็นการบดทำลายความเชื่อมั่นของชายชราในฉับพลัน...

ใบหน้าแท้จริงใต้หน้ากาก จึงบังเกิดความเดือดดาลอย่างที่สุด ลมปราณทั่วร่างระเบิดออกมาอย่างมหาศาลลุกโชนมิต่างโทสะ เพราะการตายของ สู่เหยียนกุ่ย แฝงไว้ด้วยความหมายมากมายนัก สิ่งหนึ่งที่ปักใจได้ทันทีเลยก็คือ... เวลานี้มันไม่มีวิธีอันใดจะดำเนินแผนการต่อไปได้อีกแล้ว หมากทุกตัวล้วนตายหมด...

“สารเลวเอ้ย!! สู่เหยียนกุ่ย ข้าหรืออุตส่าห์เห็นว่ามีพรสวรรค์ด้านวิญญาณ จึงยอมรับกากเดนอย่างเจ้าเป็นศิษย์ ทว่าที่แท้เจ้ามันก็เป็นมดปลวกตัวหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับเหล่าพี่น้องของเจ้า!! ในเมื่อแผนการข้าพังทลายลงแล้ว ก็คงไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะเก็บงำอำนาจแท้จริง!!”

พริบตานั้นเอง ที่ตบะวิญญาณของชายสวมหน้ากากอสูรขาวผู้นี้ แผ่พลังมหาศาลอันน่าขนลุกปลดปล่อยอำนาจศาสตร์แห่งความมืดขั้นสูง ก่อให้เกิดกระแสหมอกสีดำที่หมุนวนอย่างรุนแรงบนท้องฟ้า กลายเป็นประตูขนาดใหญ่บานหนึ่งที่แผ่กลิ่นอายแห่งความตายไร้สิ้นสุด มากยิ่งกว่าครั้งใด ๆ

แม้แต่ เป่ยเตียวหุย ยังเบิกตากว้าง ขนลุกชูชันอย่างต่อเนื่อง...

ใบหน้าของชายชราใต้หน้ากากราวกับแก่ลงไปอีกหลายปี ภายใต้การใช้วิชาลับนี้
“สังหารพวกมันทุกคนบนเขานี้ให้หมด... จงออกมา วิญญาณอสูรฟ้า!!”

ทันใดนั้นเอง ประหนึ่งท้องฟ้าถูกแหวกออก เผยร่างอสูรขนาดมหึมาโผล่ศีรษะยื่นออกมา!! เพียงแค่ขนาดของกะโหลกนี้ก็ใหญ่โตกว่า วิญญาณอสูรแดง ทั้งร่างแล้ว หากให้ประเมินชี้ชัดทั้งร่างของอสูรตนนี้ เชื่อมั่นว่าคงสูงไม่ต่ำกว่า 100 จั้ง แผ่รัศมีพลังราวกับเป็นราชันย์ตนที่ 3 เทียบเคียง ชายสวมหน้ากากอสูรขาว และ เป่ยเตียวหุย

นี่คือทักษะวิชาลับที่ถูกเก็บซ่อน แผ่อำนาจบารมีสยบความตาย!!

เสียงคำรามของวิญญาณอสูรฟ้า บ่งบอกถึงอำนาจที่ยากเกินจะควบคุม คล้ายมีความนึกคิดเป็นของตนเอง เพียงมีเจตนาอันสอดคล้องกับผู้เป็นนายเท่านั้น และความกระหายใคร่ในการตายของศัตรูคือความปรารถนาเดียวของวิญญาณอสูรระดับสูงตนนี้

เฒ่าชีเปลือย ที่เฝ้ามองยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ข้าล่ะชอบยิ่งนักการปรากฏตัวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ถึงมันจะเป็นเพียงแค่วิญญาณอสูรระดับ 4 แต่สำหรับภายในดินแดนที่มิติดวงดาวยังอ่อนด้อยเช่นนี้ พลังของมันก็คงจะอหังการน่าดูชม...”

เป่ยเตียวหุย ถึงกับหนังศีรษะด้านชา ไม่คิดว่าศัตรูจะสามารถปลุกอสูรกายยักษ์เช่นนี้ออกมาได้ ถึงแม้พลังของมันจะเทียบเคียงกับชนชั้นราชันย์ ทว่าด้วยขนาดตัวมหึมาเช่นนี้ หากก้าวเดินไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ ในรัศมีร้อยลี้ อาจก่อความพินาศย่อยยับได้มิต่างกับยอดฝีมือชนชั้นจักรพรรดิที่บ้าคลั่ง!!

“บัดซบ!! เจ้ามันบ้าไปแล้วที่ปลุกอสูรเช่นนี้ออกมา!!” เป่ยเตียวหุย แผดเสียงคำรามด้วยโทสะ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ชายชราที่สวมหน้ากากอสูรขาว ก็ไม่อาจควบคุม วิญญาณอสูรฟ้า ได้สมบูรณ์

ชายชราหน้ากากอสูรขาว หัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะสะบัดร่างครั้งหนึ่งเลือนหายเข้าไปในหมอกควันสีดำโดยรอบ แอบไปสำรอกโลหิตภายใต้หน้ากาก มันใช้พลังไปอย่างมหาศาลจนเกินขอบเขต ตบะพลังวิญญาณและพลังลมปราณจึงสั่นคลอนอย่างรุนแรง

“ข้ายอมทำถึงเพียงนี้ ก็เพื่อให้สิ่งที่ลำบากทำมาหลายต่อหลายปีไม่ไร้ซึ่งความหมาย!! แผนการบนเขาหมิงซาน จบสิ้นแล้ว ทว่าศพเหล่านั้นก็หล่อหลอมสมบูรณ์ผ่านระดับที่ 1 แล้วเช่นกัน พวกมันจะไม่เน่าไม่เปื่อยอีกต่อไป ขอเพียงนำศพทั้งหมดกลับไป และหาสถานที่อันเหมาะสม ข้าก็จะฟื้นฟูแผนการสร้างกองทัพหุ่นเชิดศพได้อีกครั้ง!!

เป่ยเตียวหุย ต่อให้เป็นเจ้าก็ทำลาย วิญญาณอสูรฟ้า ได้ไม่ง่ายนักหรอก กว่าเจ้าจะทำลายวิญญาณอสูรฟ้าได้สำเร็จ ข้าก็คงนำพาศพนับพันหลบหนีไปไกลแล้ว!!” ชายชราส่งเสียง หึหึ ภายใต้หน้ากาก รีบมุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำเก็บศพก่อนหน้านี้ ปล่อยให้วิญญาณอสูรฟ้าแสดงความบ้าคลั่งโดยไม่ต้องควบคุม เจตนาสอดคล้องมีเพียงแค่ทำลายทุกสิ่งและสังหารทุกคน

จุดแข็งที่สุดของ เป่ยเตียวหุย คือความเร็วอันน่าพรั่นพรึง แทบจะไม่มีทางที่ชายชราสวมหน้าอสูรขาวจะสามารถหลบหนีภายใต้การติดตามของ เป่ยเตียวหุย ได้... ดังนั้นจึงต้องยอมเสียพลังมหาศาลปลุกวิญญาณอสูรฟ้าออกมา ขอเพียงแค่วิญญาณอสูรฟ้าถ่วงเวลา เป่ยเตียวหุย ได้สักหนึ่งชั่วยามให้มันได้หลบหนี ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว...

ภายในถ้ำเก็บศพ...

ชายชราสวมหน้ากากอสูรขาว เดินผ่านศพที่เรียงรายนับพันตรงไปยังตำแหน่งก้อนหินใหญ่ที่ สู่เหยียนกุ่ย เคยนั่งก่อนหน้านี้ ทว่าใบหน้าใต้หน้ากากก็จำต้องมืดดำอีกครั้ง เพราะหยกสั่งการหุ่นเชิดศพ ที่ควรจะวางไว้ที่นี่ เวลานี้มันไม่มีอยู่อีกแล้ว...

“บัดซบ!! เจ้าเด็กบ้านั่น นำหยกสั่งการหุ่นเชิดศพ ติดตัวไปด้วยงั้นหรือ!!” อีกครั้งที่ ชายชราต้องเดือดดาลจนแทบกระอักเลือด รู้สึกว่าทำอะไรก็ล้วนติดขัด เหลือบมองไปยังศพนับพันที่บัดนี้มันดูดซับกลิ่นอายแห่งความตายไปเข้าเพียงพอแล้ว ทั้งยังผ่านการหลอมศพขั้นแรกด้วยกลวิธีบางอย่าง ทำให้ศพของชาวบ้านไร้วรยุทธไม่เน่าไม่เปื่อย และมีร่างกายที่แข็งแกร่งราวกับเป็นร่างกายของอดีตยอดฝีมือที่ผ่านการฝึกฝนลมปราณ...

“ช่วยไม่ได้... รีบเก็บหุ่นเชิดศพพวกนี้ไปก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยออกไปตามหาหยก จากศพของ สู่เหยียนกุ่ย...” ขณะที่ชายชราหน้ากากอสูรขาว ตั้งท่าจะเก็บศพทั้งหมดเข้าไปในแหวนมิติ

ทว่าจู่ ๆ มันก็สัมผัสได้ถึงวิกฤตที่อันตรายต่อชีวิตอย่างรุนแรง จนร่างกายแข็งค้างสั่นเทามิอาจขยับเคลื่อนไหว รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จดจ้องมาจากด้านหลัง น่ากลัวยิ่งกว่าสายตาของ เป่ยเตียวหุย นับร้อยเท่า น่ากลัวยิ่งกว่าสายตาของผู้นำกลุ่มมังกรทอง ที่เป็นชนชั้นเทวะลมปราณสีแดงด้วยซ้ำ

ชายชราสวมหน้ากากอสูร ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง รู้สึกว่าหากตนทำสิ่งใดอันไม่สมควร ร่างกายนี้คงจะแตกระเบิดออกเป็นเศษเนื้อแอ่งเลือด สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายสามารถสังหารตนได้ด้วยความคิดเดียว กายที่สั่นไหวจนยากจะประคองสติเหงื่อกาฬแตกออกท่วมร่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกัดฟันส่งเสียงออกไปแผ่วเบา...

“ทะ...ท่านคือผู้ยิ่งใหญ่แห่งหนใด...”

ด้านหลังของชายชราสวมหน้ากากอสูรขาว ย่อมมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็น เฒ่าชีเปลือย ที่ตัดสินใจปรากฏร่างขึ้น ทั้งยังแผ่อำนาจสยบฟ้าดินไร้เทียมทานออกมา กดทับลงบนร่างของ ชายชราสวมหน้ากากอสูรขาว...

เสียงหัวเราะเย็นชาดังขึ้นเบา ๆ
“หึหึ... นามข้านั้นเจ้าไม่คู่ควรจะรู้ ทว่าข้านั้นสนใจวิชาหลอมศพของเจ้าอยู่ไม่น้อย ที่ซึ่งข้าได้จากมาไม่มีศาสตร์วิชาเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงอยากที่จะศึกษามัน แต่เจ้าจงวางใจเถอะข้าไม่คิดที่จะเหยียบบี้บดมดทุกตัวที่ผ่านเข้ามาอยู่แล้ว ขอเพียงเจ้ายอมทิ้งตำราวิชาทั้งหมดที่เกี่ยวกับการหลอมศพพวกนี้เอาไว้ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป...”

ชายชราสวมหน้ากากอสูรขาวสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ตาดำสั่นระรัวไปด้วยความหวาดกลัว... สัมผัสได้ว่าเสียงที่มันได้ยินนั้น มิได้เกิดจากเสียงที่เปล่งผ่านลำคอ แต่เป็นเสียงที่สะท้านเข้าไปในจิตวิญญาณโดยตรง...

“ผะ...ผู้น้อยยินดีจะมอบให้ ขอเพียงได้โปรดปล่อยชีวิตมดปลวกน้อย ๆ ตัวนี้ไปด้วยเถอะ...” ชายชราสวมหน้ากากอสูรขาว ผู้ที่มักเรียกขานผู้อื่นเป็นมดปลวก เวลานี้กลับไม่ลังเลที่จะเรียกขานตนเองเช่นนั้น!!

ยอมดึงเอาตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ ซึ่งชั่วพริบตานั้นเองราวกับมีพลังอำนาจแห่งความว่างเปล่าบางอย่าง ทำให้ตำรานี้ถูกดึงออกไปจากมือของชายชราอย่างไม่อาจต่อต้าย ลอยตรงไปยังเบื้องหน้าของ เฒ่าชีเปลือย ทั้งยังถูกเปิดออกทีละหน้า ในสภาพที่ยังล่องลอยเช่นนั้น...

วิญญาณเฒ่าชีเปลือยเผยสีหน้าประหลาดเล็ก ๆ เพราะอักษรภาษาในตำรา เป็นอักษรภาษาที่ตนนั้นอ่านไม่ออก คาดว่าคงเป็นภาษาโบราณของดินแดนแห่งนี้ แม้เฒ่าชีเปลือยจะมีความรู้กว้างขวาง ก็ไม่ได้แปลว่าจะแตกฉานในทุกภาษาบนดวงดาวที่ตนไม่ได้อยู่อาศัย...

“นี่คือทั้งหมดแล้วงั้นหรือ?! แน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้เก็บงำตำราแท้จริงเอาไว้อีก?!” เสียงของ เฒ่าชีเปลือย เย็นเยือก ทั้งยังคล้ายมีอำนาจหนักหน่วงดังภูเขา กดทับมายังร่างของชายชราหน้ากากอสูรขาว จนทำให้มันต้องกระอักเลือดคำโตภายใต้หน้ากาก

“ผะ...ผู้น้อยมิกล้า นี่คือตำราศาสตร์แห่งความตายโบราณ หุ่นเชิดศพกองทัพจีรัง... เป็นตำราโบราณที่หายสาบสูญไปหลายหมื่นปีแล้ว ดังนั้นจึงต้องหาผู้เชี่ยวชาญศาสตร์อักษรแปลภาษาโบราณนี้อีกทอดหนึ่ง แม้แต่ผู้น้อยก็เข้าใจเพียง 7 ใน 10 ส่วนของตำรานี้เท่านั้น...

ผู้น้อยได้ตำรามาครอบครองด้วยความบังเอิญเมื่อหลายสิบปีก่อน ทุกอย่างคือความจริงแท้ ไม่มีสิ่งใดปิดบังแม้กระผีกเดียว ได้โปรดท่านผู้ยิ่งใหญ่จงเชื่อผู้น้อย ข้าไม่กล้าปกปิดอันใดแน่นอน...” ชายชราสวมหน้ากากอสูรขาว กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว หัวใจของมันแทบร่ำร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

เฒ่าชีเปลือย หรี่ตาแคบลง ดีดนิ้วเพียงครั้งหน้ากากอสูรขาวพลันแตกสลายราวกับแก้วกระจก เผยใบหน้าแท้จริงของชายชราผู้นี้ออกมา ซึ่งก็ดูไม่มีเอกลักษณ์อะไรสำคัญนัก นอกเสียจากรอยสักสีดำที่สูงขึ้นไปเหนือหว่างคิ้วเป็นเส้นยาวหนึ่งเส้น แววตาของชายชราผู้นี้หวาดกลัวอย่างที่สุด ดุจยืนอยู่ริมปากเหวที่เบื้องล่างคือความตาย...

จนถึงตอนนี้ชายชรายังไม่มีโอกาสได้หันหน้ามา แต่ เฒ่าชีเปลือย ก็มีสัมผัสที่เฉียบคมมาก ต่อให้อีกฝ่ายไม่หันหน้ากลับมา ก็สามารถจดจำรูปลักษณ์ใบหน้าของชายผู้นี้ได้อยู่ดี...
“ข้าจะจำหน้าเจ้าไว้ หากภายหลังข้าพบว่าตำรานี้เป็นของปลอมล่ะก็... นอกจากจะดับชีวิตเจ้าแล้ว ข้ายังจะดับตระกูล ดับสำนักทั้งหมดของเจ้า ตอนนี้ข้าหมดธุระแล้ว...ไสหัวไป!”

สิ้นเสียงของ เฒ่าชีเปลือย แรงกดดันมหาศาลก็แผ่ออกมาอีกระลอก จนชายชราสำรอกโลหิตออกมาอีกครั้งใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะตัดสินใจทะยานร่างหนีไป โดยไม่คิดแม้แต่จะหันกลับไปมอง กระทั่งศพนับพันยังต้องยอมละทิ้ง ด้วยอายุปูนนี้ย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร เพื่อรักษาชีวิต...

“สวรรค์! สวรรค์! สวรรค์! เจ้านั่นมันอะไรกัน อำนาจสยบไร้เทียมทานเช่นนั้น มันมิใช่มนุษย์แล้ว!!” ชายชราก่นด่าชะตากรรมในห้วงสำนึก ที่ทำให้มันต้องมาพบเจออะไรเช่นนี้ เพียงแค่เผชิญหน้ากับสายตาปริศนานั้นไม่ถึง 100 อึดใจ รู้สึกราวกับอายุขัยหดหายไปเกือบ 10 ปี เส้นผมบนศีรษะบางส่วน ถึงกับหลุดร่วงเป็นหย่อม ๆ เมื่อสายลมผ่านพัด...

เฒ่าชีเปลือย หันมองชายชราที่จากไปด้วยแววตาเรียบเฉยมิได้สนอกสนใจนัก เหตุผลเดียวที่มันไม่ลงมือสังหารก็เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่ตนต้องลำบากสูญเสียพลังวิญญาณไปโดยใช่เหตุ หากมิใช่เพราะ เฒ่าชีเปลือย รู้สึกสนใจต่อวิชานี้จริง ๆ ก็คงไม่ลำบากปรากฏตัวออกมา

“ชิ!! ตั้งใจว่าจะแอบหลอมหุ่นเชิดศพที่แข็งแกร่งสักตน เพื่อใช้เป็นร่างเทียมรองรับวิญญาณชั่วคราวเสียหน่อย... แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้แล้ว เพราะข้าอ่านตำราโบราณพวกนี้ไม่ออกแม้แต่นิดเดียว แน่นอนว่าเจ้าเด็กอ่อนหันนั่นมันก็คงอ่านไม่ได้เช่นกัน แต่เจ้านั่นยังสามารถที่จะเรียนรู้ได้อยู่...”

เฒ่าชีเปลือย หันมองไปยังศพนับพันโดยรอบ ขมวดคิ้วเล็กน้อย วาดมือออกไปเพียงครั้ง ศพนับพันก็เลือนหายเข้าไปในมิติแปลกแยกที่ เฒ่าชีเปลือย สร้างขึ้นมา...
“เอาเถอะ... ถือว่าเป็นของฝาก เพื่อขอร้องให้มันช่วยก็แล้วกัน...”

....................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว