สาวใช้พระกาฬ-ตอนที่6 ไม่น่าไว้ใจ

โดย  หลี่หง

สาวใช้พระกาฬ

ตอนที่6 ไม่น่าไว้ใจ

รถม้าคันหนึ่งแห่งคฤหาสน์คหบดีผู้มั่งคั่งกำลังจอดตรึงอยู่หน้าประตูใหญ่โดยมีธิดาของภรรยาเอกนั่งอย่างเงียบสงบอยู่ในนั้น

หนิงเหมยเปิดผ้าม่านของหน้าต่างรถม้าออกดูตรงหน้าเรือนผ่านบานประตูเข้าไปจึงได้เห็นบิดาผู้หล่อเหลาของตนยืนอย่างสง่างามอยู่กับภรรยารองผู้งดงามของเขาและมีน้องสาวต่างมารดาผู้น่ารักกำลังยืนทำหน้าอาลัยอาวรณ์ส่งมาให้นาง

ภาพนั้นเป็นภาพสามคนพ่อแม่ลูกที่ตรึงตาตรึงใจหนิงเหมยเสียเหลือเกิน ช่างเป็นภาพที่งดงามบนความน่าสังเวชของหนิงเหมย

หญิงสาวปิดผ้าม่านลงก่อนจะส่งสัญญาณให้สาวใช้สั่งการแก่บ่าวชายบังคับม้าให้ออกเดินทางในทันที หากนานกว่านี้เกรงว่าภาพความงดงามของครอบครัวนี้จะทำให้นัยน์ตาของนางเปียกชื้นจนแสบเคือง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นครอบครัวที่สวยงาม พวกเขาควรอยู่แบบสามคนพ่อแม่ลูก นางมันก็แค่คนนอก!

บุตรีของภรรยาเอกอย่างนางควรไปเสียให้ไกลๆ ปล่อยให้มือที่สามเจ้ามารยาอย่างภรรยารองได้ครองรักกับบิดาจิตใจเปราะบางพร้อมบุตรสาวผู้น่าชังของพวกเขาได้มีโอกาสเสพสังวาสกับคนรักของนาง

หนิงเหมยเพียงนั่งหลับตาแนบแผ่นหลังพิงกับผนังรถม้าปล่อยให้ล้อรถม้าหมุนไปตามทางผ่านตลาดในตัวเมือง เสียงอึกทึกคลาคล่ำของเหล่าผู้คนในตลาดมิได้นำพาจิตใจอันมืดมนของหนิงเหมยให้คึกคักตามบรรยากาศรอบรถม้าเลยสักเสี้ยว

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มิรู้ได้ หนิงเหมยรู้สึกได้ถึงรถม้าที่กำลังค่อยๆ ชะลอตัวและหยุดลงในที่สุด

“บ่าวจะลงไปหาซื้อของกินมาให้คุณหนูนะเจ้าคะ” เสียงของสาวใช้เอ่ยบอกแก่หนิงเหมยเมื่อเปิดผ้าม่านรถม้าออก “คุณหนูรอบ่าวสักครู่นะเจ้าคะ”

หนิงเหมยพยักหน้ารับเบาๆ พร้อมคลี่ยิ้มส่งให้

สาวใช้นางนี้มีนามว่าหนี่ม่านเป็นหลานสาวของแม่นมซือเสียน หนี่ม่านเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาให้พึ่งพิง แม่นมซือเสียนจึงรับมาอยู่เสียด้วยกัน เดิมทีหนี่ม่านเป็นเพียงสาวใช้ก้นครัว รับผิดชอบงานจิปาถะซักผ้าแบกฟืน แต่เมื่อแม่นมซือเสียนตายไปและหนิงเหมยต้องโทษทัณฑ์ให้ออกจากบ้าน หนี่ม่านจึงขันอาสาติดตามไปรับใช้หนิงเหมยยังถิ่นทุรกันดารอันห่างไกลโดยไม่สนใจใครที่ทักท้วงเรื่องความยากลำบากหากต้องติดตามรับใช้คุณหนูผู้ไร้ค่า

“คุณหนู...” หนี่ม่านเอ่ยเรียกหนิงเหมยอีกครา

“อันใด?” ผู้ถูกเรียกขานรับเสียงเบาตามวิสัย

“บ่าวมองเห็นสตรีผู้หนึ่งนอนบาดเจ็บอยู่ริมถนนเจ้าค่ะ ท่าทางน่าสงสารเหลือเกิน” หญิงสาวบอกกล่าวพลางชี้นิ้วไปทางนั้น

หนิงเหมยจึงมองตามการชี้ชวนของสาวใช้ นางจึงได้เห็นสตรีนางหนึ่งสภาพไม่ต่างจากสุนัขที่ถูกเจ้าของตีปางตายเลยสักนิด

สตรีนางนั้นอยู่ในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ทั้งลำตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินผสมกับรอยเลือดแห้งกรังตามมือและใบหน้า

เมื่อเพ่งพินิจดูดีๆ จะเห็นว่าสตรีนางนั้นกำลังนอนสลบไสลอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่เดินไปเดินมาคล้ายกับชินตาเสียแล้วกับสภาพของสตรีนางนั้น ไม่มีใครสักคนที่สนใจไยดีอีกหนึ่งชีวิตที่นอนรอความตาย

หนิงเหมยมองสตรีนางนั้นนิ่งงัน

สภาพที่นอนใกล้ตายอย่างเดียวดายไร้ใครเหลียวแลอย่างนั้นจักต่างอันใดกับคุณหนูไร้ค่าเยี่ยงนางกัน

“เราควรช่วยนาง” หนิงเหมยเอ่ยออกไปโดยไม่มีการยั้งคิด

หนี่ม่านรีบพยักหน้ารับคำโดยเร็วแทบจะทันทีที่หนิงเหมยกล่าวจบประโยค

เห็นได้ชัดว่าหนี่ม่านที่ไร้บิดามารดาไร้ใครสนใจมาแต่ไหนแต่ไรก็เห็นมิได้ต่างไปจากหนิงเหมย

หลังจากที่ทั้งสองพากันอุ้มสตรีบาดเจ็บที่นอนรอความตายอยู่ริมถนนขึ้นมาในรถม้าอย่างทุลักทุเลและให้นอนในรถม้าเรียบร้อยดีแล้วทั้งสองจึงพากันไปหาหมอที่ใกล้ที่สุด

ท่านหมอชราทำหน้ายู่ยี่ยับย่นกับอาการบาดเจ็บของสตรีนางนี้ ดวงตาเหี่ยวย่นฉายแวววิตกกับอาการบาดเจ็บที่แสนจะสาหัสหนักหนา แต่ทว่าเมื่อคนยังมีลมหายใจอยู่จะอย่างไรก็ควรรักษา ในที่สุดหนิงเหมยกับหนี่ม่านจึงได้ยาตามเทียบยาที่หมอสั่งมาหอบใหญ่

การเดินทางยังอีกยาวไกล ในรถม้าคันเดิมที่แรกเริ่มมีหนิงเหมยกับหนี่ม่านและคนขับรถม้า บัดนี้มีอีกหนึ่งชีวิตใกล้ตายนอนหลับสนิทติดมาด้วย

วัดฉือหนิงเป็นวัดที่อยู่ห่างไกลจากในตัวเมืองมากตรงกับความหมายที่ว่าสงบปรานี ต้องใช้เวลาเดินทางอยู่หลายวัน ระหว่างทางยามพลบค่ำต้องเข้าพักที่โรงเตี๊ยมไปตลอดทาง

ในวันนี้ก็เช่นกัน...หลังจากเดินทางมาจวบจนเข้าวันที่สามยามเมื่ออาทิตย์อัสดงแสงแดดร้อนแรงเริ่มเบาบาง หนิงเหมยจึงเอ่ยสั่งการให้คนบังคับม้าชะลอฝีเท้าของม้าลงเพื่อมองหาที่พักค้างแรม แต่ว่าเมื่อหญิงสาวเปิดผ้าม่านของรถม้าออกดูสองข้างทางกลับมีแต่ต้นไม้ใบหนา หาได้มีโรงเตี๊ยมสักหลังไม่ แม้แต่บ้านเรือนของชาวบ้านยังเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มอยู่ไกลๆ

“เราคงต้องพักเสียกลางทางตรงนี้เลยเจ้าค่ะ คุณหนู” หนี่ม่านเริ่มออกความเห็น

“อืม...” หนิงเหมยเห็นด้วยก่อนออกคำสั่งไปทางบ่าวชายผู้บังคับม้า “เจ้าให้ม้าหยุดพักตรงชายป่าด้านนั้นก็พออย่าได้เข้าไปลึกนัก”

“ขอรับ” เส้นเสียงทุ้มห้าวกล่าวตอบ

เมื่อรถม้าจอดสนิทบ่าวชายจึงออกไปหาฟืนส่วนหนี่ม่านก็ลงจากรถม้าไปเตรียมสถานที่สำหรับก่อไฟ คงเหลือไว้เพียงหนิงเหมยกับหญิงปริศนาที่นอนอยู่ในรถม้า

สตรีปริศนานอนหลับตาคล้ายกับสลบไสลไม่รู้สึกตัว หากแต่เมื่อพิศมองดูดีๆ กลับพบว่าท่าทางของสตรีนางนี้คล้ายกับกำลังนอนหลับใหลไม่สนใจฟ้าดินเสียมากกว่า

หนิงเหมยได้แต่นั่งมองตาปริบๆ

หญิงสาวผู้บาดเจ็บและกำลังนอนหลับใหลคล้ายไม่ได้สติแต่กลับรับรู้ได้ทุกอย่างทั้งยังแจ่มชัดทุกห้วงเวลา

นางคือซูเจิน...

ซูเจินกำลังทำตัวเป็นสัตว์จำศีล วันๆ เอาแต่นอนหลับไม่คิดจะตื่นลืมตาแต่อย่างใด หากแต่เมื่อได้รับการป้อนยานางกลับอ้าปากรับยาแต่โดยดี การทายาก็เช่นกัน...นางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นางรับรู้ได้ว่าสองสตรีที่ช่วยเหลือนางเอาไว้มิได้มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด ข้อแขนข้อมืออ่อนปวกเปียก หากนางมิให้ความร่วมมือเกรงว่ามือน้อยๆ ของสองสตรีจะหักลงเอาได้

หนิงเหมยนั่งมองสตรีบาดเจ็บที่นอนหลับใหลอีกครู่หนึ่งจึงตัดสินใจลงจากรถม้าเพื่อไปสมทบกับสองบ่าวชายหญิง

ในขณะที่หนิงเหมยกำลังนั่งอิงไฟเพื่อคลายหนาวระหว่างกินอาหารอยู่นอกรถม้า ทันใดนั้นพลันมีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินเข้ามาจำนวนห้าคน สีหน้าของพวกมันบ่งบอกชัดเจนว่ามิใช่มาดี แววตาที่มองมาทางหนิงเหมยฉายแววกรุ้มกริ่มเปิดเผย

เป้าหมายคล้ายกับต้องการล่วงเกินหมายย่ำยีเด่นชัด

“พวกเจ้าต้องการสิ่งใด” บ่าวชายลุกขึ้นยืนตวาดก้องขวางหน้าพวกกลุ่มชายฉกรรจ์ในทันที

สองสตรีรีบยืนขึ้นเพื่อตั้งหลักในบัดดล สายตาที่พวกบุรุษแปลกหน้ามองมานั้น หนิงเหมยและหนี่ม่านเข้าใจได้ไม่ยาก

หนี่ม่านรีบเดินเข้ามายืนบังเรือนร่างของหนิงเหมยเอาไว้มั่นทั้งๆ ที่นางตัวเล็กกว่านายสาว สองตานางจ้องเขม็งที่บุรุษแปลกหน้าทั้งห้า ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มสั่นระริก ลำตัวสั่นเทิ้ม แต่ยังคงคิดจะปกป้องนายของตน

หนิงเหมยเองก็กลัวจนตัวสั่นไม่ต่างกัน นางไม่เคยออกจากบ้านมาไกลมากถึงเพียงนี้จึงไม่เคยคิดที่จะเตรียมการคุ้มกันอันใดมากมาย บิดาของนางก็มิได้ตระเตรียมการอันใดให้นาง เขาช่างเย็นชากับนางเสมอมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภรรยารองของบิดาเลย

“ออกไปนะ!” บ่าวชายยังคงตะเบ็งด้วยน้ำเสียงดังคล้ายคำรามหากแต่ตัวของเขาก็สั่นเทาไม่ต่างจากสองสตรีทางด้านหลัง

“เจ้าไม่เกี่ยว ถอยไป!” หนึ่งในชายฉกรรจ์แปลกหน้าคำรามใส่บ่าวชายพร้อมทั้งตวัดฝ่ามือตบหัวบ่าวชายจนกระเด็นล้มตึง

ชายฉกรรจ์ที่เหลือจึงกรูกันเข้ามารุมทำร้ายบ่าวชายหนึ่งเดียวจนสลบคาฝ่าเท้านอนแน่นิ่งไป

หนิงเหมยและหนี่ม่านพลันใจหายวาบเย็นยะเยือกอยู่ในอก สายตาคู่สวยของทั้งสองมองบ่าวชายอย่างตื่นตะลึง

ชายฉกรรจ์คนแรกเดินแบบย่างสามขุมเข้าหาสองสตรีที่ยืนอยู่ใกล้กับรถม้าในทันที ริมฝีปากสีคล้ำของมันแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด

“ไม่ต้องห่วงหรอกแม่นาง” มันเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มห้าวลากยาวน่ากลัว “ข้าจะอ่อนโยน” สายตากรุ้มกริ่มของมันจับจ้องที่หนิงเหมยผ่านเลยศีรษะของหนี่ม่าน

“อย่าเข้ามานะ” หนี่ม่านตะโกนเสียงแหลมนึกกลัวจับใจตัวสั่นไม่หยุด

“อ่า...” ชายดำทะมึนคนเดิมครางในลำคอ “เจ้าคงอยากโดนก่อนคุณหนูของเจ้าล่ะสิ ข้าจักสงเคราะห์ให้ก็แล้วกัน ฮ่าๆ” มันกล่าวจบก็พุ่งตัวมาจับกระชากหนี่ม่านติดมือไปจนร่างบางล้มบนพื้นดินตรงหน้าของหนิงเหมย

“กรี๊ด!” สาวใช้ร้องเสียงดังดิ้นรนขัดขืน “ไม่นะ กรี๊ด!”

แคว่ก

เสียงฉีกทึ้งเสื้อผ้าดังขึ้น

“กรี๊ด!” หนี่ม่านกรีดร้องสุดเสียง

หนิงเหมยยืนมองภาพนั้นด้วยดวงตาเบิกโพลง “ไม่นะ!” นางตะโกนสุดเสียงเท่าที่จะทำได้ “ปล่อยนางนะ”

“ปล่อยให้โง่รึ! คุณหนูคนงาม” ชายที่มาด้วยกับคนแรกตวาดก้องมาทางหนิงเหมย “พี่ใหญ่ของพวกเราจักแสดงให้ดูเพื่อเปิดทางแก่คุณหนูอย่างไรเล่า รับรองว่าคุณหนูจะต้องร้องขอให้พวกเราทำแบบเดียวกัน”

“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นจากปากของชายฉกรรจ์ทั้งหมด พวกมันยืนมองชายหญิงตรงหน้าด้วยอารมณ์เบิกบาน “พี่ใหญ่จัดการเสร็จแล้วข้าขอต่อนะ ฮ่าๆ”

แคว่ก!

เสียงฉีกเสื้อผ้ายังคงดังอย่างต่อเนื่อง หนี่ม่านได้แต่กรีดร้องมือไม้ปัดป่ายตีชายฉกรรจ์พัลวันแต่ก็หาได้มีผลอันใดกับมันไม่

“ไม่นะ! ปล่อยข้านะ” หนี่ม่านดิ้นรนหนีฝ่ามือใหญ่หนาที่กำลังฉีกทึ้งเสื้อผ้าอาภรณ์ของตน

“ไม่นะ! ปล่อยนางนะ” หนิงเหมยทำได้เพียงตะโกนห้ามปรามโดยไม่กล้าขยับเรือนกายไปทางใดได้ ไม่ว่าจะวิ่งไปหาไม้มาเป็นอาวุธหรือหนีออกไปเพื่อเรียกคนมาช่วย เนื่องจากนางถูกชายชั่วสี่คนที่เหลือยืนห้อมล้อมเอาไว้ที่ข้างรถม้า พวกมันยืนกอดอกคุมเชิงให้คนที่มันเรียกว่าพี่ใหญ่พร้อมรส่งเสียงหัวเราะร่า แต่ในสายตาของนางมันช่างดูน่าเกลียดน่ากลัว

“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องของหนี่ม่านยังคงดังกึกก้องดิ้นรนสุดชีวิตยามเมื่อชายใจเหี้ยมตัวโตกำลังจับร่างเกือบเปลือยของนางเข้าหา

“ฮ่าๆ” พวกชายฉกรรจ์หัวเราะผสานเสียงกันดังระงม

ฉับพลันเสียงหนึ่งพลันบังเกิด “อ๊าก”

ตามด้วยเลือดสดๆ สีแดงฉานสาดกระเซ็น กลางแก่นกายที่กำลังชูคอผงาดขาดสะบั้นกระเด็นตกพื้นดิน โลหิตสดๆ ทะลักเปื้อนเปรอะ

ทุกชีวิตข้างรถม้าตาเบิกโพลง

อึดใจแขนข้างหนึ่งที่กำลังรัดรึงหนี่ม่านของชายที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่พลันขาดกระเด็นตกลงบนพื้นดินตามท่อนเอ็นเมื่อครู่ เลือดสดๆ ไหลทะลักสาดกระจาย

สาวใช้ที่กำลังหลับตากรีดร้องถึงกับลืมตาเบิกกว้างร่างทั้งร่างพลันผงะ

ร่างใหญ่หนาของชายฉกรรจ์ตรงหน้าหนี่ม่านล้มตึงนัยน์ตาเถลือกถลนแทบออกมานอกเบ้า เสี้ยวเวลาหัวของมันพลันตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของใครบางคน

เจ้าของฝ่าเท้าที่กำลังเหยียบย่ำหัวของชายใจโฉดจนจมดินคือสตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม

ซูเจินคือสตรีผู้เป็นเจ้าของฝ่าเท้าและเป็นคนที่ตัดความเป็นชายของเจ้าพี่ใหญ่แห่งกลุ่มชายฉกรรจ์จนขาดกระเด็นตามด้วยท่อนแขนที่รัดรึงหนี่ม่านเมื่อครู่

พี่ใหญ่ของกลุ่มกระตุกร่างถี่ๆ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจแต่ไม่สามารถอ้าปากร้องออกมาได้แม้เพียงเสียงเดียวเนื่องจากมันถูกเหยียบหัวจนใบหน้าบิดเบี้ยวลิ้นจุกปาก

หนี่ม่านรีบถอยหลังกรูด

หนิงเหมยยืนตัวเกร็งจ้องมองด้วยดวงตากลมโตเบิกกว้าง

ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนยืนอ้าปากค้างตัวแข็งทื่อ

ซูเจินมีเพียงมีดสั้นเล่มหนึ่งในมือ เลือดสดๆ ไหลท่วมมีดสั้นและฝ่ามือน้อยๆ ของนาง

หญิงสาวยืนนิ่งจ้องมองทุกคนด้วยสายตากลมโตที่เย็นชาใบหน้างดงามที่เรียบเฉยฝ่าเท้าน้อยๆ ข้างหนึ่งยังเหยียบอยู่บนหัวของชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ นางขยี้ปลายเท้าไปมาให้ใบหน้าของชายใต้ฝ่าเท้าบิดเบี้ยวจนมีเลือดซึมออกจากเบ้าตากระทั่งโลหิตสายหนึ่งรินหลั่งออกมาจากจมูกและริมฝีปากก่อนจะยกเท้าขึ้นเพียงนิดแล้วกระทืบลงไปอย่างแรงนำพาให้ร่างใหญ่หนาของมันกระตุกดิ้นพล่าน

“อย่ารีบตายเชียว” เสียงเย็นเยียบเอ่ยออกมาจากริมฝีปากเล็กบางของซูเจิน “เจ็บแค่นี้เอง เจ้าควรจะทนเอาไว้ ลูกน้องของเจ้ากำลังยืนมองเจ้าอยู่ ลืมไปแล้วหรือไร หืม...” จบเสียงเย็นชานางจึงยกยิ้มแสยะตรงมุมปาก

“อา...อา...” ชายใต้ฝ่าเท้าร้องได้แค่นั้น

“จ...เจ้า...นางปีศาจ” เสียงของชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ยืนล้อมหนิงเหมยเอาไว้เอ่ยออกมาพลางชี้นิ้วมาทางซูเจิน “นางปีศาจจากที่ใด”

สตรีผู้ถูกเรียกว่านางปีศาจมิได้ตอบคำ นางเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเอียงหน้ามองเจ้าของประโยคด้วยสายตาคู่งามกะพริบปริบๆ แลดูน่ารักผิดกับฝ่าเท้าน้อยๆ ที่กำลังเหยียบย่ำคนตัวใหญ่จนชักกระตุก

“พวกเรา!” อีกเสียงหนึ่งจากสี่บุรุษตัวใหญ่คำราม “จัดการมัน!”

จบคำพวกชายใจหยาบก็พากันกรูเข้าใส่ซูเจินที่กำลังยืนทำตาใสมองอยู่

การต่อสู้แบบชายสี่รุมหญิงหนึ่งจึงบังเกิด

หนิงเหมยได้ทีรีบมองหาสิ่งของเพื่อเป็นอาวุธหมายจะเข้าไปช่วยหนึ่งสตรีที่กำลังชุลมุน

หนี่ม่านรีบหอบเสื้อผ้ารุ่งริ่งลุกขึ้นวิ่งมาหาเจ้านายของตน

“คุณหนู” หญิงสาวร้องไห้ปานขาดใจ นึกหวาดกลัวจับใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ตนเกือบจะถูกย่ำยี โชคดีเหลือเกินที่ชายชั่วตนนั้นยังไม่ทันได้ล่วงเกินนาง “คุณหนู...ฮือ” หนี่ม่านทรุดตัวลงบนพื้นดินนั่งร้องไห้โฮนึกโล่งใจเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรหนี่ม่าน รีบช่วยกันหาอาวุธช่วยแม่นางคนนั้นเถิด” หนิงเหมยปลอบใจสาวใช้พร้อมหยิบไม้ขึ้นมาท่อนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะเอื้อมไม้ขึ้นเพื่อตีใคร สายตาคู่สวยของหนิงเหมยพลันชะงักก่อนจะตกตะลึงพรึงเพริด

ชายตัวใหญ่ทั้งห้าคนนอนตายเกลื่อนกลาด บางคนขาขาดบางคนหัวขาด สภาพอเนจอนาถดูไม่ได้

หนิงเหมยถึงกับยืนตัวเกร็งแข็งทื่อจ้องมองสตรีน่ากลัวที่ลำตัวเปื้อนเลือด นางเพ่งมองจนดวงตาคู่สวยของตนเบิกกว้าง

หนี่ม่านยิ่งร้องไห้โฮเมื่อเห็นไม่ต่างจากเจ้านาย

“หยุด!” ซูเจินตวาดหนี่ม่านที่กำลังร่ำไห้เสียงดัง

สาวใช้ตัวน้อยหุบปากฉับไว

ซูเจินกวาดสายตากลมใสมองไปทางบ่าวชายที่นอนสลบอยู่ไม่ไกลก่อนจะเดินเข้าไปที่บ่าวชายคนนั้นอย่างใจเย็น เมื่อเดินมาถึงตัวบ่าวชายนางเพียงยกเท้าเตะก้นบ่าวชายไปหนึ่งที

ผลที่ได้ทำให้บ่าวชายตื่นลืมตาขึ้นมาในบัดดล

สิ่งแรกที่บ่าวชายมองเห็นเมื่อลืมตาเขาถึงกับผวาทำท่าจะลุกขึ้นวิ่งหนี แต่ทว่ากลับถูกซูเจินกระทืบแผ่นหลังเสียงดังอั่ก

บ่าวชายถึงกับล้มลงหน้าไถพื้นดิน

“ป่ะ...ปล่อยข้าไปเถิด” บ่าวชายละล่ำละลักเอ่ยออกมา “ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรด”

“อันใดกัน?” ซูเจินทำหน้าใสซื่อพลางเอ่ย “ข้ายังมิได้ถามอะไรเลย เจ้าจะรีบร้อนสารภาพไปไย”

ประโยคนั้นทำเอาหนิงเหมยและหนี่ม่านตัวชาวาบ

“หมายความว่าอย่างไร?” หนิงเหมยถามเสียงเบาไปทางบ่าวชายที่กำลังคุกเข่าขอชีวิต

บ่าวชายรีบคลานเข่ามาทางหนิงเหมยแล้วเอ่ยอย่างร้อนรน “คุณหนูขอรับ หากบ่าวสารภาพจะปล่อยบ่าวไปได้หรือไม่ขอรับ”

หนิงเหมยกะพริบตาปริบๆ จ้องมองหน้าบ่าวชายนิ่งงัน เพียงครู่จึงถอนสายตาออกจากบ่าวชายมองไปยังสตรีน่ากลัวทางด้านหลังของบ่าวชาย

“ย่อมได้” ซูเจินตอบรับอย่างอารมณ์ดี นางอมยิ้มน้อยๆ มองดูแล้วคล้ายสาวน้อยไร้เดียงสา

หนิงเหมยจึงพยักหน้าให้บ่าวชายหนึ่งทีเป็นเชิงตกลงว่าจะไว้ชีวิตและให้อภัยหากสารภาพออกมา

บ่าวชายรีบโขกหัวกับพื้นดินพลางเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “เป็นคำสั่งฮูหยินรองขอรับ นางต้องการให้คุณหนูใหญ่ถูกย่ำยีไม่มีหน้ากลับเข้าบ้านขอรับ”

แน่นอนว่าหนิงเหมยเข้าใจได้ไม่ยาก นางเองก็สงสัยตั้งแต่ชายทั้งห้าคนโผล่หน้ามาแล้ว

หญิงสาวจึงทำได้เพียงหลับตากลืนความอัปยศลงคอ อึดใจนางจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเพื่อหมายจะทำตามคำที่บอกกล่าวแก่บ่าวชายว่าจะไว้ชีวิต แต่ยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยอันใด เสียงดังกร๊อบคล้ายกระดูกหักพลันดัง ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนคล้ายสุนัขหอน

หนิงเหมยผงะไปอีกครา หนี่ม่านก็เช่นกัน

บ่าวชายตรงหน้าของสตรีทั้งสองถูกหักแขนหักขาและหักคอภายในเวลาชั่วอึดใจ

“เจ้า” หนิงเหมยเอ่ยเรียกสตรีผู้หักทุกส่วนของบ่าวชาย

ซูเจินยังคงทำตาใสซื่อ “สัจจะย่อมไม่มีในหมู่โจร” นางเอ่ยแค่นั้นพร้อมกะพริบตาปริบๆ แลดูน่ารักเหลือเกิน

หนิงเหมยกับหนี่ม่านกะพริบตาปริบๆ ตอบรับนิ่งอึ้ง

ซูเจินยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปในรถม้าคล้ายกับมิได้ทำอันใดทั้งนั้น

สองสตรีที่ยังยืนตะลึงได้แต่มองตามสตรีที่เคยบาดเจ็บนิ่งงันทำอันใดไม่ถูกทั้งสิ้น

“จะยืนรอทำศพเจ้าพวกนั้นรึ?” เสียงใสๆ ดังออกมาจากในรถม้า

หนิงเหมยและหนี่ม่านมองหน้ากันไปมาก่อนจะเบนสายตาไปมองศพชายตัวใหญ่ที่นอนตายอเนจอนาถเกลื่อนกลาดน่าเกลียดน่ากลัว กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งน่าสะอิดสะเอียด ทั้งสองพยายามฝืนตัวเองมิให้อาเจียนออกมา ก่อนจะพากันรีบประคองกันและกันปีนขึ้นรถม้าอย่างเร็วเมื่อเริ่มตระหนักได้

ภายในรถม้าที่หนึ่งเจ้านายหนึ่งสาวใช้และหนึ่งสตรีบาดเจ็บนั่งอยู่ ทั้งสามนั่งมองหน้ากันไปมาอย่างไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาใด

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป

รถม้ายังคงจอดนิ่งอยู่กับที่ เมื่อหนี่ม่านเปิดผ้าม่านรถม้าออกดูก็ยังคงเห็นศพชายฉกรรจ์นอนตายอยู่

“เหตุใดรถม้าไม่ขยับ?” สาวใช้หนึ่งเดียวถามออกไป

“แล้วใครบังคับรถม้า?” ซูเจินถามออกมาอีกคน

“เขาตายแล้วมิใช่หรือ?” หนิงเหมยตอบให้ทุกคน

สตรีทั้งสามเงียบงันอีกครา

อึดใจต่อมาเสียงถอนหายใจจึงบังเกิดอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งสามมองหน้ากันอีกครั้ง

หนี่ม่านเริ่มหัวเราะพรืดออกมาก่อน หนิงเหมยเห็นอย่างนั้นจึงเริ่มยิ้มตาม ซูเจินเริ่มหัวเราะออกมาบ้าง

“เจ้าคงไม่ฆ่าเราใช่หรือไม่?” เสียงนี้เป็นเสียงของหนี่ม่าน นางแน่ใจว่าอย่างนั้นจึงถามออกไป เพราะสตรีน่ากลัวนางนี้ช่วยตนเอาไว้จากการถูกย่ำยี

“ข้าไม่ชอบฆ่าใครหรอก” ซูเจินกล่าวคำด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

หนิงเหมยกับหนี่ม่านมองหน้ากันก่อนจะส่งสายตามาทางซูเจินด้วยความหมายว่า ไม่เชื่อเด็ดขาด!

ซูเจินหัวเราะพรืด

ครานี้สตรีทั้งสามหัวเราะออกมาเสียงดัง

เสียงหัวเราะสดใสของเหล่าสตรีเกิดขึ้นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้จนพาให้บรรยากาศวังเวงท่ามกลางซากศพพลันเปลี่ยนไป

“ขอบใจนะ” หนิงเหมยเอ่ยออกมาก่อน

“ข้าด้วยนะ ข้าต้องขอบใจเจ้า” หนี่ม่านเอ่ยตาม

“ย่อมเป็นข้าที่ต้องขอบใจพวกเจ้าที่ช่วยข้าจากข้างถนนนั่น” ซูเจินเอ่ยออกมาบ้างพลางชี้นิ้วไปมาตามเนื้อตัวของตนแล้วไหวไหล่น้อยๆ

และอีกครั้งที่เสียงหัวเราะใสกังวานของสตรีทั้งสามพลันดัง

“เอาล่ะ” ซูเจินเริ่มเอ่ยคำขึ้นมาหลังจากหัวเราะจนพอใจ “เจ้าไปบังคับม้า” นางหันมาสั่งหนี่ม่าน

สาวใช้พยักหน้ารับคำแล้วรีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปนั่งยังตำแหน่งบังคับม้า

การเดินทางจึงเกิดขึ้นในอีกครา แต่ทว่าหนี่ม่านเป็นเพียงสาวใช้จิปาถะถนัดแต่ซักผ้าแบกฟืนและปัดกวาดเช็ดถู ไหนเลยจะเคยขี่ม้า

สตรีทั้งสามจึงพากันเดินทางต่ออย่างทุลักทุเลโดยหนี่ม่านบังคับม้าอย่างยากลำบากเนื่องจากนางขี่ม้าไม่เป็นไหนเลยจักบังคับม้าได้ เพราะเหตุนี้ม้าจึงพาคันรถเดินทางไปอย่างไร้ทิศทาง

หนิงเหมยดูแลป้อนยาและทายาให้ซูเจินอยู่ในรถม้าโดยมีหนี่ม่านบังคับม้าให้เดินทางไปตามถนนโดยมิรู้เสียแล้วว่าควรไปทางใด

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว