มายาภพ

หมากรุกของเทวดา

ณ ห้วงจักรวาลอันไกลโพ้น ห่างจากมนุษยโลกไปเป็นระยะทางอันมิอาจประมาณได้ ที่สุดขอบจักรวาลนั้น หากผู้ใดมีทิพยเนตรย่อมจะแลเห็นกลุ่มของรัศมีหลากสีพราวระยับจับกลุ่มกันอยู่ ใกล้เข้าไปอีกจนแลเห็นกลุ่มแสงรัศมีนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ ในที่สุดจักเห็นเรือนร่างคล้ายมนุษย์ประดับตกแต่งกายด้วยอาภรณ์อันงามประณีต เปล่งรัศมีโชติช่วงอยู่ไม่ขาดสาย อยู่ท่ามกลางกลุ่มแสงนั้น เรือนร่างเหล่านี้จะแลเห็นเป็นรูปมนุษย์ได้ชัดเจนเพียง ๗ ร่างเท่านั้น อีก ๒ ร่างลางเลือนราวกับเป็นเพียงภาพเงาหรือกลุ่มหมอกควันที่มารวมตัวเพียงชั่วระยะ แท้จริงแล้ว เขาเหล่านี้คือ เทพประจำดาวนพเคราะห์ที่กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียด

“บัดนี้ พวกท่านคงเห็นแล้วว่าสถานการณ์ของเราอยู่ในภาวะคับขันยิ่ง”

เทพพฤหัสบดี มหาฤาษีผู้ทรงรัศมีสีบุษราคัม เอ่ยช้าๆด้วยใบหน้าเคร่งเครียดราวอาจารย์ที่กำลังเลกเชอร์หน้าชั้นเรียน สายตาจับจ้องอยู่กับกระดานแผ่นกลมตรงหน้า กระดานนั้นแบ่งเป็น ๑๒ ช่องเท่าๆกัน มีตัวคล้ายตัวหมากรุก ๙ ตัวสีต่างๆกัน วางเรียงรายในแต่ละช่อง เทพฤาษีผู้อาวุโส จับตัวหมากรุกตัวหนึ่งขยับไปมา

“ดาวพฤหัสบดีที่ข้าควบคุมอยู่เองถูกบังคับให้โคจรวิปริต เดี๋ยวเสริด เดี๋ยวพักร สุดที่ข้าจะควบคุมได้แล้ว ความเจริญบนสัจจภพขณะนี้จึงมีแต่นำมาซึ่งความเสื่อมถอยของศีลธรรมจรรยา ซ้ำร้าย ดาวเสาร์ที่เคยถ่วงดุลกันได้ ก็โคจรวิปริตไม่ต่างกันไปด้วย สมดุลของโลกที่เคยควบคุมกันเองได้ สั่นคลอนจนมีทีท่าว่าจะพังทลายลงได้ในไม่ช้า”

“นี่คือเหตุผลที่ท่านต้องรีบหาทางแก้ไขใช่ไหม” เทพอาทิตย์ผู้ทรงอาภรณ์ทองคำอร่ามตากลืนกับรัศมีสีส้มทอง มองลงไปที่กระดานนั้นด้วยแววตาเคร่งขรึม “โดยแม้แต่การนำมนุษย์เข้ามาช่วยน่ะหรือ”

“แล้วท่านมีวิธีอื่นไหมล่ะ” เทพอังคารผู้มีรัศมีแดงดังเลือดประดับกายด้วยอาภรณ์ของนักรบสวนขึ้นมาทันที “ข้าเสนอให้พวกเราลงไปจัดการเองก็ไม่เอา กลัวแพ้ เสียศักดิ์ศรีเทวดา ครั้นท่านพฤหัสบดีเสนอให้หามนุษย์เข้ามาช่วยก็โยกโย้ กลัวจะเสียศักดิ์ศรีอีก หรือว่าท่านจะกอดศักดิ์ศรีของท่านไว้ ปล่อยให้พวกอสูรมันร้องเย้ยอยู่อย่างนั้น”

เทพอาทิตย์หันขวับไปทางเทพอังคารราวนาคราชถูกตีที่ขนดหาง ดวงตาวาวโรจน์ดังแสงเพลิง เค้นเสียงกล่าวด้วยความโกรธ “แล้วนี่ไม่ใช่ฝีมือคนเก่งคนกล้าอย่างท่านหรอกรึ ที่ปล่อยให้พวกอสูรมันเข้ามายึดเทวสถานได้”

เทพอังคารฮึดฮัด ลุกขึ้นยืนโดยพลัน เทพศุกร์กับเทพพุธที่ขนาบอยู่สองข้างรีบห้ามปราม พลางรั้งให้ลงนั่งดังเดิม มีแต่เทพเสาร์ ผู้ทรงอาภรณ์ดำสนิท ปราศจากอัญมณีใดๆประดับกาย ดูเคร่งขรึมกลืนกับรัศมีสีขาบเข้ม เท่านั้นที่หัวเราะหึๆ อย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้านั้นเรียบเฉย แต่วาจาเชือดเฉือนเข้าไปถึงหัวใจ

“น่าขำนัก เทวดาที่รังเกียจมนุษย์ ดูถูกมนุษย์ แต่ชอบนำวิธีของมนุษย์มาใช้”

ด้วยคำพูดเพียงแค่นี้ของเทพเสาร์ซึ่งเป็นที่ยำเกรงของเพื่อนเทวดาองค์อื่นๆแม้แต่เทพพฤหัสบดีผู้เป็นประธาน ทำให้คู่กรณีทั้งสองสงบลงได้ ต่างองค์ต่างลงนั่งดังเดิม เมื่อเห็นที่ประชุมเข้าสู่ความสงบแล้ว เทพพฤหัสบดีจึงกล่าวต่อไป

“เหตุผลที่ข้าต้องนำมนุษย์มาช่วยนั้น ประการแรกข้าสืบทราบมาว่า พวกอสูรมันก็คิดเหมือนเราคือดูถูกมนุษย์เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าเราส่งมนุษย์เข้าไปจัดการ พวกมันก็จะไม่ใส่ใจอะไรมากนัก งานย่อมสะดวกขึ้น ประการที่สอง พวกเราทุกคนยังมีหน้าที่ต้องรักษาดาวนพเคราะห์ด้วย จะปล่อยให้พวกอสูรมันเข้ามายึดครองอีกไม่ได้ ประการที่สาม มายาภพและสัจจภพมีความเกี่ยวพันกัน ถ้ามายาภพวุ่นวาย สัจจภพจะยิ่งปั่นป่วนมากขึ้น ดังนั้นมนุษย์จึงควรมีส่วนปกป้องสัจจภพของเขาเองด้วย”

เทพทุกองค์นิ่งเป็นดุษฎี มิมีใครคัดค้านหรือเสนอความเห็นอื่นใด เทพพฤหัสบดีจึงกล่าวต่อไป “เอาละ ท่านพุธ สิ่งที่ข้ามอบหมายให้ไปดำเนินการ ท่านทำไปได้ถึงไหนแล้ว”

เทพพุธผู้ทรงรัศมีสีเขียวดังใบไม้อ่อนเมื่อแรกผลิยามต้องน้ำฝน เอ่ยขึ้นอย่างสุขุม กังวาลเสียงสดใสราวเด็กวัยรุ่น “บัดนี้ ข้าได้คัดเลือกมนุษย์ ๗ คน ซึ่งจะพาเข้ามายังมายาภพได้แล้ว แต่ละคนต่างก็มาพบกันและรู้จักกันดีแล้ว รอแต่เวลาที่พวกเราจะพาพวกเขาเข้ามาเท่านั้น”

“ไยจึงมีแค่ ๗ คน” เทพราหู ผู้มีเรือนร่างและรัศมีดังควันไฟ ท้วงขึ้น “พวกเรามี ๙ องค์นี่นา ไหนว่าจะให้มนุษย์เป็นตัวแทนเทพแต่ละองค์มิใช่หรือ”

“ถูกแล้ว แต่สำหรับท่านและท่านเกตุ ข้าจะขอให้ท่านไปเป็นพี่เลี้ยง คอยให้คำปรึกษา ตักเตือนพวกมนุษย์เหล่านั้น ขืนปล่อยให้ไปมะงุมมะงาหรา ทำงานแต่ลำพัง เกรงจะหลงกลพวกอสูรจนเสียงาน อีกทั้งท่าน ๒ องค์ก็มิได้มีดาวเคราะห์ที่ต้องดูแลประจำเหมือนองค์อื่นๆ ท่านจะตกลงหรือไม่”

เทพเกตุและเทพราหูพยักหน้าเป็นเชิงตกลงแล้วนิ่งไป เทพจันทร์ผู้ทรงรัศมีสีเงินยวงจึงกล่าวขึ้นบ้างว่า “ท่านแน่ใจหรือเปล่าว่ามนุษย์พวกนั้น จะเต็มใจช่วยเหลือพวกเรา”

“ข้อนั้นไว้เป็นธุระของข้าเอง” เทพพุธกล่าวอย่างมั่นใจ “ข้ามีวิธี”

“แล้วจะเริ่มลงมือกันเมื่อไหร่” เทพศุกร์ผู้ทรงรัศมีสีน้ำทะเลเอ่ยขึ้นบ้าง

“เพ็ญหน้าที่เป็นเพ็ญเดือน ๗ ในสัจจภพ เป็นวันที่ประตูระหว่างสัจจภพกับมายาภพเข้าใกล้กันมากที่สุด วันนั้นแหละจะเป็นวันเริ่มงานของเรา”

“เมื่อทุกฝ่ายเห็นชอบแล้วก็ตกลงตามนี้” เทพพฤหัสบดีสรุป “ระหว่างที่รอเวลา ขอให้พวกเราทุกคนรักษาหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด และอย่าแพร่งพรายแผนการณ์ใดๆของพวกเราให้คนอื่นรู้เลยเป็นอันขาด แม้แต่เทพบริวารของพวกท่านเองก็ตาม หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูพวกอสูร พวกมันอาจเข้ามาขัดขวาง ทำให้งานของเรายากขึ้นไปอีก”

เทพพฤหัสบดีหันไปสบตากับเทพเสาร์ผู้นั่งสงบนิ่งเกือบตลอดการประชุม เทพเสาร์ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้แสดงอาการขัดข้องอย่างใด เทพนพเคราะห์ทั้ง ๙ จึงแยกย้ายกันกลับไปยังวิมานของตน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการต้อนรับมนุษย์ผู้มาเยือนในวันเพ็ญหน้า


“เฮ บูม ลา คมเคียว รวงข้าว ชาวนา U – U – U– S – A U-SA กูไม่ซ่า เฮ”

“เอามาไหม ปากน่ะ ไม่ได้ยิน เอาใหม่ ดังกว่านี้”

“เฮ บูม ลา …”

“ไม่ได้ เอาใหม่ พวกเดียวกันหรือเปล่า”

“ข้างหลังอย่าอู้ อิ่มไหมน่ะ กินแรงเพื่อนอยู่ได้ เอาใหม่”

“เฮ บูม ลา คมเคียว รวงข้าว ชาวนา U – U – U– S – A U-SA กูไม่ซ่า เฮ”

เมื่อขึ้นปีการศึกษาใหม่ บรรยากาศของการรับน้องประชุมเชียร์ที่เคร่งเครียดแต่สนุกสนานกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ที่นี่ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์เพื่อการเกษตร หรือ USA (University of Science for Agriculture) มหาวิทยาลัยแห่งใหม่ล่าสุดในประเทศไทย กำลังมีกิจกรรมรับน้องใหม่รุ่นที่ ๔ อย่างครึกครื้น เสียงบูมและร้องเพลงเชียร์ของน้องใหม่ เสียงออกคำสั่งอย่างดุดัน วางอำนาจของพี่ๆ คืนชีวิตชีวาให้แก่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง หลังจากเงียบเหงามาตลอดภาคฤดูร้อน ถัดจากลานรับน้องไปไม่ไกลนัก เป็นอาคารเกษตรเชิงชีวภาพ ซึ่งเป็นที่ที่รุ่นพี่ปี ๓ และปี ๔ บางกลุ่มกำลังวุ่นวายกับการทดลองและงานวิจัยของตน มิได้ไปร่วมสนุกกับกิจกรรมรับน้องเช่นคนอื่นๆ

ณ ห้องปฏิบัติการชีวเคมี ชั้น ๓ ปุ้มกับน้อม นักศึกษาสาขาชีววิทยาทางการเกษตร กำลังทดลองเรื่องการสกัดดีเอ็นเอออกจากเลือดไก่ ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกของวิชาชีวเคมีในภาคเรียนนี้ หลังจากผสมเลือดไก่กับ Sodiam dedodyl sulfate (SDS) ลงในขวดรูปชมพู่ หุ้มด้วยอะลูมินั่มฟอยล์ วางลงในเครื่องเขย่าเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่รอเวลา ทั้งคู่จึงหลบกลิ่นสารเคมีที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง ออกมานั่งที่ระเบียงด้านหน้า สายตามองเลยไปยังลานกว้างหน้าอาคารอุตสาหกรรมเกษตรที่อยู่เยื้องกัน มองเห็นรุ่นน้องที่กำลังถูก “ว้าก” อยู่ลิบๆ เสียงอันเหี้ยมเกรียมของบรรดาพี่ว้ากแว่วมา

“หมอบไป หมอบไป”

“จัดแถวแค่นี้ ทำให้ดีไม่ได้ ก้มหน้าไป ไม่ต้องมอง”

ปุ้มยืนนิ่งมองภาพที่เห็นอยู่ไกลๆนิ่งเหมือนโดนสะกด พลางเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“เห็นแล้วนึกถึงตอนที่เราอยู่ปี ๑ นะน้อม ตอนนั้นเราก็โดนแบบนี้แหละ”

“นั่นสิ เหนื่อยแทบตาย ฉันน่ะ กลับถึงหอก็นอนเลย หนังสือหนังหาไม่เคยอ่าน พอสอบกลางภาค เกือบตกตั้งหลายวิชา”

“แต่ก็ไม่ตกนี่ ฉันตกตั้งวิชาหนึ่งแน่ะ”

“แหม แต่ก็ท็อปแค่ ๓ วิชาเองไม่ใช่หรือ แถมตอนนั้น ว้ากทีไร เธอก็ป่วยทุกวัน นั่งมองคนอื่นเขาอย่างเดียว จะไปเหนื่อยอะไรล่ะ”

“เขาเรียกว่ารู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีไงล่ะ ยังไงซะ ฉันก็ดีกว่าพวกคุณหญิงคุณนายบางคนแล้วกันน่า ยังไปให้เพื่อนเห็นหน้าทุกวัน ไม่ใช่หดหัวอยู่แต่ในกระดอง ปล่อยให้เพื่อนโดนทำโทษเพราะไปกันไม่ครบอยู่ได้”

“คนเรามันต่างจิตต่างใจกัน ก็รู้ๆกันอยู่” น้อมพูดพลางมองเลยไปยังลานจอดรถที่อยู่ถัดออกมาอีก “มหา’ลัยเราน่ะ จะมีคนตั้งใจมาเรียนจริงๆสักกี่คน ดูสิ พอเปิดเทอม รถใหม่ป้ายแดงของลูกเศรษฐีที่พ่อแม่จ้างให้มาเรียนจอดเต็มไปหมด พอโดนว้ากเข้าหน่อยเดียว ทยอยหายไปทีละคันสองคัน”


เสียงฝีเท้าของใครสักคนหนึ่งใกล้เข้ามาอย่างเร่งร้อน ทั้งสองหันไปดูจึงเห็นเจ้าของร่างนั้นกำลังวิ่งกระหืดกระหอบตรงมาหา เกริกนั่นเอง เจ้าของฉายา “ราชาขี้เต๊ะ” ของเพื่อนๆ ในชุดกิจกรรมของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเสื้อม่อฮ่อม กางเกงขาก๊วยสีกรมท่า พร้อมผ้าขาวม้าคาดเอว

“นี่ๆ วิชาอีโค (Ecology[1]) น่ะ กลุ่มเธอครบหรือยัง อยู่ด้วยคนสิ”

“เสียใจย่ะ ครบแล้ว”

น้อมแกล้งพูดเสียงสะบัดๆใส่ เป็นที่รู้กันดีทั้งรุ่นว่าทั้งคู่ไม่ใคร่จะถูกกันนัก ตั้งแต่ปีหนึ่งจนปีสาม พูดดีกันได้ไม่เกินสามคำ ก็ต้องปะทะคารมกันไปทุกคราว

“โธ่ อยู่ด้วยคนไม่ได้หรือไง กลุ่มอื่นก็ครบหมดแล้ว มันต้องเหลือเศษคนหนึ่งสิ”

“งั้นทำไมไม่ไปอยู่กลุ่มอื่น” น้อมได้ที ตั้งป้อมถามมาอีก

“ก็อยู่ไม่ได้นะสิ” เกริกพูดเสียงเศร้า “กลุ่มไอ้แป๋วมันไม่ให้อยู่เพราะค่าทำรายงานวิชาวัฒนธรรมเทอมที่แล้วยังไม่ได้จ่าย ก็ไม่มีตังค์นี่หว่า พวกไอ้ไก่มันก็ว่าไบโอเค็ม (Biochemistry[2]) อยู่กลุ่มเดียวกะมันแต่ไม่ยอมไปช่วยมันสกัดเลือดไก่ จะไปได้ไง ว้ากน้องทุกเย็น กลุ่มยายจิ๋วจะไปเก็บหอยตอนบ่ายสามวันอาทิตย์ ไปไม่ได้อีก มีประชุมพี่ว้าก จะไปอยู่กลุ่มนังใหม่ก็ไม่ชอบหน้ามัน แล้วก็…”

“พอๆ กลุ่มนี้ก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่ถูกกะนังน้อม” น้อมขัดขึ้น เกริกหน้าเสียทันที

“โธ่ๆ เห็นแก่อนาคตของว่าที่เกษตรกรตัวอย่าง เจ้าของสวนลำไยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเถอะนะ ถ้าลำไยที่บ้านออกลูกเมื่อไหร่ จะขนมาแจกคนละกิโลเลย ขอแค่ใส่ชื่อไปด้วยคนนะ”

“ของฉันต้องเป็นเข่งขึ้นไป จะได้เอาไปขายต่อ” น้อมยังไม่ยอมหยุด

“เหอะ ยายแม่ค้าหน้าเลือด นี่ข้าลงทุนง้อแกแล้วนะโว้ย”

“เธอก็รู้ทั้งรู้นี่นะนายเกริก ยังมาเถียงกันอยู่ได้” ปุ้มตัดสินใจห้ามทัพหลังจากยืนฟังอยู่นาน ก่อนจะกลายเป็นทะเลาะกันจริงๆ “พอกันทั้งคู่ ไอ้เรื่องต่อปากต่อคำกันนี่ ไม่รู้ว่าถ้าแพ้แล้วจะขาดใจตายหรือไง ถ้านายจะอยู่กลุ่มเรานะเกริก นายต้องไปช่วยเก็บหอยด้วย จะให้ใส่ชื่อลงไปเฉยๆไม่ได้”

“ได้เลยจ้ะ น้องปุ้มผู้แสนดีจ๋า วันอาทิตย์บ่ายสามไม่ว่างนะจ๊ะ”

“งั้นวันอาทิตย์ บ่ายสองครึ่ง” น้อมแกล้งยั่วอีก

ปุ้มส่ายหน้าอย่างระอาใจ เป็นอย่างนี้ทุกที ไม่รู้ว่าเห็นเป็นเรื่องสนุกตรงไหน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ก่อนการปะทะคารมรอบสองจะเริ่มขึ้น เอมกับนิ่มเดินมาถึงพอดี เสียงร้องไห้ของเอมหันเหความสนใจของคู่กรณีจนลืมเรื่องที่โต้เถียงกันเมื่อครู่ไปได้

“อ้าว เอม เป็นอะไร ร้องไห้ใหญ่เชียว” เกริกร้องทัก เมื่อเห็นเอมร้องไห้จนตาแดง กำลังก้มหน้าใช้ผ้าซับน้ำตาอยู่ แต่เงียบ ไม่มีคำตอบ นอกจากเสียงสะอื้นนิดๆ อย่างคนที่พยายามควบคุมอารมณ์มากที่สุดแล้ว

“จะเรื่องอะไร” นิ่มตอบอย่างไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจเท่าไรนักทั้งๆที่เดินมาด้วยกันแท้ๆ “ก็ลูกอ๊อดที่เราเลี้ยงไว้ในแล็บแอนนิมอล ฟิสิโอ (Animal Physiology[3]) น่ะสิ สายออกซิเจนหลุด ตายหมดทุกอ่างเลย ฉันกับเอมจะเข้าไปให้อาหาร พอเห็นลูกอ๊อดลอยอืดเท่านั้นแหละ ยายเอมก็ปล่อยโฮแล้ว ไม่เป็นอันทำอะไร หน้าที่เก็บล้างเลยเป็นของฉันคนเดียว”

“โธ่เอ๊ย”

เพื่อนๆทุกคนที่ตั้งใจฟังอยู่ร้องขึ้นมาพร้อมๆกัน ปุ้มมองหน้าเอมอย่างสมเพช เอ่ยปากเทศนาตามความเคยชิน “นี่แค่ลูกอ๊อดเองนะเอม ยังร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ แล้วเทอมหน้าถ้าต้องเรียนซู (Zoology[4]) ขึ้นมา จะทำยังไง ไหนจะผ่ากบ ไหนจะดองใสจิ้งจก สตาฟฟ์แมลงอีก ไม่ต้องร้องไห้ทุกวันหรือไง”

“จ้างให้ฉันก็ไม่เรียน” เอมสวนขึ้นทันที “ฉันเลือกเรียนบอท (Botany[5]) ดีกว่า ให้ฉันไปขึ้นเขาลงห้วย สำรวจต้นไม้ในป่าดงดิบยังดีซะกว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในห้องแล็ป”

ปุ้มขยับจะพูดต่อแต่น้อมชิงพูดขึ้นเสียก่อน “อ้อ เกือบลืมไปแล้ว พี่ว้ากตัวดีรายนี้เขามาขออยู่กลุ่มเดียวกะเราด้วยนะ” ชำเลืองไปทางเกริก “แต่ก็ยังเรื่องมาก วันอาทิตย์บ่ายสามไม่ว่าง”

“งั้นเราก็ไปเก็บหอยเสียบกันวันเสาร์สิ” นิ่มเสนอ

ปุ้มกับเอมพยักหน้าแต่น้อมขัดขึ้น “ลืมอีกแล้วหรือ ยายเอม วันเสาร์นี้เธอต้องไปเป็นพิธีกรงานรับขวัญน้อง จะไปเก็บหอยได้ตอนไหนมิทราบ งานเริ่มแต่เช้าเลิกเกือบสี่ทุ่ม”

“จริงด้วย ฉันลืมนึกไป งั้นไปวันอาทิตย์ตอนเช้ากันเถอะ”

“น้ำจะขึ้นจะลงตอนไหนก็ไม่รู้เสียด้วย” นิ่มพูดขึ้นบ้าง “กะให้ถึงหาดเกือบๆเที่ยงแล้วกัน สักชั่วโมงหนึ่งคงเสร็จ กลับมาถึง ม. ก็คงราวบ่ายสองครึ่ง เกริกจะได้ไปประชุมทัน”

“ดี เห็นด้วย” เกริกที่ยืนเงียบมานาน ยืดอกขึ้นวางท่าพี่ว้ากเต็มตัว “วันศุกร์ ใครก็ได้ไปเบิกอุปกรณ์กับฉันคนหนึ่ง วันอาทิตย์ สิบโมงครึ่ง เจอกันที่หน้าตึก ขอให้ตรงต่อเวลาด้วย แค่นี้นะ จะต้องไปว้ากน้องต่อ” พูดพลางหันหลังกลับออกวิ่งเหยาะๆไปทันที

“ค่ะ พี่ว้าก” ทั้งสี่คนแกล้งล้อเลียน น้อมจงใจพูดไล่หลังไปว่า “ยังกะลิงหลอกเจ้ายังงี้ เป็นพี่ว้ากได้ยังไง”

“โธ่ รู้ไหมว่า น้องๆเขากรี๊ดพี่เกริกสุดหล่อกันขนาดไหน” เกริกที่วิ่งไปเกือบถึงบันไดแล้วตะโกนกลับมา ก่อนจะวิ่งตื๋อลงบันไดไป ไม่ทันได้ยินเสียงเจริญพรของเพื่อนๆ

“พี่เกริกสุดหล่อ แหวะ ไอ้ขี้โม้”


สิบโมงครึ่งที่หน้าอาคารการเกษตรเชิงชีวภาพ ปุ้ม น้อม หนุ่ย จัน ช่วยกันถือลังใส่อุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ทั้ง ตะกร้า เสียม ถุงพลาสติก สายวัด ลงมากองไว้หน้าอาคารพร้อมสรรพแล้ว รอแต่เกริกกับนิ่มที่ออกไปหารถสองแถวรับจ้าง ส่วนอีกคนคือเอมยังไม่มาให้เห็นหน้า

ในขณะที่น้อมกับปุ้มยืนมองนาฬิกา ชะเง้อดูทางโน้นที ทางนี้ที อีกสองคนที่เหลือคือหนุ่ยและจันดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก หนุ่ย หนุ่มร่างท้วมผิวขาวหน้าตี๋นั่งอ่านหนังสือการ์ตูนไป กินมันฝรั่งทอดกรอบยี่ห้อใหม่ไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนจันนั่งพิงเสามองเพื่อนทั้งสองคนอยู่เงียบๆ ในที่สุดก็พูดขึ้น

“เธอสองคนน่ะนั่งรอเฉยๆก็ได้ จะต้องเดินไปเดินมาให้เมื่อยทำไม”

“สิบโมงจะครึ่งแล้วนะจัน ยายเอมยังไม่มาเลย อีตาเกริกกับแม่นิ่มก็หายเงียบไปอีก ไม่รู้จักรีบร้อนอะไรกับเขามั่งเลย” น้อมบ่น

“พูดยังกับว่ามีธุระร้อนต้องรีบไปไหนต่อยังงั้นแหละ” จันว่า

“สองคนนั่นเว้นไว้เถอะ ยังไงซะ เกริกเขามีธุระตอนบ่ายต้องรีบอยู่แล้ว ห่วงแต่คุณนายหวานเย็นของเรานั่นแหละ ป่านนี้จะยังนอนหลับฝันดี นึกว่าสี่ทุ่มครึ่งเสียก็ไม่รู้”


“คุณนายหวานเย็น” ที่ปุ้มเอ่ยถึง ก็คือเอม ผู้อารมณ์ดีอยู่เสมอ ทำให้เพื่อนๆยิ้มได้ตลอดเวลา ด้วยลักษณะผสมผสานที่เกือบลงตัวระหว่างความอ่อนหวานแบบกุลสตรีไทย พูดภาษาไทยชัดทุกคำควบกล้ำ กับความเปรี้ยวจี๊ดแบบสาวสมัยใหม่ พูดภาษาอังกฤษได้ไม่ผิดเพี้ยนจากเจ้าของภาษา แต่ด้วยความที่เป็นคนอ่อนวิชาทางคำนวณ เรียนรู้อะไรใหม่ๆทั้งวิชาแคลคูลัส ฟิสิกส์ สถิติได้ช้าจนคนติวให้อ่อนอกอ่อนใจตามไปด้วย จึงเป็นที่มาของสมญานามที่ปุ้มตั้งให้

อย่างไรก็ดี เอมก็เป็นคนที่มีน้ำใจกับเพื่อนทุกคน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญคนหนึ่งในการทำกิจกรรมของคณะและภาควิชาไม่เคยถือตัวว่าเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดัง แม้แต่กับหนุ่ย ที่เพื่อนๆร่วมชั้นพากันเอือมระอากับความขี้เกียจและใจเสาะ หนักไม่เอา เบาไม่สู้ ก็มีแต่เอมนี่แหละที่ชวนมาร่วมกลุ่มด้วยเสมอแทบทุกวิชา ก็นั่นแหละเข้ากลุ่มกันครั้งใด หนุ่ยก็มักถูกปุ้มล้อเลียนว่าเป็น “ยักษ์ใจเสาะ” หรืออย่างอื่นสุดแต่จะคิดได้ ก็ไม่มีทีท่าว่าหนุ่ยกับปุ้มคู่นี้จะเกิดอาการเขม่นหรือจงเกลียดจงชังกันแต่อย่างใด

แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะความจู้จี้ขี้บ่นที่เป็นธรรมชาติของปุ้ม รู้กันดีอยู่แล้วว่าบ่นได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จนเพื่อนๆเรียกกันลับหลังว่า “ฆ้องปากแตก” กระนั้นความเป็นคนเรียนเก่ง ไม่หวงวิชา ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน ถ้าเรียนวิชาเดียวกันแล้ว ปุ้มพร้อมติวให้เสมอไม่จำกัดวิชา เวลา และสถานที่ เพื่อนๆเลยเกลียดไม่ลงและจะยิ่งรักมากขึ้นเมื่อใกล้สอบ โดยเฉพาะเอมแล้ว จัดว่าเป็นลูกค้าขาประจำก็ว่าได้ ทนฟังปุ้มบ่นเอาหน่อย เดี๋ยวก็ได้ความรู้ทุกอย่างที่อาจารย์สอน ถ้าติวกันเท่าไหร่แล้วก็ไม่ยอมเข้าใจกันสักที ถึงขนาดเขียนคำตอบให้ไปท่องก็ยังเคย

แต่เห็นอย่างนี้แล้วจะคิดว่าปุ้มคือที่หนึ่งของชั้นปีแล้ว จัดว่าผิดถนัด ปุ้มไม่เคยใส่ใจกับการยึดถือเกรดเป็นสรณะ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเพื่อติวเพื่อนเท่านั้น ส่วนการสอบแค่ขอให้ผ่านเป็นพอ จะเลือกท็อปเฉพาะวิชาโปรดอย่างเคมีหรือพันธุศาสตร์ เกรดของปุ้มจึงอยู่ในระดับ ๓ ต้นๆ ไม่เกิน ๓.๒ ที่หนึ่งของชั้นปีตัวจริงคือนิ่ม ซึ่งได้เกรดเฉลี่ยสะสมล่าสุดเฉียด ๓.๖ มีลุ้นเกียรตินิยม

แม้ว่านิ่มจะมาจากครอบครัวที่เป็นตระกูลครูอย่างแท้จริง แต่นิ่มสอนใครไม่เป็นเลย เวลาใกล้สอบมักจะแยกไปอ่านหนังสือคนเดียว เว้นแต่จะถูกปุ้มขอร้องแกมบังคับให้มาช่วยติวเพื่อนเป็นบางวิชา สิ่งที่นิ่มได้มาจากครอบครัวที่เป็นครูล้วนๆ คือความเป็นระเบียบที่ใครเห็นครั้งแรกก็ต้องทึ่ง คราใดที่เห็นนิ่มในชุดนักศึกษาแสดงว่าต้องเรียบร้อยตรงตามระเบียบเป๊ะ ทุกเวลา ไม่เคยแม้แต่จะปล่อยชายเสื้อออกนอกกระโปรง ตรงข้ามกับปุ้ม รายนั้นขอแค่ออกนอกห้องเรียน ความเรียบร้อยก็หายวับไปกับตา

ถึงแม้ว่าจะต่างคนต่างเก่งแบบต่างกันสุดขั้วโลก แต่ความต่างนั้นเหมือนจะเป็นแรงดึงดูดเข้าหากันอย่างประหลาด ทั้งคู่ชอบทำงานกลุ่มเดียวกัน ชื่นชอบกับการถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อเข้าใจไม่ตรงกัน ชนิดที่เพื่อนๆ เสียวแทนว่าทั้งคู่จะทะเลาะกันจริงๆ เถียงกันจนหนำใจแล้วนั่นแหละ ถึงจะพากันไปให้อาจารย์ตัดสิน หลังจากนั้นก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส เดินคุยกันออกมาเป็นปกติเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อีกคนหนึ่งที่จัดว่าตรงข้ามกับปุ้มอย่างสุดขั้วเหมือนกันคือจัน ผู้เงียบขรึมที่สุดในชั้น เป็นคนเดียวที่ไม่เคยพูดคุยในเวลาเรียน เพราะปกติก็ไม่ค่อยคุยกับใครอยู่แล้ว แทบจะนับคำได้เลยทีเดียว จนขึ้นปี ๒ นั่นแหละ จันจึงเริ่มปรับตัวได้ รู้จักพูดรู้จักคุยมากขึ้น เพื่อนสนิทที่สุดของจันคือน้อม และน้อมก็เป็นคู่หูคนสำคัญของปุ้ม จึงไม่แปลกที่ทั้ง ๓ คนจะรวมกลุ่มทำงานกันเสมอ ถ้าต้องมีคนมากขึ้นจึงจะพ่วง เอม นิ่ม และหนุ่ย เข้ามาด้วยเสมอ


การรอคอยอันกระวนกระวายของน้อมกับปุ้มสิ้นสุดลงเมื่อเกริกกับนิ่มมาถึงพร้อมกับรถสองแถวที่ไปว่าจ้างมา เวลาเดียวกันนั้นเอง เอมขี่รถป๊อบมาถึงพอดี พร้อมสัมภาระอีกถุงใหญ่ มีแต่ของกินทั้งนั้น

“อะไรกัน เอม นี่เธอเห็นเพื่อนเธอตะกละถึงขนาดนี้เลยหรือ”

ปุ้มร้องโวยวายออกมาเมื่อเห็นชัดกับตาว่าในถุงนั้นอย่างน้อยก็มีข้าวกล่อง ๗ กล่อง ขนมขบเคี้ยว ๒ ถุงใหญ่ๆ น้ำดื่มอีกขวดหนึ่ง

“แล้วพวกเธอจะไม่หิวกันบ้างหรือไง” เอมย้อน “กว่าจะไปถึงหาดก็เกือบเที่ยง แล้วนี่กินข้าวเช้ามาครบทุกคนหรือยังก็ไม่รู้ งานนี้ฉันคงช่วยอะไรได้ไม่มาก ฉันเลยเลี้ยงพวกเธอเอง นี่ มีข้าวผัดกะเพราของโปรดของจัน ข้าวหมูแดงของเกริก ข้าวหน้าเป็ดของหนุ่ย แล้วก็…”

“เชิญคุณหญิงคุณนายขึ้นรถได้แล้วครับ ขนของเสร็จแล้ว” เสียงเกริกตะโกนมาตัดบทเสียก่อน


อีกประมาณชั่วโมงหนึ่งต่อมา รถโดยสารก็แล่นมาถึงชายหาด เกริกลงไปจ่ายค่ารถ ส่วนคนอื่นๆทยอยลงมา

“ยู้ฮู้ ถึงแล้ว หาดของเรา” หนุ่ยตะโกนก้องเมื่อลงจากรถเป็นคนสุดท้าย “โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส มองเห็นเรือใบ…”

“พอที ไอ้หนุ่ย แหกปากร้องเพลงอยู่ได้ มาช่วยกันขนของเร็ว เฮ้อ นึกแล้วก็อนาถวาสนาไอ้เกริก ไม่เป็นพวกใช้แรงงานก็เป็นเบ๊ขนของทุกที”

“รู้ตัวก็ดีแล้วล่ะ จำไว้นะ ถึงจะเป็นพี่เกริกสุดหล่อของน้องๆ ยังไงก็ต้องเป็นนายเกริกคอยขนของตามหลังเพื่อนอยู่ดีแหละ”

“เธอก็หยุดเถอะน้อม แขวะกันไป แขวะกันมา เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก มาช่วยกันขนของไปเถอะ จะได้เร็วๆ แดดยิ่งร้อนอยู่ด้วย”

“ค่ะ/ครับ อาจารย์นิ่ม”

ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกันพลางหยิบฉวยอุปกรณ์ลงไปยังชายหาดโดยมีนิ่มวิ่งไล่หลังลงไปเป็นคนสุดท้าย


ณ อีกโลกหนึ่ง ใกล้กับประตูระหว่างพิภพ เทพนพเคราะห์ต่างมาประชุมกันเพื่อดำเนินการณ์ตามแผนขั้นสุดท้าย เทพพุธเอ่ยขึ้นหลังจากวุ่นวายกับการคำนวณในกระดานชนวนอยู่ครู่หนึ่ง

“บัดนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกไม่เกิน ๕ นาทีมนุษย์ ประตูระหว่างพิภพจะเปิดให้มนุษย์ทั้ง ๗ คนผ่านเข้ามาได้”

“แน่ใจนะว่าจะมีแค่ ๗ คนนั้นผ่านเข้ามา” เทพศุกร์เอ่ยขึ้นเมื่อชะโงกหน้ามองลงไปในอ่างแก้ว เห็นชายหาดที่ทั้ง ๗ คนไปเก็บหอยเสียบอยู่นั้นมีผู้คนพลุกพล่านพอสมควรเพราะเป็นวันหยุด “ไม่ใช่ว่าคนทั้งหาดเฮโลผ่านเข้ามาในประตูนั้นหมดล่ะ”

“ท่านคิดว่าประตูระหว่างพิภพจะใหญ่เท่าประตูวิมานของท่านเชียวหรือ” เทพพุธหันมาถาม “ที่จริงมันเป็นแค่กลุ่มพลังงานขนาดไม่เกินลูกส้มเช้ง ด้านหนึ่งมีพลังมหาศาลในการดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่ช่องว่างคล้ายวังน้ำวนที่ศูนย์กลางของมัน อีกด้านหนึ่งก็มีพลังงานเท่ากันในการผลักทุกสิ่งที่เข้าสู่ศูนย์กลางออกจากตัว เมื่อด้านที่มีแรงดึงดูดหันเข้าหาสัจจภพ ด้านที่มีแรงผลักหันเข้าหามายาภพ เท่านี้เอง การเดินทางระหว่างพิภพก็เกิดขึ้นได้”

“แล้วท่านแน่ใจหรือว่าเมื่อถึงตอนส่งเข้ากลับ ท่านจะส่งเขากลับไปยังจุดเดิมได้” เทพเสาร์เอ่ยขึ้นเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความหมาย “ถ้าพลาด หมายถึงชีวิตของเขาและเรื่องราวบนสัจจภพบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาต้องเปลี่ยนไป ดีมิดี ความลับของพิภพจะถูกเปิดเผย”

“ข้ามั่นใจ” เทพพุธรับคำหนักแน่น แต่แววตายังมีแววกังวล “ถ้าข้าคำนวณหาประตูระหว่างพิภพที่กลับด้านกันและอยู่ตรงจุดเดิมที่ที่ข้าพาเขาเข้ามาได้ ข้าจะส่งเขากลับไปโดยที่ไม่เสียเวลาในชีวิตบนสัจจภพของพวกเขาแม้แต่เศษเสี้ยววินาที”


[1] Ecology = วิชานิเวศวิทยา

[2] Biochemistry = วิชาชีวเคมี

[3] Animal physiology = วิชาสรีรวิทยาของสัตว์

[4] Zoology = วิชาสัตววิทยา

[5] Botany = วิชาพฤกษศาสตร์

รีวิวจากผู้อ่าน 4 รีวิว
  • blue2560
    เมื่อ 6 ปี 4 เดือนที่แล้ว
    ขอบคุณมากกก
    • อ่านถึง : หมากรุกของเทวดา
  • Sirisupa
    เมื่อ 6 ปี 5 เดือนที่แล้ว
    thank thanks
    • อ่านถึง : หมากรุกของเทวดา
  • Sirisupa
    เมื่อ 6 ปี 5 เดือนที่แล้ว
    thank thanks
    • อ่านถึง : หมากรุกของเทวดา
  • Sirisupa
    เมื่อ 6 ปี 5 เดือนที่แล้ว
    thank thanks
    • อ่านถึง : หมากรุกของเทวดา

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว