:: บทที่ 5 :: จวนแม่ทัพ
เปลือกตาหนักอึ้งค่อยเปิดออก เหมยฟางลุกขึ้นนั่งสะบัดศีรษะเรียกสติให้กลับมา นางยังคงมึนงงเล็กน้อย ภาพเบื้องหน้าแลดูพร่ามัว มือเรียวบางขยี้ตาขับไล่ความเลือนราง
ในห้องประดับตกแต่งแบบเรียบง่ายทว่าหรูหรา เฉดสีของผ้าม่าน ผ้าคลุมโต๊ะ ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม และที่นอน เป็นสีทึมๆ บ้างสีน้ำเงินหรือสีน้ำตาล บ่งบอกว่าห้องนี้เป็นห้องของบุรุษ เหมยฟางสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง กลิ่นในห้องให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายสดชื่น ถ้าไม่ใช่กลิ่นกำยานคงเป็นกลิ่นเครื่องหอมที่เอาไว้สำหรับอบผ้า
หันมองไปรอบด้านสายตาพลันสะดุดเข้าที่ข้างเตียง มีดวงตากระจ่างใสคู่หนึ่งกะพริบมองจ้องตอบกลับมา เหมยฟางสะดุ้งเฮือกตกใจกับดวงตาไม่คุ้นเคยคู่นี้
หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบปี วงหน้าเกลี้ยงเกลาปราศจากเครื่องประทินโฉม มีแววตากระจ่างใส ผิวกายขาวสะอาด ผมยาวรวบแน่นเป็นมวยไว้กลางศีรษะ สวมชุดเรียบง่ายดูดี เสียงเล็กนุ่มของหญิงสาวเอ่ยว่า “แม่นางเหมยฟางฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้างยังวิงเวียนรู้สึกไม่สบายตัวอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
เหมยฟางถามประโยคคลาสสิคอีกหน “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ที่นี่คือที่ไหน พี่สาวเป็นใคร”
คนถูกถามตอบว่า “ที่นี่คือจวนของท่านแม่ทัพ ส่วนบ่าวเป็นสาวใช้ที่ท่านแม่ทัพส่งมาให้คอยดูแลแม่นางเหมยฟาง นามของบ่าวเสี่ยวหงเจ้าค่ะ”
เหมยฟางพยักหน้ารับรู้ “อ้อ”
“บ่าวต้มน้ำไว้ให้แม่นางอาบทางด้านใน อีกประเดี๋ยวก็ได้เวลาตั้งสำรับอาหารเย็นแล้ว ท่านแม่ทัพเชิญแม่นางให้ไปรับประทานอาหารร่วมกันเจ้าค่ะ”
เหมยฟางปัดผ้าห่มออกจากตัว ลุกขึ้นเดินไปทางชุดที่เตรียมไว้ให้ นางถึงกับผงะเล็กน้อย อาภรณ์ผ้าไหมปักลายประณีตงดงาม ดูท่าราคาคงแพงไม่เบา อวี้หลิงช่างลงทุนเสียเหลือเกิน
“ข้าเรียกพี่สาวว่าพี่เสี่ยวหงแล้วกันนะ พี่ไม่จำเป็นต้องแทนตัวเป็นบ่าวกับข้าหรอก ข้าเองก็เป็นเพียงลูกสาวชาวบ้านธรรมดา อย่าได้ถือศักดิ์ฐานะยิบย่อยกับข้าเลย” เหมยฟางเอ่ยยิ้มๆ
เสี่ยวหงตกใจละล่ำละลักโบกมือปฏิเสธพัลวัน “บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ แม่นางอย่าได้กล่าวเช่นนี้”
เหมยฟางย่นหัวคิ้ว ปากคว่ำหน้างอเอ่ยว่า “ไม่มีนายไม่มีบ่าวทั้งนั้นแหละ มีแค่ข้ากับพี่ เข้าใจตรงกันนะ ข้าจะไม่พูดซ้ำอีกแล้ว อ้อ...เห็นทีพี่เสี่ยวหงคงต้องช่วยข้าแต่งตัว อาภรณ์รุ่มร่ามพวกนี้ข้าใส่ไม่เป็นหรอก” กล่าวจบนางเดินไปหลังฉากกั้นเพื่อที่จะอาบน้ำแต่เหมือนคิดอะไรได้ จึงหันกลับมาพูดกับคนที่กำลังเดินตามมาว่า
“ข้าอาบเองได้พี่ไม่ต้องมาช่วย แต่ถ้าพี่อยากจะเห็นเนื้อนมไข่ของข้า...” เหมยฟางขยิบตากล่าวต่อ “พี่จะมายืนดูก็ได้นะ”
เสี่ยวหงหน้าแดงก่ำหลุบตาลงมองพื้นไม่พูดอะไรอีก ได้แต่หันหลังเดินกลับไปนั่งนิ่งแข็งค้างเป็นก้อนหิน เกิดมายังไม่เคยโดนใครพูดจายั่วยวนต่อหน้าแบบนี้ ซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นสตรีเหมือนกันอีกด้วย เสี่ยวหงถึงกับถอนหายใจ เพิ่งเจอกันวันแรกก็ดูท่าจะรับมือยากเสียแล้ว
เหมยฟางยิ้มระรื่นอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์
ที่ห้องพักสำหรับแขกของโหลวเซี่ยหรู สาวใช้ข้างกายกล่าวรายงานเสียงสั่น “คะ...คุณหนู แม่นางเหมยฟางพักอยู่ที่ห้องท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” เหลือบตาลอบมองสีหน้าผู้เป็นนาย
เซี่ยหรูให้ริษยานัก หยิบถ้วยชาปาทิ้งอย่างไม่เสียดาย
เพล้ง!
เสียงถ้วยแตกดังก้องไปทั่วห้อง เศษกระเบื้องกระจายเต็มพื้น น้ำชาในถ้วยเปียกรดพรมจนเฉอะแฉะ เซี่ยหรูถามเสียงลอดไรฟัน “แล้วพี่หลิงล่ะ เขาพักอยู่กับนางด้วยหรือไม่”
สาวใช้ข้างกายรีบตอบทันที กลัวว่าคุณหนูของตนจะอาละวาดอีก “ท่านแม่ทัพพักอยู่อีกห้องหนึ่งเจ้าค่ะ”
เซี่ยหรูถอนหายใจโล่งอก หยิบกระจกทองเหลืองบานเล็กมาส่องใบหน้าตรวจดูความงาม “ไม่รู้ว่าพี่หลิงไปติดใจอะไรนักหนา ถึงกับซื้อตัวนางกลับมาด้วย ก็แค่นางรำชั้นต่ำ!” เหมือนนึกขึ้นได้เสียงจึงแหลมสูงขึ้นอีก “ทำไมพี่หลิงต้องยกห้องของเขาให้นางด้วย ข้าไม่เข้าใจ!”
สาวใช้ข้างกายนามเสี่ยวชุ่ยรีบตอบเอาอกเอาใจ “คุณหนูอย่าได้กังวลไปเลย ท่านแม่ทัพก็แค่ซื้อตัวกลับมาระบายความใคร่ พอเบื่อก็เขี่ยนางทิ้งเองเจ้าค่ะ”
เสียงเซี่ยหรูยิ่งแหลมเสียดแก้วหูอีกเท่าตัว “เจ้าไม่ต้องมาปลอบใจข้า ข้ารู้จักนิสัยพี่หลิงดี ที่ผ่านมาเคยเห็นเขายุ่งเกี่ยวกับสตรีใดบ้าง ไม่มี! ไม่มีเลยใช่หรือไม่ มีแต่นางที่พี่หลิงซื้อกลับมา คิดอย่างไรข้าก็ไม่เข้าใจ เดิมทีแค่เสร็จกิจแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเกี่ยวพันกันอีก หญิงคณิกาล้วนเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือไง!”
เสี่ยวชุ่ยกลอกตามองเพดานด้วยความเหนื่อยหน่ายเจ้านายเหลือเกิน “ไว้บ่าวหาวิธีเล่นงานนางให้ ตอนนี้ปล่อยนางไปก่อนสักพักให้อยู่อย่างสบายใจ ให้รู้สึกเหมือนได้อยู่บนจุดสูงสุด แล้วคุณหนูค่อยถีบนางตกลงมาก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ”
เซี่ยหรูเม้มริมฝีปาก สีหน้าแววตาอาฆาต “ดี! ข้าจะให้นางได้รู้ว่ายิ่งสูงมันก็ยิ่งหนาว!”
หลังจากเซี่ยวเทียนพาพยัคฆ์ขาวไปสวนด้านหลังพร้อมกับม้าศึกเสร็จสรรพ เขาก็ต้องวิ่งวุ่นตามหาอินทรีดำอีกตัวที่ไม่รู้ว่าบินหายไปไหน เขารู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก
เมื่อปรึกษาหารือภารกิจลับกับกิจธุระต่างๆ กับอวี้หลิงเป็นที่เรียบร้อย ขณะเท้าของเซี่ยวเทียนกำลังจะก้าวพ้นบานประตูเรือนอักษร พลันได้ยินเสียงอวี้หลิงสั่งไล่หลัง ให้เขาไปเชิญเหมยฟางเพื่อรับประทานอาหารพร้อมกันที่ห้องโถง
เซี่ยวเทียนไม่เข้าใจ เหตุใดจวนแม่ทัพถึงมีสาวใช้น้อยจนบางตา ถึงกับต้องให้เขาทำหน้าที่แทน มือหนายกขึ้นกำลังจะเคาะบานประตู แต่กลับต้องชะงักค้างเพราะเสียงบางอย่างจากในห้อง เป็นเสียงหญิงสาวกำลังปลอบโยน ชนิดที่ว่าชวนให้คิดเตลิดไปไกล
“อดทนอีกนิดนะเจ้าคะ”
เสียงหอบหายใจของเหมยฟางดังแว่วออกมาจากบานประตู “เบาๆ หน่อยพี่เสี่ยวหง ขะ...ข้าเจ็บ พี่...อ๊ะ! แน่นเกินไปแล้ว”
เสียงขาดๆ หายๆ ได้ยินไม่ชัดเจน แต่คนที่ยืนฟังอยู่ภายนอกกลับใจเต้นแรง เซี่ยวเทียนรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่ทราบว่าจะเคาะดีหรือไม่เคาะดี ในหัวขาวโพลนขบคิดไม่ออก แท้จริงแล้วภายในเป็นสถานการณ์แบบไหนกัน ทว่าความคิดก็ยังไม่ทันได้ถึงไหน พลันถูกเสียงกระเส่าภายในดึงดูดให้ตั้งใจฟัง
“ใกล้รึยังพี่เสี่ยวหง ข้าเปียกไปหมดแล้ว”
เซี่ยวเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก อะไรเปียก เขาได้แต่สงสัยแต่ไร้ซึ่งคำตอบ
เสียงของเสี่ยวหงสั่นเครือ หายใจหอบไม่แพ้กัน “ฟู่! สะ...เสร็จเสียทีเจ้าค่ะ”
เซี่ยวเทียนกะพริบตาถี่ ลำคอแห้งผากเป็นผง เขาควรหายตัวไปจากตรงนี้ถูกหรือไม่ และเสียงด้านในก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงของเหมยฟาง
“ชุดบ้าอะไรเนี่ย ใส่ยากจะตายไป ข้าเหนื่อยจนเหงื่อออกเต็มไปหมดเลย”
เสี่ยวหงอดไม่ไหวถึงกับหัวเราะออกมา “คิกๆ ข้าก็เหนื่อยเหมือนกัน ท่านแม่ทัพก็ช่างกระไร อาภรณ์นี้งามก็จริงแต่ใส่ยากนักเจ้าค่ะ” นางเลิกแทนตัวว่าบ่าว แต่ยังคงฐานะต่ำต้อย
เซี่ยวเทียนตะลึงพักใหญ่ ต่อว่าตัวเองในใจ ไม่ทราบเมื่อครู่คิดไปถึงไหน พลันได้สติแล้วจึงเคาะ
“แม่นางเหมยฟาง ท่านแม่ทัพให้ข้ามาเชิญไปห้องโถง”
เหมยฟางตะโกนตอบกลับ “ข้ากำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้แล้ว”
ทันทีที่ประตูเปิดออก คนด้านนอกถึงกับตาค้าง ความงามตรงหน้าทำให้เขาแสบตาเสียจริง
เหมยฟางอยู่ในอาภรณ์สีแดงเพลิง ชายกระโปรงปักลายประณีต ผีเสื้อคู่หนึ่งบินล้อบุปผา บริเวณไหล่คลุมทับด้วยเสื้อตัวเล็กสีขาวประดับอัญมณีสีแดง เรือนผมสีน้ำตาลรวบไว้หลวมๆ ปิ่นประดับปักอย่างง่ายๆ ไม่ต้องประโคมเสริมแต่งมากมายแต่กลับงดงามสะกดใจ
เสียงเหมยฟางปลุกเซี่ยวเทียนตื่นจากภวังค์ “ไปกันเถิด”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเดินนำทางอย่างเจ้าบ้านที่ดี
บนโต๊ะมีอาหารเลิศรสยั่วน้ำลาย แต่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะกลับไม่มีใครสนใจกับอาหาร สาวใช้รอบด้านก้มหน้าชิดอก คิดกันไปต่างๆ นานาว่าสตรีชุดแดงที่นั่งข้างท่านแม่ทัพนั้นเป็นใคร
อวี้หลิงดูเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ในชุดคลุมยาวสีม่วงเข้ม เสื้อตัวในสีขาวสะอาดตา สง่างามอย่างที่หาได้ยากยิ่ง ผมสีดำดังน้ำหมึกถูกรวบไว้ครึ่งศีรษะ มัดด้วยพู่ห้อยเข้ากับสีเสื้อของเขา คิ้วกระบี่เสริมดวงตาสีนิลดำสนิทให้ยิ่งดุดัน จมูกโด่งคมสันรับกับโครงหน้าและสันกราม ริมฝีปากหยักบางสีระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี องคาพยพทั้งห้าเมื่อรวมกันแล้ว ดูแกร่งกร้าวห้าวหาญสมชายชาตินักรบ เหมยฟางมองแล้วมองอีกราวกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ยอมรับได้อย่างเต็มปากเลยว่าเขาช่างหล่อลากกระชากวิญญาณโดยแท้
นางนั่งข้างเขา ด้านตรงข้ามเป็นหมิงซินและเซี่ยหรู เซี่ยวเทียนไม่ได้ร่วมโต๊ะด้วยเนื่องจากมีงานค้างต้องรีบไปทำ
เซี่ยหรูเม้มริมฝีปากนึกอยากลุกพรวดพราดไปแย่งที่นั่งข้างอวี้หลิง อิจฉาจนตาร้อนผ่าวแต่ก็ไม่อาจทำได้ดังใจคิด ริษยาในความงามที่ดูราวกับปีศาจจำแลงกาย แม้ใจร้อนระอุด้วยเพลิงมอดไหม้แต่ใบหน้ายังอมยิ้มปกติดี กิริยาของนางอ่อนหวานเรียบร้อย สงบปากสงบคำไร้ซึ่งวาจาบนโต๊ะอาหารอย่างสตรีชนชั้นสูง
หมิงซินชำเลืองมองเหมยฟางอยู่บ่อยครั้ง นัยน์ตาของนางนั้นให้คุ้นนัก สีผม สีผิวเหมือนเด็กหนุ่มที่เคยพบเมื่อยี่สิบวันก่อนไม่มีผิด
ดวงตาของอวี้หลิงทอประกายอ่อนโยน พอใจในอาภรณ์ที่เขาเลือกให้นาง ความเหมาะสมดังสวรรค์สร้าง หากบอกว่าเสื้อผ้าชุดนี้ตัดเย็บมาเพื่อนางคงไม่กล่าวเกินจริง นางใส่อะไรกลับดูดีไปเสียหมด ดูอย่างตอนที่เร่งเดินทาง เสื้อผ้าของนางทั้งเลอะเทอะและมอมแมม สิ่งสกปรกเหล่านั้นกลับไม่อาจพรากความงดงามไปจากนางได้เลย
หลายชีวิตในห้องกำลังวนเวียนอยู่กับความคิด พร้อมๆ กับรับประทานอาหารเติมเต็มท้องไปเงียบๆ บางอย่างที่เกิดขึ้นดึงความสนใจของทุกคน
อวี้หลิงคีบเห็ดหอมปรุงรสใส่ชามข้าวให้เหมยฟาง จังหวะเดียวกันเหมยฟางก็คีบปลาทอดหอมกรุ่นให้เขา กิริยาเอาใจใส่แบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะทุกครั้งที่เหมยฟางกับอวี้หลิงกินข้าวด้วยกัน ต่างก็ชอบคีบอาหารให้กันประจำ ทว่าสำหรับคนอื่นรอบข้างนั้นไม่ใช่อย่างสิ้นเชิง เหตุการณ์นี้กลับเป็นเรื่องแปลกประหลาด ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้บนโต๊ะอาหารจวนแม่ทัพ
หมิงซินอดไม่ได้จนต้องกระเซ้าเย้าแหย่สหายรัก “เห็นทีวันนี้พ่อครัวจะปรุงอาหารผิดพลาด กลับใส่น้ำผึ้งลงไปจนหมดไหกระมัง ข้ารู้สึกได้ว่าในแต่ละจานนั้นหวานนัก เจ้าว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่อาหลิง”
ตะเกียบในมือเหมยฟางพลันชะงัก ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป
อวี้หลิงตอบอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจ “รสชาติออกจะเยี่ยมยอด ลิ้นของเจ้าคงมีปัญหาเสียแล้วกระมัง” กล่าวจบเลื่อนตะเกียบไปคีบเต้าหู้ทรงเครื่องมาใส่ไว้ในชามเหมยฟางอีกชิ้นหนึ่ง
นางกินเต้าหู้ที่ผู้อื่นต่างก็สนใจหน้าตาเฉย เหมือนกับว่าเรื่องที่สนทนากันอยู่นั้นหาได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางไม่
หมิงซินหัวเราะในกิริยาไม่ยี่หระของเหมยฟาง นึกสนใจว่านางทำอย่างไรถึงเปลี่ยนแปลงสหายรักได้ จากแต่ก่อนไม่เคยสนใจอิสตรีใดออกหน้า วันนี้กลับแสดงสีหน้าอ่อนโยนอยู่บ่อยครั้ง
ดรุณีน้อยวัยกำดัดส่งสายตาจิกกัดจนเหมยฟางแทบจะพรุนไปทั้งร่าง เซี่ยหรูนึกอยากลุกหนีออกไป แต่ด้วยมารยาทจำต้องนั่งเงียบตามเดิม นางได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในใจไร้ทางระบายอารมณ์
จู่ๆ หมิงซินก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ขออภัยแม่นางเหมยฟาง ข้าอยากทราบว่า เจ้ามีพี่น้องบ้างหรือไม่”
เหมยฟางยกยิ้มมุมปาก “ข้านึกว่าคุยชายจะไม่ถามแล้วเสียอีก” น้ำเสียงนางดัดห้าวเหมือนคราวที่ปลอมเป็นบุรุษ
หมิงซินประหลาดใจก่อนจะระบายยิ้มเต็มใบหน้า เขาวางตะเกียบลงสนทนาเป็นกันเอง “โอ๊ะ น้องชายเองหรือนี่ ฮ่าๆ ข้าว่าแล้ว น้อยคนนักที่จะหน้าตาเหมือนกันราวกับถอดแบบออกมา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงาม ข้ามีตาแต่ไร้แววจริงๆ”
“พวกเจ้ารู้จักกันหรือ” เสียงของอวี้หลิงกล่าวแทรกทันควัน
หมิงซินพยักหน้าเชื่องช้า “ถูกต้อง ยามนั้นนางปลอมเป็นบุรุษรูปงาม”
เหมยฟางอธิบายต่อให้อวี้หลิงฟังว่า “พอหนีจากท่านมา ข้ากลัวว่าจะโดนตามจับ ถึงได้ปลอมเป็นบุรุษปกปิดรูปลักษณ์ ระหว่างที่ข้าเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองฉางฟง ก็ได้พบกับท่านอัครเสนาบดีเข้าโดยบังเอิญที่โรงน้ำชา”
อวี้หลิงเลิกคิ้ว “ถึงว่าให้อู๋จี้ตามหาเจ้าเท่าไรก็ไม่พบเสียที เจ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก” เขางอนิ้วเคาะหน้าผากนางสั่งสอนไปหนึ่งที
เหมยฟางหัวเราะแห้งๆ ลูบหน้าผากป้อยๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ
หนึ่งแม่ทัพ หนึ่งอัครเสนาบดีสนทนาอย่างสนุกสนาน ทางด้านเซี่ยหรูไร้บทบาทโดยสิ้นเชิง
หลังรับประทานอาหารค่ำเสร็จ อวี้หลิงเดินมาส่งเหมยฟางถึงเรือนนอน นางสงสัยถามขึ้นว่า “ทำไมต้องให้ข้านอนที่ห้องของท่าน แล้วท่านจะไปนอนที่ไหน”
อวี้หลิงยืนมือไพล่หลังตอบกลับมาเสียงทุ้มต่ำอย่างมีเสน่ห์ “ที่ให้เจ้าพักห้องของข้า เพราะในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างสะดวกสบายสำหรับเจ้า แต่ถ้าขาดเหลือสิ่งใดก็ขอให้บอก ส่วนข้าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถ้าเจ้าเหงา...”
อวี้หลิงยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปชิดริมหูเหมยฟาง กระซิบเย้าหยอกทีละคำอย่างชัดเจน “ข้าจะไปนอนเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่ วันก่อนๆ เราก็นอนด้วยกันจนเป็นคนคุ้นเคยแล้วไม่ถูกหรือ”
เหมยฟางหดคอขนลุกซู่ ถอยหลังหนึ่งก้าวยกมือกุมหูรีบปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ต้องเลย!” นางโดนเขาหลอกกินเต้าหู้[1] จนเปื่อยไปหมดแล้ว
อวี้หลิงถึงกับหัวเราะออกมาในความตื่นตระหนกของนาง เหตุผลที่ให้นอนในห้องเพราะนางจะได้คุ้นชินโดยเร็ว เหมือนนึกขึ้นได้อวี้หลิงกล่าวต่อไปว่า “ฟางเอ๋อร์ เจ้าตัวเล็กอยู่ที่สวนหลังจวนกับเสวี่ยเสวี่ย ส่วนเจ้านกน้อยไม่ทราบว่าบินหายไปไหน เซี่ยวเทียนตามหาไม่พบ”
เหมยฟางพยักหน้ารับรู้ “คงบินเล่นอยู่แถวนี้นั่นละ ประเดี๋ยวคงกลับมาเอง ท่านไม่ต้องใส่ใจนักหรอก”
อวี้หลิงเดินชิดเข้ามาใกล้เหมยฟางอีกหนึ่งก้าว เท่ากับระยะที่นางถอยห่างจากเขาไป สุดท้ายแล้วก็ห้ามใจตัวเองไม่ไหว รวบนางเข้ามากอดไว้แนบอก ที่เขากล้ากระทำกับนางเช่นนี้เพราะว่า ระหว่างเดินทางกลับมาเขากับนางใกล้ชิดกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะนอนหรือนั่งม้า ก็เป็นเขาที่ให้ความอบอุ่นแก่นาง
อวี้หลิงก้มลงมองดูนาง นัยน์ตาดำสนิทดุจรัตติกาลยากจะบ่งบอกสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน คราแรกเขาถูกใจนางเพราะรูปโฉมและความแปลกใหม่ ต่อมากลับพบว่านางนั้นจิตใจดีงามน่าคบหา อยู่ใกล้แล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
เหมยฟางสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่ซ่านออกมากระทบใบหน้า กลิ่นกายบุรุษเพศทำให้หัวใจเริ่มเต้นรัว นางตื่นเต้นทุกครั้งที่เขาแสดงท่าทางอยากแนบชิด ใบหน้าหล่อเหลาพลันขยับลงมาอีกนิดหนึ่ง ริมฝีปากบางเฉียบนิ่งค้างอยู่ตรงริมฝีปากนาง ห่างกันเพียงช่วงลมหายใจเท่านั้น ปลายจมูกทั้งสองกระทบถูกกันเบาๆ
เหมยฟางเบิกตากว้าง แข็งทื่อทั้งร่างไม่กล้าเคลื่อนไหว ใจนางเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมาจากอก
อวี้หลิงขยับเล็กน้อยคล้ายกลั่นแกล้ง ปลายจมูกเฉียดผ่านนวลแก้มหยอกเอิน ชมชอบที่จะมองเห็นนางขัดเขิน ใบหน้างดงามขึ้นสีราวลูกผิงกั่ว[2] ชวนให้เอ็นดูยิ่ง
เหมยฟางกลั้นลมหายใจ ดวงตาสีเทากะพริบถี่ หน้าอกอวบอิ่มเบียดชิดสนิทแนบอยู่กับแผงอกกำยำ เป็นเพราะอวี้หลิงเข้าประชิดกะทันหัน นางจึงไม่ทันเอามือยันป้องกันตัว รู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูก ลมหายใจรุ่มร้อนของเขาเป่ารดแก้มนาง ริมฝีปากบางยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ประทับลงมา นางแทบจะเป็นบ้าอยู่รอมร่อ
เมื่ออวี้หลิงเห็นว่านางทำท่าจะทนไม่ไหวเพราะไม่ยอมหายใจ จึงได้ผละออกห่างเลิกกลั่นแกล้ง ที่ผ่านมานางชอบสัมผัสเขาสุ่มสี่สุ่มห้า ถือเสียว่าเมื่อครู่เป็นการเอาคืน
เหมยฟางรีบสูดอากาศเข้าไป เงยหน้าขึ้นสบตายังไม่ทันจะออกปากต่อว่า อวี้หลิงกลับเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “พักผ่อนเถิด เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
เหมยฟางนิ่งอึ้งรู้สึกเหมือนโดนกระทำแต่ไม่ได้รับความยุติธรรม
อวี้หลิงส่งยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินหายไป
นางเหนื่อยก็เพราะเขานี่ละหาใช่เหนื่อยเพราะเดินทาง เหมยฟางเปิดประตูเข้าห้องไปด้วยหัวใจที่ยังเต้นไม่สม่ำเสมอ คราก่อนเขาทำเพราะพิษไข้ แล้วครั้งนี้เขาทำเพราะอะไร
อาจเพราะนางไร้เดียงสาและท่าทีไม่ชัดเจนของเขา เหมยฟางจึงดูไม่ออกว่าอวี้หลิงชอบพอ และพึงใจที่ได้กลั่นแกล้งในเวลาเดียวกัน
เหมยฟางเดินไปเปิดหน้าต่าง เผื่ออินทรีดำจะบินเข้ามา พื้นดินนอกหน้าต่างพร่างพราวไปด้วยหยาดน้ำค้างสะท้อนแสงจันทร์แวววาว นางถอดเสื้อตัวนอกออกเหลือไว้เพียงชุดกระโปรงบางๆ ใส่นอนเท่านั้น แสงเทียนในห้องดับลงมีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างพอจะคลำทางเดินกลับไปที่เตียงได้
เงาดำวูบเข้ามาในห้องอย่างเงียบกริบ เหมยฟางยังไม่ทันจะได้ล้มตัวลงนอน ก็ต้องยืนนิ่งค้างอยู่หน้าเตียง ใครบางคนจู่โจมจากด้านหลัง ใกล้ชิดเสียจนนางรับรู้ได้ถึงแรงหายใจกระเพื่อมขึ้นลงที่หน้าอกของคนผู้นั้น
สองมือเรียวโดนรวบไพล่หลังไว้อย่างแน่นหนา แสงสีเงินวาบผ่านนัยน์ตา มีดสั้นเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่ลำคอระหงของนาง
[1] กินเต้าหู้ หมายถึง แต๊ะอั๋ง ลวนลาม
[2] ผิงกั่ว คือ แอปเปิ้ล
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว