“นิตยสารอะไรที่อ่านเป็นประจำคะ”
“ไฟกลางคืนครับ”
“ไฟ-กลาง-คืน เอ๋?…อะไรนะคะ”
โยษิตาเงยหน้าจากแบบสอบถามในมือ ชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะร่วนที่เห็นสีหน้าฉงนของพนักงานวิจัยตลาดอ้าปากหวอทำหน้าเหวอ แฟนสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ กันถึงจะอดขำไม่ได้แต่ก็ทุบไหล่เพื่อนชายเบาๆ
“ตอบน้องเค้าไปดีๆ ซิ! น้องเขาทำงานอยู่นะ ยังเรียนไม่จบก็รู้จักทำงานพิเศษแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ คำถามต่อไปนะคะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนผู้ให้สัมภาษณ์แกล้งตอบคำถามนอกประเด็นแบบนี้ แต่ก็นั้นแหละ! เขาเป็นผู้ที่ทำให้เธอมีรายได้มารองรับรายจ่ายในแต่ละวัน ถ้าไม่ถึงขั้นลวนลามหรือแทะโลมด้วยสายตาก็เป็นอันว่า…พอให้อภัย
แต่แหม! เธอก็อยากเถียงโต้กลับไปเหมือนกันว่าเธอนะเรียนจบแล้วแค่รอรับปริญญาเท่านั้นแหละแต่ยังหางานในตำแหน่งที่ต้องการทำไม่ได้ แล้วจะให้อยู่เฉยๆ ยิ่งทำไม่ได้ใหญ่ เธอไม่ใช่ตัวคนเดียวยังมียายอีกทั้งคนที่ดูแลเธอแทนพ่อแม่ที่จากไป ถึงเวลาที่เธอต้องเป็นฝ่ายดูแลท่านแล้ว เฮ้อ! แล้วไหนจะเจ้า ‘ข้าวซอย’ น้องสาวจอมซนที่หนีออกจากบ้านมาอยู่กับเธออีก ป้าอำภาก็เหมือนจะไม่สนใจลูกตัวเองเลยสักนิดทั้งที่ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ยาวใกล้บริเวณที่จอดรถ หยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมาจิบแก้กระหาย ปกติเธอจะพกขวดน้ำดื่มติดตัวเวลาทำงานเสมอเวลาทำงานประเภทแรนดอม บ้างครั้งเจอเจ้าของบ้านใจดีหยิบยื่นน้ำดื่มให้ แต่เธอก็ต้องฝืนใจปฏิเสธในสภาพที่เธอเป็นอยู่ไม่สามารถไว้ใจใครได้ขนาดมินต์กับพี่แน๊ตยังว่าเธอขี้ระแวงจนเกิดไป แต่ทำไงได้ละ…กันไว้ดีกว่าแก้นี่นะ ยายสอนไว้
สาม-สี่วันแล้วที่รับงานชุดใหม่มาทำ ด้วยฝีมือของเธอจึงเสร็จไปมากกว่าสิบชุดถ้าเป็นงานที่ไม่ได้เจาะจงเรื่องพื้นที่เธอก็มักจะฉายเดี่ยวทำงานเองเสมอ ถ้ารอสาวหมวยก็คงไม่ทันกิน! รายนั้นถามไปโปรยยิ้มไป ยิ่งถ้าเจอหนุ่มในสเป็คเธอยี่งกรีดกรายวางท่าสารพัดแต่ที่สุดแล้วก็ทำไร่แห้วเหมือนเคย หญิงในชุดนักศึกษายกนาฬิกาข้อมือสีชมพูขึ้นดูเวลาก่อนแหงนหน้ามองฟ้า วันนี้พอเท่านี้ก่อนดีกว่า! เหลืออีกแค่สองชุด แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะตามเก็บข้อมูลแล้วในวันนี้ มือเรียวบางกำลังเก็บเอกสารใส่แฟ้มอย่างเรียบร้อย แต่สายตาก็มาสะดุดกับรถยนต์ โตโยต้า แคมรี่ป้ายแดงที่จอดไม่ไกลนัก รถยนต์ในเป้าหมายป้ายแดงด้วย ใช่!เลย
ร่างชายหนุ่มสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลยับๆ เดินโซเซผ่านหน้าเธอไปยืนพิงรถที่เธอจับจ้องกำลังไขกุญแจที่ประตูรถ เหมือนถูกวิญญาณพนักงานวิจัยตลาดเข้าสิง (มีด้วยเรอะ)ร่างของหญิงสาวก็รีบลุกพรวดพราดแล้วเดินตรงรี่เข้าไปหาทันที
“ขอโทษค่ะ ดิฉันเป็นนักศึกษามหา’ ลัยฯ เราไม่ได้มาขายสินค้า ดิฉันมาเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัยความต้องการของผู้บริโภค ขอเวลากรอกแบบสอบถามนิดหนึ่งได้ไหมคะ”
เธอแนะนำตัวซึ่งเหมือนเป็นโค้ดที่เธอต้องพูดทุกครั้งก่อนนำเข้าไปสู่การสอบถามเพื่อกรอกผลลงในเอกสาร ชายหนุ่มหลิวตามองหญิงสาวหุ่นเพรียวบางในชุดนักศึกษาที่เรียกว่า ‘ถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว’ แถมคล้องบัตรพนักงานวิจัยตลาดอะไรสักอย่างและชูบัตรนักศึกษายืนยันอีกต่างหาก
“ทำไมต้องเป็นผม”
“เอ่อ” โยษิตาสะดุดกับกลิ่นเหล้าโชยคลุ้งมาเตะจมูกเธอเข้าจังเบ้อเร่อ เอ่อ ตานี่ไปเมามาจากไหนแต่หัววันเชียวนะ
“ว่าไง” ชายหนุ่มซอยผมสั้นประบ่าเหมือนดาราญี่ปุ่นแถมทำสีน้ำตาลอ่อนดูเข้ากับเสื้อเชิ้ตยับๆ ที่สวมอยู่
“เอ่อ…เราทำวิจัยเรื่องความพอใจของผู้ใช้น้ำมันรถยนต์ค่ะ ก็ต้องถามผู้ที่ใช้รถหลากหลายประเภทและหลากหลายยี่ห้อกันไป เพื่อที่ผู้ผลิตจะได้นำไปรับปรุงให้ดีที่สุดเพื่อลูกค้าไงคะ” เธอเอ่ยตอบตามความเป็นจริงแต่เริ่มลังเลว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังดี
“รถยนต์เหรอ” เสียงเขาหัวเราะหึๆ ในลำคอก่อนผสานสายตากับหญิงสาวตรงหน้า “ข้ออ้างละไม่ว่า”
“ข้ออ้างอะไรคะ” โยษิตาเริ่มหงุดหงิด ไม่ให้สัมภาษณ์ก็ได้แต่อย่าใช้สายตามองแบบตีราคากันอย่างนี้
“ผู้หญิงจะมีอะไร ขอแค่ผู้ชายมีเงิน มีรถก็พร้อมจะกระโจนเข้ารุมยื้อแย้งไม่ใช่เหรอจ๊ะ สาวน้อย”
ชายหนุ่มแปลกหน้าไม่พูดเปล่าแต่เอื้อมมือมาดึงแขนข้างหนึ่งของเธอไว้ หญิงสาวยังไม่ทันตั้งตัวร่างเพรียวบางก็ถูกกระชากเข้าใกล้ จนใบหน้าปะทะลมหายใจเหม็นคลุ้งของอีกฝ่ายทำให้เธอเบือนหน้าหนีทันที
“ปล่อยนะ! อย่าเอามือสกปรกของคนความคิดต่ำๆ มาแตะต้องตัวฉัน!”
โยษิตาดิ้นขลุกขลัก บริเวณลานจอดรถตรงนี้ไม่ค่อยมีผู้คนผ่านมาสักเท่าไหร่ แต่ยิ่งร่างเพรียวบางดิ้นรนขืนแรงของอีกฝ่ายทว่าชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกท้าทาย
‘เรียกร้องความสนใจ!’
ประตูรถถูกเปิดออกตอนไหนไม่รู้ แต่มือแข็งแกร่งพยายามผลักร่างหญิงสาวในชุดนักศึกษาเข้าไปในรถโยษิตาล้มลงนั่งที่เบาะคนขับ ร่างสูงกำลังจะโถมเข้าใส่เธอก็ยกเท้ายันร่างนั้นสุดแรง เป็นผลชายหนุ่มผงะถอยหลัง โยษิตาไม่รอช้ารีบลุกขึ้นยืนมือข้างหนึ่งถลกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะได้ยกเข่ากระแทกใส่จุดยุทธศาสตร์ของผู้ชายได้ถนัดและเต็มแรง
“โอ๊ย! ยัยตัวแสบ!” ร่างนั้นลงไปคุดคู้กับพื้น
“ไอ้หื่นกาม!”
โยษิตารีบก้มลมเก็บกระเป๋าสะพายและแฟ้มงานของตัวเองที่หล่นอยู่ข้างร่างชายหนุ่มหื่นกาม แต่มืออีกฝ่ายก็ยื่นมาหมายจะกระชากร่างบอบบางไว้ เธอผงะถอยหลัง มือนั้นคว้าไว้ได้แค่บัตรพนักงานวิจัยตลาด หญิงสาวไม่ห่วงอะไรมากไปกว่าชีวิตตัวเอง เธอคว้ากระเป๋าสะพายและแฟ้มงานได้ก็รีบวิ่งหนีไปทันทีโดยไม่หันกลับมามองร่างที่นอนขดตัวด้วยความเจ็บปวดอยู่ข้างรถยนต์คันหรู
ตั้งแต่เป็นพนักงานวิจัยตลาดมาครึ่งปี ก็เพิ่งเคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าไอ้หื่นกามคนนั้นจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ดีนะ! ที่ฝึกการป้องกันตัวมาบ้างจากลุงศักดิ์ชัยที่ชุมชนสวนขวัญ แถมเข่าเธอก็แรงไม่ใช่ย่อย กระแทกเข้าไปเต็มๆ แบบนั้นจะถึงขั้นเป็นหมันรึเปล่าก็ไม่รู้
ช่างเถอะ!ไอ้พวกหื่นกาม มารสังคม ภัยร้ายของผู้หญิง สูญพันธุ์ไปเสียได้ก็ดี!
ฟีรูซ เรกิวลุส จอดรถไว้หน้าบ้านรอให้คนรถมารับรถไปเก็บ เขาเดินตัวงอขึ้นบันได ยังรู้สึกจุกอยู่พยายามเก็บอาการเต็มที่ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาที่เผอิญมองมา ‘คุณหญิงกาญจนา’ กำลังเดินออกมาจากคฤหาสน์ในชุดที่เตรียมจะออกไปงานสมาคมฯ
“ตายแล้วฟีรูซ ลูกไปทำอะไรมาใครทำร้ายลูกของแม่”
คุณหญิงโวยวายเสียดังทำให้คนรับใช้คนอื่นรีบออกมาดูแต่คนถูกถามเบือนหน้าหนีเบื่อกับการเป็น ‘ลูกแหง่’ ของคุณหญิงแม่เต็มที
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ จะรีบไปงานไม่ใช่เหรอครับ ไปเถอะเดี๋ยวรถติดคนอื่นจะคอย”
“จริงซิ แม่เป็นประธานของงานไปสายจะน่าเกลียด แล้วลูกดูแลตัวเองได้ใช่ไหมจะไปโรงพยาบาลรึเปล่า แม่จะโทรจองห้องพิเศษที่โรงบาลของเพื่อนแม่ให้”
“ไม่เป็นไรครับ”
ชายหนุ่มขยับตัวหนีพยายามฝืนยืดตัวตรงแล้วยิ้มให้คุณหญิงแม่สบายใจ คุณหญิงยังเป็นห่วงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาก เขาจึงจำใจเดินไปเปิดประตูรถให้คุณหญิงแม่ขึ้นไปนั่ง เป็นการไล่อ้อมๆ จนรถยนต์พาคุณหญิงกาญจนา ไปงานสมาคมอะไรสักอย่างที่เขาไม่ค่อยอยากจดจำ
ฟีรูซก้าวเท้าเหนื่อยๆ เข้ามาในคฤหาสน์ ผ่านห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ใกล้บันไดขึ้นไปชั้นสองของอาคาร เสียงคนพูดคุยกันทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองที่ต้นเสียง ฮาคีมพี่ชายคนโตต่างมารดากำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่กับสิริมา หญิงสาวที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวของเขาแม้จะมีบิดาคนเดียวกันแต่เธอเป็นเพียงลูกคนรับใช้ที่คุณพ่อยอมให้ใช้นามสกุลร่วมกัน
ตั้งแต่จำความได้คุณหญิงกาญจนา หรือคุณแม่ของเขาสั่งนักหนาไม่ให้นับญาติกับสิริมา เขาจึงไม่เคยเรียกเธอว่า ‘พี่’ สักครั้งทั้งที่อายุก็ห่างกันถึงสองปี
ทั้งสามคนเป็นบุตรของ ชีคอบูบักร เรกิวลุสแห่งประเทศ ทัสลาน เมื่อสามสิบหกปีก่อน ชีคอบูบักรเดินทางมาประเทศไทยเพื่อลงทุนธุรกิจหลายประเภทเป็นการส่วนตัว ได้พบรักกับมารดาของฮาคีม แต่เพราะเรื่องศาสนาและประเทศทัสลานอยู่ในทะเลทรายทำให้มารดาของฮาคีมทนความคิดถึงเมืองไทยไม่ไหว ชีคอบูบักรจึงได้อนุญาตให้นางกลับมาอยู่เมืองไทยได้
ฮาคีมได้เติบโตในทัสลานเป็นระยะเวลาหนึ่งจนเมื่อมารดาของเขาเสียชีวิตจึงกลับมาอยู่เมืองไทย ขณะนั้นชีคอบูบักร กลับมาเพื่อเข้าร่วมพิธีศพจนได้พบกับมารดาของมาริสา แต่เพราะเป็นเพียงคนรับใช้ในบ้านและเป็นสาวจึงไม่ได้เลี้ยงดูอยากออกหน้าออกตานัก และต่อมาได้พบคุณกาญจนาก็ได้บุตรชายคือ ฟีรูซ และได้ใช้ชีวิตสั้นๆ ที่ทัสลาน แต่ด้วยชีคอบูบักรมีภรรยาหลายคนบุตรชายหญิงรวมกันเกินสิบคน คุณกาญจนาจึงคิดอยากกลับเมืองไทย ชีคอบูบักรเข้าใจดีจึงมอบบริษัทในไทยให้ลูกทั้งสามและฝากฝั่งให้คุณกาญจนาดูแลฮาคิมและสิริมาให้ช่วยดูแล แต่ในความเป็นจริงฮาคิมมีนิสัยเป็นผู้ใหญ่และความรับผิดชอบมากกว่า ส่วนสิริมามีนิสัยเจียมตัวอยู่แล้ว มีแต่ฟีรูซที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจของคุณกาญจนาจึงรักใคร่ตามใจมากกว่าลูกเลี้ยงทั้งสอง
แม้จะใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยเรียกได้ว่า “เต็มตัว” แต่พวกเขาก็ไม่เคยขาดการติดต่อกับทางทัสลานเลย
“คุณฟีรูซกลับมาแล้ว”
เสียงแจ้นของสาวรับใช้วัยขบเผาะที่ชื่อชมพู่ดังขึ้นจนคนที่นั่งจมอยู่กองเอกสารเงยหน้าขึ้นมามองทันที แต่สายตาของพี่น้องร่วมบิดาที่ผสานกันกลับดูแต่งต่างกันเหมือนกัน ฮาคีมมองหน้าน้องชายที่ยืนตัวงอเล็กน้อยเหมือนโดนอะไรกระแทกท้องเข้าให้ เขามองน้องชายด้วยสายตาห่วงใย แต่ฟีรูซน้องชายที่อายุห่างจากพี่คนโตห้าปีมองอย่างเขืองๆด้วยตีสายตาคู่นั้นว่ากำลังมองอย่าง ‘สงสาร’
“ยุ่งอะไรด้วย” เขาตวาดสาวรับใช้เสียงดังอย่างไม่รู้จะไปลงทีใครดี
“ก็เล่นหายไปทีสองวันสามวันแบบนี้ใครเจอก็ต้องทักละค่ะ”
สิริมาเอ่ยทั้งที่ไม่เงยหน้าจากเอกสารในมือ พอดีกับที่สาวใช้อีกคนออกมาจากห้องครัวพร้อมจานใส่ขนมและเครื่องดื่ม เธอหันไปพยักหน้าให้ชมพู่ยกแก้วน้ำขิงไปวางให้คุณฮาคีม
“หายไปหลายวัน เหอะ! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับใครขนาดแม่ยังไม่ห่วง มีแต่ออกงานสมาคมทุกคืน”
ฟีรูซบ่นเหมือนเด็กขี้น้อยใจเผอิญว่าสายตาของเขามองไปในจานขนมที่พี่สาวต่างแม่ถืออยู่จึงมองด้วยความสงสัย สิริมาแอบยิ้มขันในท่าทางเหมือนเด็กไม่รู้จักโต เหมือนกับที่ฮาคีมเองก็รู้สึกอย่างนั้น เขาจึงเรียกน้องชายมานั่งใกล้ๆ ที่โซฟาตัวเดียวกัน
“ข้าวต้มมัดรู้จักไหม? เจ้าอร่อยของสิริมา เหมาซื้อได้มาเกือบทุกวัน” ฮาคีมเอ่ยอารมณ์ดีแล้วใช้ช้อนส้อมจิ้มข้าวต้มมัดที่ถูกแกะใบตองที่ห่อหุ้มออกวางใส่จานสวยงามพร้อมหันไปชิ้นพอดีขำ
“ก็ไม่ทุกวันเสียหน่อย แค่วันไหนไปโรงงานก็แวะซื้อ แต่ก็อร่อยนี่ค่ะ อุดหนุนยาย-หลานด้วยคู่นั้นด้วย” สิริมาเอ่ยเรียบๆ ตามลักษณะนิสัยช่างเจียมตัวของเธอ
“เอ่อ นี่ก็กลายเป็นว่าพี่เพิ่มงานให้สิริมาต้องมาช่วยดูแลโรงงานผลิตเครื่องสำอางด้วยซิ”
ฮาคีมมักจะไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องฐานะหรือชาติกำเนิดของสิริมา ผิดกับน้องชายอีกคนที่หัวสูง เจ้ายศเจ้าอย่างถอดแบบคุณกาญจนาอย่างกับพิมพ์เดียวกัน คิดไปก็ปวดหัวเหมือนกัน เพราะกิจการเครื่องสำอาง ‘พราว’ เป็นความคิดของคุณหญิงกาญจนา เดิมเขาดูแลแค่กิจการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทที่บิดาลงทุนไว้หลายสิยปี สิ่งที่บิดาสร้างไว้ให้ เขาก็อยากทุ่มเทให้ถึงที่สุด เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเลือดในตัวเขาครึ่งหนึ่งคือตระกูลเรกิวลุสที่ไม่ยอมพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
“ของข้างถนนกินไม่เป็นหรอก” ยังไม่ทันได้ลองชิมสักคำ ร่างสูงโปร่งของฟีรูซธก็เดินลิ่วไปห้องพักของตนเองที่อยู่บนชั้นสอง
“หวังให้ช่วยงานอะไรคงยาก” ฮาคีมหัวเราะเบาๆ แล้วกินข้าวต้มมัดกับน้ำขิงอุ่นๆ ที่สิริมาเตรียมให้
“วัยรุ่นนี่ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ พลางขยับแว่นให้กระชับใบหน้า
“เอ่อ แล้วเรื่องที่ให้หาที่พักให้เพื่อนพี่”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เป็นคอนโดของคุณฮาคีมที่อยู่กลางเมือง ไปมาสะดวก”
สิริมาเอ่ยแล้วจิบน้ำขิงของตนเองซึ่งเป็นเครื่อง เธอรู้ว่าพี่ชายของเธอดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว จึงเปลี่ยนเป็นน้ำขิงให้ดื่มก่อนนอน
“ขอบใจที่ต้องวุ่นวายทำโน่นนี่ให้พี่นะ ถ้าไม่เกรงใจคุณหญิงแม่ละก็ คงให้พักบ้านเราแล้วละ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” น้องสาวยิ้มน้อยๆ แล้วจัดการกับข้าวต้มมัด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพยายกับหลานช่างเจรจาคู่นั้น
ฟีรูซเข้าไปในห้องก็ถอดเสื้อเชิ้ตออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวใน เหนื่อยเกินกว่าจะถอดกางเกงให้เสร็จในคราวเดียว จึงทิ้งตัวนอนแผ่หราบนเตียงขนาดใหญ่
ทำไมนะ! ทำไม ทั้งสองคนถึงพูดคุยเหมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่อย่างนั้น แถมไม่มีใครห่วงเขาเลยทั้งๆที่เขาไม่เข้าบ้านตั้งสามวันสามคืน อุตส่าห์หลบไปนอนที่คอนโดเผื่อว่าจะมีใครเป็นห่วงโทรศัพท์ตามหาบ้างก็เงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอถึงบ้านคุณแม่ก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอะไรเลย นี่ถ้าเงินไม่หมดกระเป๋าบัตรเครดิตก็รูดไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ! พอเงินหมดเพื่อนก็หายวับไปกับตา ขนาดเขาเมาหนักแบบนั้น ยังไม่มีใครมีน้ำใจพามาส่งบ้านหรือคอนโดเลย แถมยังเจอยัยเด็กแสบเตะผ่าหมากเข้าให้อีก!
ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ ยื่นมือไปจะควานหาเสื้อเชิ้ตที่ถอดกองไว้ที่เตียง หาอะไรสักอย่างที่กระชากจากยัยเด็กบ้านั่น!
“มีอะไรให้ชมพู่ช่วยมั๊ยค่ะ…คุณฟีรูซขา…”
“เฮ้ย! เข้ามาได้ไง”
ฟีรูซสะดุ้งเมื่อมือของเขาไปสัมผัสกับเนื้อนุ่มนิ่มบริเวณเนินอกอย่างไม่ตั้งใจสาวคนรับใช้เองก็สะดุด เมื่อถูกมือของอีกฝ่ายสะบัดออกอย่างแรง
“ห้ามเข้ามาในห้องฉันเด็ดขาด ฉันไม่อยากให้บ้านนี้มันมีประวิติศาสตร์ซ้ำรอยอีก!”
“คุณฟีรูซ!” ชมพู่หน้าแดงด้วยความอายและความโกรธก่อนเดินสะบัดก้นออกไป
ชายหนุ่มเจ้าของห้องรีบลุกขึ้นไปลงกลอนประตูทันที ถึงเขาจะเป็น Play boy แค่ไหน ก็ยังรู้ว่าเรื่องไหนสมควรหรือไม่ จะเรียกว่าเจ้าชู้อย่างมีจรรยาบรรณก็ไม่ผิดนัก
แต่กับผู้หญิงแสบๆ ชอบเล่นตัว มันก็ท้าทายไม่ใช่เล่น
เขาหยิบบัตรพนักงานวิจัยตลาดออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต อ่านรายละเอียดที่ปรากฏบนบัตรแล้วเผลอยิ้มออกมา ตากลมโตบนใบหน้ากลมมนได้สัดส่วนแบบนี้
ดูๆ ไปก็น่ารักดีไม่หยอก อายุน่าจะพอๆ กับเขา แต่เรื่องความแสบเนี้ย!ไม่ได้เข้ากับหน้าหวานๆ เอาเสียเลยจริงๆ เถอะ!.
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว