เสียงลมแรงพัดผ่านยอดสน เป็นสัญญาณบอกถึงค่ำคืนอันหนาวเหน็บกำลังมาเยือน สาวใช้สูงวัยร้องเรียกคุณหนูให้เข้าไปในซากปราสาท แต่คุณหนูผู้ดื้อรั้นยังคงนั่งตากลม พร้อมกับเรียกทาสวัยเดียวกันอีกสองคนมานั่งคุยเป็นเพื่อน
อัศวินคนหนึ่งชำเลืองมองคุณหนูของตนแล้วกระซิบกระซาบกับสหายอัศวิน
“เจ้าคิดว่านางรู้หรือเปล่า? ข้าหมายถึง อืมม เรื่องราวอัศจรรย์ข้างในนั้นน่ะ” เสียงของอัศวินหนุ่มร่างบางดูขี้เล่นแกมเย้าหยอก สอดสัมพันธ์กับดวงตาซุกซนสีฟ้าสดใส
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของ ‘มิเกลเล่’ มักเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ นอกจากอัธยาศัยดีแล้วยังเป็นน้องเล็กสุดในกลุ่ม ผู้คอยสร้างเสียงหัวเราะที่มักพาให้ทุกคนฮาครืน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลกขบขัน หรือการเลียนแบบท่าทางของเพื่อน ๆ อัศวินมือใหม่อย่างเขาทำมันได้ดียิ่งกว่าการเหวี่ยงดาบเสียอีก
“ข้าเดาว่านางรู้” อัศวินหนุ่มอีกคนตอบหน้านิ่ง
ดวงตาสีมรกตลอบมองเด็กหญิงแวบหนึ่งแล้วย้ายมายังกองไฟ จับจ้องแสงสว่างลุกโชนเบื้องหน้าด้วยแววตาสลับซับซ้อน สองมือหักกิ่งไม้โยนลงไป ดวงตาคู่งามฉายแววซุกซนผินมองมิเกลเล่
“นางฉลาดล้ำจนน่าทึ่ง ไหวพริบของนางเหนือกว่าเจ้ากับโยชัวร์รวมกันอีก”
“ว่าไงนะ!? ปัสกาล เจ้ากำลังบอกว่าข้ากับมิเกลโง่ใช่มั้ย?” อัศวินร่างท้วมขึ้นเสียงทันทีเมื่อถูกพาดพิง แค่นถามกลับอย่างเคืองใจ
พอได้เห็นรุ่นพี่อย่าง ‘โยชัวร์’ ถลึงตาใส่ ยิ่งสร้างเสียงขบขันให้กับมิเกลเล่ผู้เปิดประเด็น
“ไม่ ๆ ๆ เจ้าฉลาดอยู่แล้ว มิเกลด้วย ส่วนข้าก็เช่นกัน แต่แค่นางฉลาดกว่าพวกเรา” ปัสกาลพยายามชี้แจง
“เจ้านี่มันกะล่อนน่าดู เอาตัวรอดได้อีก แล้วนั่นเจ้าจะขำไปถึงไหนมิเกล!?” โยชัวร์เอ็ดใส่
“โธ่ ต่อให้ข้าหยุดขำตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้ฉลาดขึ้นมาอยู่ดี” มิเกลเล่พูดพลางหัวเราะไม่หยุด
“ถูกของเจ้า งั้นก็หัวเราะให้ขาดใจตายไปเลย”
แม้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก แต่เชื่อเถอะว่าโยชัวร์ไม่ได้จริงจังหรือคร่ำเครียดอะไร เขาเปลี่ยนสีหน้าจากขึงขังมาเป็นยิ้มร่า ฮัมเสียงหัวเราะในลำคอ ส่ายหน้าไปมาอย่างระอาใจให้กับสหายรุ่นน้องที่สนุกสนานจนน่าหมั่นไส้ เกิดเป็นความครื้นเครงเล็ก ๆ ขึ้นระหว่างพวกเขา
“พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน?”
‘ฟลอร่า’ อัศวินหญิงร่างระหงก้าวเข้ามา เอ่ยถามพร้อมหย่อนกายลงข้างปัสกาล มือเรียวแตะเปิดกะบังหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน เผยใบหน้างามของหญิงสาววัยผลิบาน
“อย่ารู้เลย คุณหนูอย่างเจ้าไม่อยากรับรู้เรื่องนี้แน่”
“อวดดีจริง เจ้าอายุน้อยกว่าข้าอีกนะ ปัสกาล”
“ไม่เอาน่า ฟลอร่า ข้าอายุน้อยกว่าเจ้าไม่ถึงสองปี”
“จะปีเดียวหรือสองปี น้อยกว่าก็คือน้อยกว่าอยู่ดี”
“เจ้านี่อยากเอาชนะเหมือนกับเด็ก ๆ สำคัญกว่านั้น อายุของอัศวินวัดกันที่ประสบการณ์ต่างหาก”
“แล้วเรื่องที่พวกเจ้าคุยกันมันเกี่ยวกับประสบการณ์อัศวินงั้นเหรอ?”
“เกี่ยวสิ มันแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ของอัศวินคนนั้นเลยล่ะ”
อัศวินหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม เอียงตัวเข้าใกล้ กระซิบบอกให้ได้ยินเพียงแค่อีกฝ่าย
“เหมือนคืนก่อนเดินทางนั่นไง เจ้ายังบอกข้าเอง ว่าเป็นประสบการณ์แสนวิเศษ แถมยังชมข้าว่าสมชายชาตรีด้วย”
ได้ฟังคำตอบแล้วอัศวินหญิงพลันก้มหน้าลง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเรื่อเมื่อนึกถึงค่ำคืนอันลึกซึ้ง กะบังหน้าถูกปิดฉับ พร้อมกับเจ้าตัวที่เขินจนทำตัวไม่ถูก ได้เพียงลุกพรวดเดินออกไป ท่ามกลางเสียงเย้าแหย่ของเพื่อนอัศวินอีกสองคน
“เจ้านี่มันน่าอิจฉาจริงเชียวปัสกาล” มิเกลเล่มองเขม่นก่อนตวัดสายตาไปยังซากปราสาทเก่า “...อืมม แต่พระคุณเจ้าก็น่าอิจฉาไม่แพ้กัน”
“อย่าคิดฝันเลย ท่านหญิงไม่สนอัศวินอ่อนแออย่างเจ้าแน่ ๆ” ปัสกาลมองตามสายตาของมิเกลเล่
“เจ้าพูดอย่างกับพระคุณเจ้าแข็งแรงกว่าข้างั้นแหละ”
ไม่ทันได้ต่อบทสนทนา บรรยากาศแห่งความสนุกพลันหยุดชะงักลง เมื่อหัวหน้าอัศวินปรากฏกายขึ้นและก้าวเข้ามานั่งร่วมวงสนทนา ณ เบื้องหน้าพวกเขา
“หากยังไม่หยุดบทสนทนาหลู่เกียรตินั่น ระวังจะได้ไปนั่งขุดหัวมันแถวเรซา”
น้ำเสียงดุดันแข็งกร้าวราวกับเหล็กกล้าไม่เจือแววเย้าหยอกแม้สักนิด ดวงตาสีแดงเข้มเปี่ยมประสบการณ์จ้องเหล่าผู้อยู่ใต้บัญชาอย่างตำหนิ
“คนเริ่มคือปัสกาลต่างหาก เจ้านั่นคนเดียวเลย” อัศวินร่างท้วมว่า
“เฮ้ โยชัวร์ เจ้าจะเอาตัวรอดคนเดียวงั้นเหรอ ลืมคำมั่นอันทรงเกียรติของอัศวินแล้วรึไง ที่สำคัญคนเริ่มคือเจ้าบ้ามิเกลต่างหาก”
“เจ้าพูดเรื่องอะไรเนี่ย ข้าไม่เข้าใจ” มิเกลเล่แสร้งทำหน้าเหลอหลา
“ดีจริง ขอพระเจ้าลงโทษคนบาปหนาอย่างเจ้าข้อหาโป้ปดมดเท็จ” ปัสกาลประชดประชันเสียงสูง
“พระเจ้าต้องลงโทษเจ้าก่อนที่ทอดทิ้งสหายรัก ชิงสุกก่อนห่าม ลักลอบชมจันทร์ไปคนเดียว” โยชัวร์ค่อนแคะ
“เจ้าอิจฉาข้าว่างั้น”
“มันต้องแน่อยู่แล้วไหมเล่า นั่นฟลอร่าเชียวนะ! ไม่ว่าใครก็ต้องอิจฉาอยากฆ่าเจ้า เพื่อชิงนางมาเป็นของตัวเองทั้งนั้น”
สิ้นสุดคำพูดนั้นจึงเกิดเป็นเสียงหัวเราะคิกคักระหว่างหนุ่ม ๆ ขึ้นอีกครั้ง ขณะที่หัวหน้าอัศวินได้เพียงส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับเหล่าคนหนุ่ม ผู้เต็มเปี่ยมด้วยความคึกคักกระตือรือร้น
บทสนทนาทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของคุณหนูสูงศักดิ์ นางนั่งมองจากอีกฝั่งของลาน รู้จักพวกเขาทั้งหมด หนึ่งในนั้นคือ ‘ปัสกาล’ อัศวินหนุ่มซึ่งนางรู้จักเขาดีกว่าใคร กล่าวกันว่าหากได้เห็นโยชัวร์ที่ไหน ที่นั่นต้องมีปัสกาลอยู่ด้วยเสมอ
มือเล็กแตะด้ามกริชบนเอว ความคิดซุกซนโลดแล่น นึกอยากก้าวฉับ ๆ เข้าไปแล้วปักกริชลงท่ามกลางบทสนทนาอันหมิ่นเกียรติมารดาของตน หวังเตือนสติให้พวกเขาสะดุ้งตกใจกันสักหน่อย แม้รู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาไม่ได้กล่าวผิดแม้สักนิด
ชำเลืองมองตัวอาคารเบื้องหลัง สายตากระอักกระอ่วนไม่อาจยอมรับ เมื่อละครสวาทคาวโลกีย์ที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้มีมารดาของตนเป็นตัวเอกนำแสดง
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว