ทุกคนหันไปมองก็เห็นว่าในมือของฉินเริ่นถือซาซิมิปลาดิบเอาไว้ เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง จากนั้นทุกคนก็หันไปมองหนูน้อยที่ตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทา ทันใดนั้นพวกเขาก็เข้าใจทันที
ย่าฉินรีบเดินเข้าไปเอาจานปลาดิบในมือของเขาวางลงด้านข้างตรงบริเวณที่หนูน้อยมองไม่เห็น แล้วถามเขาว่า “อาเริ่น หลานยกมันมาทำไม”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของโจวโจว ฉินเริ่นไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจึงอธิบายว่า “อาสามเพิ่งให้คนส่งมา บอกว่าอาสะใภ้ชอบกิน ให้ผมนำไปให้เธอ”
จริงด้วย สะใภ้สามพักอยู่ห้องที่อยู่ถัดจากห้องหนังสือจริงด้วย ถ้าจะไปที่นั่นจะต้องเดินผ่านตรงนี้จริง ๆ
จะว่าไปมันก็บังเอิญเหมือนกัน โจวโจวเดินออกไปพอดี ตอนแรกหนูน้อยเริ่มไม่กลัวแล้ว แต่ไม่ทันไรก็กลับมากลัวอีกครั้ง
ย่าฉินถอนหายใจ หญิงชราอดที่จะหันไปมองค้อนฉินเลี่ยไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะเขาที่เป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง โจวโจวจะมากลัวซาซิมิปลาดิบหนึ่งจานจนกลายเป็นแบบนี้ไหม
พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไร เธอก็ยิ่งปวดหัว เธอจึงเดินเข้าไปอุ้มโจวโจวขึ้นมา เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างเล็ก ๆ ของหนูน้อยกำลังสั่นเทาอยู่นั้น หญิงชราก็รู้สึกสงสารหนูน้อยขึ้นมาจับใจ
เธอลูบหัวของหนูน้อยอย่างแผ่วเบา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “โจวโจวไม่ต้องกลัวนะ นั่นมันคือเนื้อปลา เราสามารถกินได้ ตอนที่อยู่บนโต๊ะอาหาร หนูก็เห็นนี่นา หนูจำไม่ได้แล้วหรือ ?”
ได้ยินแบบนั้น โจวโจวถึงได้ชะโงกหัวออกมาแล้วพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “จริงหรือคะ ? ไม่ใช่เนื้อคนจริง ๆ ใช่ไหม ? ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินเริ่นที่อยู่หน้าประตูพลันขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เด็กน้อยคนนี้ไปเอาความคิดแปลก ๆ มาจากไหนเยอะแยะ ถึงได้คิดว่าเขาถือเนื้อคนมา ?
เขาไม่ใช่คนโรคจิตเสียหน่อย
“ไม่ใช่จริง ๆ จ้ะ” ย่าฉินมองเธอด้วยความขบขัน เธออุ้มหนูน้อยเดินไปที่ประตู แล้วยกจานปลาดิบขึ้นมา “ลองดูสิว่ามันใช่เนื้อปลาจริงไหม ? ”
เมื่อเห็นเนื้อที่ถูกแล่วางเรียงรายอย่างปราณีตบนจาน โจวโจวยังคงหลบอยู่ในอ้อมกอดของย่าฉินอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ค่อย ๆ ชะโงกหน้าออกมาดม สีหน้าของหนูน้อยผ่อนคลายลง มุมปากของหนูน้อยโค้งขึ้น “เป็นเนื้อปลาจริง ๆ ”
แม้ว่าเธอจะไม่เคยกินเนื้อปลา แต่กลิ่นของมันคือปลาไม่ผิดแน่
เมื่อครู่นี้เธอแค่เห็นแวบ ๆ ก็กลัวแล้ว ยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจนเลย
“ใช่ไหมล่ะ พี่ใหญ่ของหนูจะเอาเนื้อมนุษย์มาใส่จานได้ยังไง ถ้าเขากล้าทำแบบนั้นจริง ไม่ต้องรอให้ถึงมือหนูหรอก ย่าจะเป็นคนแจ้งตำรวจมาจับเขาเอง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ โจวโจวก็ตระหนักได้ว่าตนเองเป็นกระต่ายตื่นตูมเกินไป หนูน้อยซุกหน้ากับอ้อมกอดของย่าฉินด้วยความอาย
ย่าฉินลูบหัวหนูน้อยด้วยความรัก จากนั้นก็หันไปมองหลานชายคนโต เธอเกิดความคิดอยากให้ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น จึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อโจวโจวเข้าใจพี่ใหญ่ผิด งั้นเราควรทำอย่างไรดี ? ”
โจวโจวชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดเสียงเบาว่า “ขอโทษ”
“ใช่ไหมล่ะจ๊ะ งั้นโจวโจวมาบอกขอโทษกับพี่ใหญ่เถอะ”
ได้ยินแบบนั้น โจวโจวลังเลไปเล็กน้อย สุดท้ายหนูน้อยก็ดิ้นเบา ๆ เพื่อบอกให้ย่าฉินวางเธอลงบนพื้น หนูน้อยเงยหน้ามองฉินเริ่นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เวลาเห็นเขา เธอยังรู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อย
แต่เมื่อคิดได้ว่าย่าอยู่ข้าง ๆ ทั้งยังคอยเอาใจช่วยหนูน้อยอยู่ เธอจึงเข้าไปจับชายเสื้อเขาแกว่งเบา ๆ แล้วยิ้มให้เขาอย่างเป็นเด็กดี “พี่ใหญ่ หนูขอโทษ หนูเข้าใจผิดเอง พี่ใหญ่ให้อภัยหนูได้ไหม ? ”
“อืม ได้สิ” ฉินเริ่นเหลือบมองเธอ แม้เขาจะไม่รู้ว่าหนูน้อยไปเข้าใจผิดเขาได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจ
เมื่อเห็นว่าเขาพูดง่ายแบบนี้ โจวโจวรู้สึกเกินความคาดหมายเล็กน้อย หนูน้อยทำตาโตขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หัวกลม ๆ โล้น ๆ นั้น……
พวงแก้มนุ่มฟูนั้น……
ฉินเริ่นอยากลูบหัวหนูน้อยจึงยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่ใครจะไปคิดว่าโจวโจวจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ทันควัน หนูน้อยรีบเอามือกอดหัวแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังย่าฉิน
เธอยังคงกลัวเขา…..
ฉินเริ่นถอนหายใจออกมา เขามองไปยังเธอด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นดังนั้น ย่าฉินเข้าใจดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ อีกทั้งเธอก็ไม่อยากเอาเรื่องไร้สาระที่ลูกชายคนเล็กทำมาพูดต่อหน้าหลาน เธอจึงกระแอมเสียงเบาแล้วพูดว่า “หลานจะเอาซาซิมิไปให้อาสะใภ้สามไม่ใช่หรือ ? รีบไปสิ”
“อืม” ฉินเริ่นพยักหน้า เขาหันไปทักทายฉินเลี่ยและปู่ฉิน ถึงได้เดินออกไป
หลังจากเดินไปได้สองก้าว เขาก็เห็นว่าเจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้างขาของย่าฉินรู้จักเดินวนรอบขาเธอในทางตรงข้าม เขาก็รู้สึกว่ามันตลกมาก
ลูกพี่ลูกน้องคนเล็กดูฉลาดมาก แต่บางครั้งก็ดูซื่อ ๆ โง่ ๆ อย่างไรไม่รู้
น่ารักแบบแปลก ๆ ดี
หลังจากเห็นว่าเขาเดินไปถึงห้องแล้ว ย่าฉินจึงเกลี้ยกล่อมให้โจวโจวไปเล่น จากนั้นหญิงชราถึงได้เดินเข้าไปในห้องหนังสือและตีลูกชายตัวดีที่นั่งอยู่บนโซฟา “ดูลูกทำโจวโจวกลัวเข้าสิ ตอนนี้เธอกลัวนักวิทยาศาสตร์ที่สุดแล้ว แทนที่จะเป็นพี่ชายน้องสาวกันดี ๆ ตอนนี้ต้องมาระแวงกันเอง”
“ใครจะไปคิดว่าเธอจะคิดจริงจังขนาดนั้น”
ย่าฉินถลึงตาใส่ลูกชายอีก “นี่ลูกยังจะโทษโจวโจวอีกงั้นหรือ ? ”
ฉินเลี่ยไม่ได้พูดอะไร
เธอพูดต่ออีกว่า “เด็กน้อยมักจะคิดว่าคำพูดของผู้ใหญ่เป็นจริงเสมอ โจวโจวเติบโตมาบนภูเขา จิตใจของเธอบริสุทธิ์ อีกทั้งเธอยังมองลูกเป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอ ลูกพูดอะไร เธอก็ต้องคิดว่ามันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินเลี่ยชะงักไป ดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิด
เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ย่าฉินตบบ่าลูกชายของตนเอง แล้วพูดย้ำเขาว่า: “การเป็นพ่อคนมันเป็นงานระยะยาว ลูกน่ะยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ”
พูดจบ เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่พูดไม่โต้ตอบอะไร ย่าฉินก็ขมวดคิ้วขึ้น
ดูเหมือนว่าในใจของลูกชายจะมองว่าตนเป็นพ่อของโจวโจวเข้าแล้วจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงชักสีหน้าเดินหนีไปแล้ว
เธอก็บอกแล้วไงว่าใครเห็นโจวโจวเป็นต้องรักเป็นต้องหลงทุกราย
ก็หนูน้อยน่ารักขนาดนี้ !
……
เช้าตรู่วันต่อมา ฉินเฟิงลืมตาขึ้น เมื่อคืนเขานอนหลับฝันดี ทำให้วันนี้เขาตื่นเช้ามาอารมณ์ดีมาก
เมื่อมองไปยังแสงสีทองยามเช้าที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามา ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เขารีบลุกขึ้นแล้วลูบที่หัวเข่าของตนเอง
เมื่อคืนเขาไม่ปวดขาแล้ว !
“……กินเข้าไปก็จะไม่ปวดแล้ว”
จู่ ๆ คำพูดของโจวโจวก็ลอยเข้ามาในหัวของเขา ฉินเฟิงเอามือปิดปากอย่างเหลือเชื่อ หรือว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคือยาจริง ๆ อย่างที่หนูน้อยว่า ?
ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เหวินเหยาเข้ามาเห็นเขานั่งอึ้งอยู่บนที่นอน เธอจึงเดินเข้ามาลูบหัวของเขาอย่างอ่อนโยน พลางถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอะไรไปลูก ? ”
“แม่ ผม……” ฉินเฟิงมองไปยังแม่ของตน เดิมทีเขาอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญ เกิดเล่าไปแล้วทำให้แม่ดีใจเสียเปล่าคงไม่ดี เขาจึงเก็บคำพูดนั้นกลับไป แล้วปรับอารมณ์ตัวเอง “เปล่าครับ ผมแค่ยังตื่นไม่เต็มตา”
ได้ยินแบบนั้น เหวินเหยาไม่ได้คิดอะไรมาก เธอช่วยเขาเปลี่ยนชุดแล้วอุ้มเขาไปนั่งบนรถเข็นอย่างเช่นทุกวัน
ฉินเฟิงมองดูใบหน้าที่บอบบางของแม่ ในใจของเขารู้สึกซับซ้อนไม่น้อย
ตอนนี้เขายังเด็ก แม่ยังอุ้มไหว แต่ถ้าหากวันหน้าเขาโตขึ้นหรืออ้วนขึ้นมาล่ะ ? เขาจะพึ่งพาแม่แบบนี้ตลอดไปไม่ได้ เขาไม่อาจเป็นภาระให้แม่ไปตลอดชีวิต
หากเขาสามารถลุกขึ้นยืนได้แบบเด็กคนอื่นคงจะดี
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ความหวังก็ฉายแววในดวงตาของเขา
เดิมทีเขาคิดว่าเขายอมแพ้แล้ว แต่ที่จริงในใจของเขายังคงมีความหวังอยู่
เขาไม่กล้าให้แม่ล่วงรู้ความคิดของเขา เขาจึงรีบก้มหน้าลง และในขณะที่เหวินเหยากำลังจะเข็นเขาออกไป จู่ ๆ เขาก็พูดว่า “แม่ครับ รอแป๊ปนึง ผมลืมของ”
ระหว่างที่พูด เขาเข็นรถเข็นไปยังข้างโต๊ะด้วยตนเอง จากนั้นหยิบเอายาที่โจวโจวให้เขามาเมื่อวานออกมาแล้วกำมันไว้แน่น เขารู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บางที โจวโจวอาจรักษาเขาให้หายดีได้ ?
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูห้อง ฉินเริ่นเดินเข้ามาพร้อมกองเอกสารแล้วพูดว่า “เสี่ยวเฟิง พี่ตรวจสอบส่วนผสมในยาได้แล้ว……”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว