ทริปสวาทเกาะกลางทะเล

หนีรักพักใจ เกาะกลางทะเล

23

ณ ทางออกของวังหลวงแห่งแคว้นกวางโจว

ขบวนรถม้าของอิงเพียวกำลังจอดรอนางเดินทางกลับ ตอนนี้ข่าวของหวังมู่ที่มินชิวนำกลับมาด้วย เริ่มกระจายในเมืองหลวงนานแล้ว เพียงแต่ผู้ติดตามนางไม่ได้แวะพักเลยไม่ได้ทราบข่าวนี้เลย เมื่อพวกเขาส่งองค์หญิงเรียบร้อย ทุกคนจึงได้ไปพักผ่อนและรู้เรื่องหญิงใหม่ขององค์รัชทายาท ผู้ติดตามหลายคนที่เดินทางกับนางเป็นประจำและได้เห็นการใส่ใจเป็นห่วง ต่อองค์รัชทายาทเสมอมาไม่ว่าตัวเองจะลำบากหรือไม่นางก็พร้อมที่จะไปหาเขา การได้ฟังข่าวนี้ทำให้พวกเขาไม่พอใจ เมื่อเชียงเชียงมาแจ้งการเดินทางกลับที่รวดเร็วดังสายฟ้าแลบ พวกเขาก็เตรียมตัวพร้อมและอยากนำองค์หญิงของพวกเขากลับไปทันที

อิงเพียวเองก็กำลังเดินไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาเพื่อกล่าวลา หลังจากที่ได้รับฟังมินชิวอย่างเป็นส่วนตัวแล้ว ใจนางก็สลาย แต่นางต้องเข้มแข็งเข้าไว้เพราะนางกำลังอยู่ต่างถิ่น สิ่งเดียวที่นางควรทำคือออกจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด ตอนที่บุรุษเจ้าหน้าที่ประกาศการมาถึงของนาง ทั้งฮ่องเต้มานเหอและฮองเฮาหยางมี่ก็ได้รับรู้การตั้งขบวนกลับของนางแล้ว ทั้งสองพระองค์จึงรีบออกมารับนางหน้าตำหนัก นางจึงกล่าวออกมาทันทีที่ยังไม่ได้เดินเข้าพร้อมพวกท่านว่า "เสด็จลุงเสด็จป้าเพคะ หม่อมฉันขอเห็นแก่ตัว ลาพวกท่านกลับบ้านก่อน ขอให้หม่อมฉันได้ใช้สติในการตัดสินใจ อยู่ที่นี้ต่อไปก็คงไม่ได้มีอันใดให้กังวลใจแล้ว สู้กลับไปปรึกษาเสด็จพ่อเสด็จแม่ และให้องค์รัชทายาทได้ใช้เวลากับพวกท่านยังดีกว่า หม่อมฉันพร้อมมาเยี่ยมพระองค์ทั้งสองในตอนที่องค์รัชทายาทสบายใจนะเพคะ ได้โปรดทรงอนุญาตให้หม่อมฉันได้เดินกลับในทันทีด้วยเถิดเพคะ"

ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างไม่เคยนึกว่า นางจะเป็นคนเด็ดขาดเช่นนี้ ถึงแม้ฮองเฮาจะเสียใจและเสียดายที่นางไม่ได้อยู่ช่วยพระองค์ดึงองค์รัชทายาทออกจากหวังมู่ แต่ฮ่องเต้กลับยินดีที่นางมีลักษณะพึงมีในตัวฮองเฮาแห่งแคว้น ฮ่องเต้จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า "พวกข้าหากรั้งเจ้าอยู่แล้วเจ้าไม่สบายใจ เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปก่อน รอให้ทุกฝ่ายอารมณ์เย็นลง ข้าหวังเพียงว่าเจ้าจะไม่ได้เกลียดมินชิวนะ"

"ไม่อยู่แล้วเพคะ หม่อมฉันรู้จักองค์รัชทายาทมาตั้งนาน ความทรงจำก่อนหน้าก็ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น หม่อมฉันไม่มีวันเกลียดองค์รัชทายาทเพคะ" นางกล่าวด้วยความจริงใจ และได้กล่าวลาทั้งสองพระองค์ก่อนมุ่งหน้าไปยังขบวนรถของนาง

มินชิวที่กำลังเดินมาร่วมเสวยพร้อมกับหวังมู่ เขาบังเอิญได้ยินอิงเพียวกล่าวทันพอดี จึงทำให้คิดได้ว่าตัวเขาเองก็ทำตัวไม่เหมาะสมกับนาง ทั้งๆที่นางเองก็โดนหมั้นหมายโดยไม่เคยถามความเห็นเช่นกัน ความที่เขามัวแต่ห่วงว่าจะมีคนทำร้าย ว่าร้าย หรือหมิ่นประมาทหวังมู่ จนลืมว่าอิงเพียวแทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขาทำผิดต่อนางจริงๆ ความรู้สึกผิดกำลังคืบคลานเข้ามาในจิตใจ แต่หวังมู่มาจับมือเขาได้ทันกาล ทำให้เขาเลิกคิดเรื่องนี้ไปได้สักพัก

เมื่ออิงเพียวขึ้นรถม้า นางถึงค่อยรู้สึกโล่งใจมากขึ้น อยู่ที่นี่ทั้งอึดอัดกายใจนัก นางหันไปมองสาวใช้คนสนิททั้งสอง ก็เห็นพวกนางทำท่าอยากจะกล่าวบางสิ่ง แต่กำลังรอให้ขบวนเคลื่อนตัวออกจากวังหลวงไปเสียก่อน นางจึงยิ้มออกมาได้ เชียงเชียงและปาหลันได้เห็นนางยิ้มออก หลังจากเจอมินชิวก็คลายใจลง ตอนนี้รถม้าได้ออกตัวจากเมืองหลวงแล้ว ปาหลันจึงไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป

"องค์หญิงยกเลิกไปเถิดเพคะ การหมั้นนี้นะ พระองค์อยู่เป็นฮองเฮาแห่งชิงหลาง โดยจะมีฮ่องเต้หรือไม่นั้นก็ไม่เห็นเป็นอันใด ผู้คนและชาวประชาต่างรักและเถิดทูนพระองค์ตลอดมา ยังไงฮ่องเต้ไต้สินและฮองเฮาชิงหยางก็อยู่กับพระองค์ช่วยดูแลต่อไปได้หนิเพคะ" ปาหลันกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง

"เรื่องนี้หม่อมฉันเห็นด้วยนะเพคะ หากกล่าวกันตามตรง แคว้นกวางโจวได้เปรียบกว่าเราอยู่มาก ทั้งการรวมแคว้นและได้ฮองเฮาเช่นพระองค์ ทุกแคว้นย่อมรู้ดีว่าพระองค์ออกทำงานฐานะองค์หญิงไม่หยุดหย่อน ไม่ได้อยู่นิ่งหรือใช้ชีวิตเสวยสุขไปวันๆ พระองค์ยังคอยติดต่อคบค้าสมาคมกับเหล่าองค์หญิงองค์ชายของทุกแคว้นที่อยู่ในพันธมิตร หากแคว้นเรามีเรื่องอันใดพระองค์ก็ใส่ใจและพยายามที่จะช่วยแก้ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังลงมือช่วยเหลือผู้คนทั้งออกหน้าและปิดบัง" เชียงเชียงรีบกล่าวเสริม

นางฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มขอบคุณ แต่เรื่องนี้หากนางเป็นลูกสาวตระกูลหรือชาวบ้านที่ไม่ได้กระทบกับผู้คนในวงกว้างนัก นางเองก็อยากตัดสินใจด้วยตนเอง แต่อย่างที่ฮ่องเต้มานเหอกล่าว การหมั้นนี้กระทบกับหลากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น ความมั่นคงของแคว้นนางที่มีผู้ประสงค์ร้ายอยากเข้ามายึด ความสัมพันธ์ที่ติดต่อทั้งการค้าและผลประโยชน์ระหว่างแคว้นทั้งสอง และความที่แคว้นกวางโจวเองก็มีผู้ถือพลังวิเศษมากที่สุดในทุกแคว้น หากจะทำอันใดนางต้องชั่งใจคิดก่อนทำ แม้ว่าจะเกี่ยวกับการแต่งงานของตนเองก็ตาม นางได้อยู่ดีกินดีมาเพราะประชาชนผู้คนไว้ใจนาง นางเองก็ควรตอบแทนพวกเขาโดยการปกป้องดูแลให้ดีที่สุด การหมั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะบอกยกเลิกก็จบอย่างง่ายดาย

ณ วังหลวงแห่งชิงหลาง ฮ่องเต้ไต้สินกำลังว่าราชการอยู่ก็ต้องตกใจ เมื่อบุรุษเจ้าหน้าที่ประจำตัวพระองค์แจ้งว่า องค์หญิงเสด็จใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว พระองค์ได้แต่รับทราบและว่าราชการต่อ แต่ในใจรู้สึกสังหรณ์ว่าน่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ส่วนฮองเฮาชิงหยางกำลังปักชุดให้องค์หญิงฆ่าเวลาเล่น ตอนมี่วังรีบขอเข้าเฝ้าพระองค์ก็แปลกใจ แต่เมื่อได้ฟังว่าลูกสาวกำลังจะถึงเมืองหลวงแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา พระองค์พอจะรู้ว่าอิงเพียวเป็นหญิงสาวที่มีความอดทนอยู่ หากไม่ใช่เรื่องใหญ่นางย่อมไม่กระทำอะไรเกินหน้าเกินตา แต่ครั้งนี้รีบกลับมาเพียงนี้ย่อมต้องใหญ่พอควร พระองค์สั่งทั้งมี่วังและสาวใช้ในวังจัดการดูแลของอิงเพียวอย่างเต็มที่ เมื่อองค์หญิงกลับมาจะต้องมีของพร้อมไม่ขาดอันใด

วันที่อิงเพียวถึงบ้านวังหลวงของนาง ทั้งเสด็จพ่อเสด็จแม่และเหล่าราชองครักษ์มายืนพร้อมรอรับนาง ประหนึ่งนางพึ่งหนีตายกลับมา ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวออกจากรถตามสาวใช้ของนาง เสด็จพ่อเสด็จแม่ก็เข้ามารับนางด้วยพระองค์เอง หลังจากที่นางต้องบังคับตัวเองให้เข้มแข็งไม่ให้ผู้ใดเอาเปรียบได้ พอเมื่อได้กลับมาอยู่กับคนที่รักและห่วงใยนางจากใจจริง มันช่างโล่งอกแถมหัวใจยังกลับมาเต้นตามเดิม นางนึกว่าเมื่อพบพวกท่านจะร้องไห้ออกมา แต่มีเพียงความเหนื่อยล้าที่สะสมมาก็เท่านั้น

"ลูกรัก เกิดอันใดขึ้น เจ้าบอกพ่อมา" เสด็จพ่อกล่าวด้วยเสียงจริงจัง ส่วนเสด็จแม่เข้ามาโอบนางและพานางเดินไปยังตำหนักหลวงทันที

เมื่อเข้ามาในตำหนัก "ลูกแม่ เรื่องที่เกิดขึ้นหนักหนาเช่นไร เจ้าบอกพวกเรามาเถอะ พ่อกับแม่ย่อมไม่ยอมให้ผู้อื่นมารังแกเจ้า" เสด็จแม่กล่าวพลางกุมมือนาง

แล้วนางก็ได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างที่นางประสบพบเจอ มี่วังและผู้ติดตามที่ไม่ได้ไปด้วย ยืนอึ้งฟังสิ่งที่นางเล่ามาด้วยความงงงวย ส่วนเสด็จพ่อก็คิ้วขมวดนิ่งคิด เสด็จแม่ฟังนางเล่าจบก็กล่าวว่า "แม่ไม่คิดว่ามินชิวจะหลงผู้หญิงคนนั้นถึงเพียงนี้ แต่หนึ่งปีที่เขาหลับไปและอีกหลายเดือนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกมาเป็นเช่นนี้ แม่ว่าตอนนี้เจ้าควรถามตัวเองว่ารู้สึกเช่นไรก่อน ค่อยนึกถึงฐานะตนเอง พ่อและแม่จะได้เข้าใจเจ้าอย่างแจ่มชัด"

"ท่านแม่ ถ้าถามความรู้สึกลูก คือลูกเสียใจเพคะ ก่อนหน้านี้ลูกเคยรู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกฉันท์ชายหญิงกับลูก แต่หลังจากที่ลูกพยายามเข้าใจและเป็นสหายที่ดีกับเขา พวกเราก็ได้เจอหลากหลายเหตุการณ์ ลูกเริ่มมีหวังและเข้าใจเองว่าเขาก็เริ่มหันมามองลูกบ้าง หลังจากที่เราแยกกันครั้งนั้น ทั้งรูปร่างหน้าตานิสัยเขาก็เปลี่ยนไป หากถามว่าอยากแต่งกับเขามั้ย ลูกอยากเพียงแค่ข้อเดี๋ยวคือ ลูกยังชอบเขาอยู่เพคะ แต่หากว่าเขามีหญิงอื่น ตัวลูกเองย่อมไม่ยอมแต่งอย่างแน่นอน" นางกล่าวออกไป

"แล้วถ้าในฐานะองค์หญิงที่ต้องแต่กับเขา เพราะแว่นแคว้นบ้านเมือง ความสงบสุข การถ่วงดุลอำนาจละ เจ้าคิดเห็นเช่นไร" เสด็จพ่อกล่าวถาม นางยังคงตอบไม่ได้ ท่านพ่อจึงกล่าวเสริมว่า "หากไม่มีเรื่องม่ายตัน และเรื่องที่พ่อกำลังจะบอกกับเจ้า พ่อย่อมยกเลิกงานหมั้นนี้ได้ทันที" ทั้งนางและท่านแม่จึงหันไปมองท่านพ่อพร้อมตั้งใจฟัง

"ที่จริงคนแบบม่ายตันมีอยู่มาก แต่ที่พวกเราเริ่มกังวลคือ เมืองที่สวามิภักดิ์เริ่มออกลายกันเสียแล้ว ที่เราคิดว่าเขายอมศิโรราบนั้นเป็นเพียงคนรุ่นก่อนหรือเจ้าเมืองในปัจจุบัน แต่ลูกของพวกเขานั้นไม่ยอมที่จะอยู่ภายใต้อาณัติของเราอีกต่อไป มีเพียงการหมั้นหมายเจ้าที่ยังทำให้คนพวกนี้ไม่ลุกขึ้นมาต่อต้าน เพราะเกรงกลัวผู้ที่มีพลังวิเศษ และฮ่องเต้มานเหอจะย้ายถิ่นฐานพระองค์มาพำนักที่วังนี้ หลังจากที่พวกเจ้าแต่งงานกันไปแล้ว พระองค์จะนำเหล่ากองทัพผู้วิเศษภายใต้การดูแลของพระองค์ มาปักหลักปักฐานอยู่ที่นี่เช่นกัน ซึ่งจะทำให้แคว้นของเราเป็นอีกหนึ่งแคว้นที่จะรองรับเหล่าผู้วิเศษได้ การที่ได้พวกเขามาอยู่ ลูกเองย่อมรู้ว่าพลังวิเศษนำพาซึ่งวิวัฒนาการที่ก้าวกระโดด การใช้ชีวิตของผู้คนก็จะอยู่ดีขึ้นมาก" เสด็จพ่อกล่าวพลางสังเกตนาง

ยิ่งพอรู้ว่าทางฮ่องเต้มานเหอ แทบจะยกเมืองมาอยู่ร่วมกับแคว้นนาง ไม่ต้องเอ่ยให้มากความ ก็รู้ว่าผู้คนในชิงหลางย่อมได้รับผลประโยชน์ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เสด็จแม่รู้ว่านางเริ่มคิดถึงส่วนรวมก่อนส่วนตน "ลูกแม่ หากตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็ไม่ต้องฝืนทน ยังมีอีกสามปีที่พวกเราจะรอเจ้าได้ หรือหากมีชายหนุ่มที่รักเจ้าตามที่เจ้าหวัง พวกเราก็ยกเลิกการหมั้นนี้ลงก็ยังทันกาล" ท่านแม่กล่าวด้วยเสียงที่ปลอบประโลม

ท่านพ่อฟังแล้วก็ยิ้ม "จริงอย่างที่แม่เจ้าบอกนะลูกรัก เอาละ ในเมื่อชีวิตให้อุปสรรคนี้มา ย่อมต้องมีเหตุผลของมัน เจ้าเองก็อย่าได้คิดมาก เอาเวลาหาความสุขในตอนนี้ดีกว่า พ่อรู้แล้วว่าสิ่งใดที่จะทำให้เจ้าคลายทุกข์" ท่านพ่อกล่าวพลางหยอกล้อนาง ทั้งนางและท่านแม่หันไปฟังด้วยความอยากรู้

เสด็จพ่อกล่าวอย่างมีความสุขว่า "ก็ต้องเป็นของขวัญวันเกิดพ่อ ฮ่าฮ่า เจ้าจะได้สนใจเรื่องที่เป็นเรื่อง"

นางได้แต่หัวเราะเสียงดังออกมา ท่านพ่อของนางช่างหมกมุ่นกับเรื่องนี้เสียจริง ส่วนท่านแม่อยากจะเอามือก่ายหน้าผาก แต่ความรักของชายรักผู้นี้ที่พยายามดึงลูกสาวขึ้นจากความผิดหวังและโศกเศร้า ทำให้ท่านแม่ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ ครอบครัวนางช่างสนับสนุนและให้กำลังใจกัน หากไม่ใช่เป็นเจ้าครองแคว้น ท่านแม่ก็อยากจะพาทั้งสองไปหาที่อยู่สงบ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกวัน

ณ วังหลวงแห่งกวางโจว ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาไม่ยินยอมที่จะร่วมทานข้าวกับหวังมู่ ถึงแม้มินชิวจะโกรธเพียงใด แต่การที่เห็นอิงเพียวรีบลาจาก ทำให้เขายังรู้สึกผิดจึงไม่ได้มีปากเสียง เขาและหวังมู่ได้แต่มาร่วมทานอาหารกันเองในตำหนักส่วนตัวมินชิว "ทำเช่นไรดีเพคะ ทั้งสองพระองค์ดูจะไม่เปิดใจกับข้าเลย ข้าควรทำอาหารหรือส่งของไปให้พวกท่านดีหรือไม่เพคะ" หวังมู่เอ่ยถาม

"ไม่ต้องหรอก พวกท่านไม่ได้ขาดเหลืออะไร หากพวกเราทนได้เกินสามปี พ่อข้าสัญญาแล้วว่าจะให้เจ้าเป็นกุ้ยเฟย" เขากล่าวโดยที่ไม่นึกสนใจว่า หวังมู่เอาแต่ความเป็นไปของนาง ไม่เคยถามความรู้สึกของเขา หรือแม้กระทั่งปลอบใจในการสู้รบตบมือกับพ่อแม่เขาเอง ตัวมินชิวก็เป็นเช่นนี้ ชอบคว้าหญิงสาวที่ตนชมชอบผ่านรูปร่างหน้าตา เมื่อไม่เคยได้มาจึงพยายามที่จะให้พวกนางมองเห็นเขา จนมองข้ามรายละเอียดของความรักไป

ตอนนี้หวังมู่ออกไปเดินเล่นในสวน เมื่อเขามองออกไปนางเหมือนนางฟ้าแอบมาเที่ยวเล่น ช่างงดงามและเกินเอื้อม แต่ในที่สุดนางผู้นี้ก็ได้มาอยู่ข้างกายเขาแล้ว เขาจะแต่งกับนางให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแต่งอิงเพียวด้วยหรือไม่ก็ตาม ในระหว่างที่เขากำลังใช้ความคิด ลายซันก็มารายงานว่าฮ่องเต้ต้องการพบเขาโดยที่ฮองเฮาเองก็รอพบเช่นกัน ไม่ต้องนำหวังมู่ไปไม่งั้นคงไม่สามารถสนทนากันได้

มินชิวจึงกล่าวโกหกไปว่า "ข้าไปคุยเรื่องพลังวิเศษก่อน เดี๋ยวกลับมานะ" หวังมู่รับคำ ตัวนางกำลังยินดีกับชีวิตนางที่ได้กลายมาเป็นดั่งองค์หญิง ที่วังนี้มีของงดงามมากมาย ขนาดคหบดีที่ร่ำรวยยังเทียบไม่ได้แม้แต่ตำหนักนี้เลย ในที่สุดนางก็จะมีอำนาจ ถึงแม้จะยังไม่ได้เป็นฮองเฮาก็ไม่เป็นเช่นไร ก้าวไปในฐานะนั้นช่างง่ายดายเพราะมินชิวหลงรักนางจนไม่สามารถถอนตัวได้อีกแล้ว

เมื่อมินชิวเดินเข้ามายังท้องพระโรง เสด็จพ่อเสด็จแม่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ทำให้เขาต้องเงยหน้าสนทนากับพวกท่าน เขากำลังจะเอ่ยปาก แต่เห็นเสด็จพ่อทำสัญญาณให้เขาเงียบ "เจ้าไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่า พวกข้าไม่ได้ยอมรับในตัวหญิงผู้นั้น ในสามปีที่ข้าให้เจ้าไป หากเจ้าและหญิงนั้นยังรักกันถึงตอนนั้น เราค่อยมากล่าวเรื่องแต่งงาน แต่มีข้อแม้ที่เจ้าต้องทำตาม ในสามปีนี้หญิงผู้นั้นไม่อาจมาเหยียบที่วังแห่งนี้ได้ รวมถึงการพานางออกไปพบปะผู้คนที่เมืองและแคว้นอื่น หากเจ้าอดรนทนไม่ไหวอยากจะเห็นหน้านางนัก ข้าคุยกับแม่เจ้าแล้วว่า พวกเราจะยอมให้เจ้าไปอยู่เมืองน้ำแข็ง แต่ภาระและหน้าที่ขององค์รัชทายาท เจ้าต้องทำให้สำเร็จลุล่วงไม่มีข้อแม้ และหากเพียงแค่นี้เจ้ายังทำไม่ได้ เรื่องแต่งงานกับนางก็ไม่มีวันเกิดขึ้น!" ฮ่องเต้มานเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ใช้ในการว่าราชการ เสียงนี้สื่อถึงความเด็ดขาดและคำสั่งที่พระองค์ไม่ให้ต่อรอง

มินชิวฟังแล้วก็หนักใจ ทำไมพวกท่านถึงต้องรังเกียจหวังมู่เพียงนี้ หากแต่ถ้าเขาไม่ยอมทำตาม ด้วยนิสัยของเสด็จพ่อย่อมไม่ยอมให้เขาขึ้นครองราชย์ต่อ ทุกอย่างที่เขาพยายามทำมาจะเสียเปล่า ตัวเขาเองก็ทนไม่ได้หากที่จะไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ทั้งชีวิตเขาถูกปลูกฝังมายาวนานจนกลายเป็นความใฝ่ฝันที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งกวางโจว อีกทั้งเขาก็อยากให้บ้านเมืองสงบสุขและพร้อมจะนำพาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เขากล่าวยอมรับกับทั้งสองพระองค์ ทำให้ลดความตึงเครียดระหว่างกันเป็นอย่างมาก นี่ก็เป็นมื้อเย็นแรกที่ทั้งสามพระองค์เสวยร่วมกัน ถึงแม้จะดูเงียบเหงาแต่ก็ดีกว่าตอนครั้งที่เขาพาหวังมู่มาพบเป็นต้นมา ในสามปีที่จะถึงนี้คงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากตนเองและผู้อื่นอีกมาก

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว