ตอนที่ 34 เงินหกตำลึง
หลิวซื่อไม่พอใจอยากจะโต้แย้งสักสองประโยค แต่ฉาอิ๋นอันกลับแอบดึงแขนเสื้อนาง “พอเถอะ หยุดพูดมากได้แล้ว ท่านแม่คงมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้”
ไม่นึกเลยว่าหลิวซื่อจะสะบัดแขนเสื้อออกทันที นางจ้องเขาอย่างโกรธเคือง เดินฟึดฟัดกลับลานบ้านตัวเองด้วยความโมโห
ครั้นหยางซื่อเห็นครอบครัวสะใภ้รองกลับไปแล้ว นางก็ยังคงยืนเม้มปากอยู่ตรงนั้น
ตอนที่แม่สามีพูด หลิงซานฉิงได้เดินออกไปจากบ้านพร้อมกับกล่องแล้ว หากไม่มีเรื่องเกิดขึ้น นางคงไม่มาที่บ้านหลังนี้
ทุกคนไปกันหมดแล้ว หยางซื่ออยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ นางหัวเราะแห้ง ๆ ไปทางแม่สามีแต่กลับได้รับสายตาเย็นชากลับมา นางจึงหันหลังเดินจากไปด้วยความแค้นใจ
บ้านห่างกันไปเพียงสองหลัง แต่หลิงซานฉิงกลับใช้เวลาเดินไปครึ่งเค่อเต็ม ๆ เพราะเดินค่อนข้างช้า
เรื่องนี้สามารถยืนยันได้ว่าอวี๋ซิ่งเหวินเป็นผู้ยุยง
อย่างไรเสียบรรยากาศในตอนนั้นทำให้อวี๋ซิ่งเหวินคิดเพียงว่า 'ภาพวาดนั้นเป็นภาพวาดของอาจารย์สวี' หลังจากจบเรื่องแล้วเขาก็คงได้สติกลับมา และเขาต้องมาหาพวกเขาอย่างแน่นอน
เขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าภาพวาดนี้เป็นของปลอม หากเป็นเพียงแค่การคาดเดา คงไม่มีทางให้แม่สามีขโมยภาพวาดมาแน่
เมื่อหลิงซานฉิงเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน นางก็หยุดชะงักทันที
เรื่องนี้ยังจะให้ฉาจื่ออันรู้ไม่ได้ หากเขารู้ว่ามารดาตนเองร่วมมือกับคนนอกทำร้ายตัวเอง คงจะเสียใจมาก
แน่นอนว่า ไม่ควรเก็บภาพวาดไว้ในบ้านอีก เรื่องที่นางได้ภาพวาดกลับคืนมาอวี๋ซิ่งเหวินคงรู้ในไม่ช้า หากเก็บไว้ในบ้านคงเกิดหายนะขึ้นแน่
เดี๋ยวก่อนนะ...
หลิงซานฉิงแววตาเป็นประกาย เพราะภาพวาดนี้เป็นของปลอมถึงเป็นเหตุแห่งหายนะ หากภาพวาดนี้เป็นของจริง หรือว่ามีอาจารย์สวีเป็นพยาน แม้ว่าอวี๋ซิ่งเหวินอยากจะหาเรื่องพวกเขาอีกกี่ครั้ง มันคงจะก็ไร้ประโยชน์
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลิงซานฉิงก็ตื่นเต้นขึ้นมา และตัดสินใจบางอย่างขึ้นมาได้
ทันทีที่เข้าไปในลานบ้านก็เห็นสวีอิงเอ๋อร์กำลังเล่นอยู่กันเจี่ยนเจี่ยน เมื่อทั้งสองเห็นนางกลับมาก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับทันใด
“แม่นางหลิง เจ้ากลับมาแล้ว”
หลิงซานฉิงโบกไม้โบกมือ “เรียกข้าว่าซานฉิงก็พอแล้ว”
นางมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นซิ่วไฉซื่อบื้อคนนั้นจึงถามขึ้น “ฉาจื่ออันล่ะ อยู่บ้านหรือไม่?”ขณะพูด นางก็ลูบหัวเจี่ยนเจี่ยนไปด้วย
สวีอิงเอ๋อร์นึกครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “แม่นาง...ซานฉิง คุณชายฉาออกไปหนึ่งชั่วยามก่อนแล้ว เห็นว่าจะไปฝังไก่ตาย...”
“ฝังอะไรนะ?”
“...ไก่ตาย”
“ไอ้ผู้ชายสุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช่ว่าข้าให้เขาขุดอุโมงค์ให้ข้ารึ” นางขมวดคิ้วมองดูกล่องในมือ ตอนนี้ไม่มีเวลาไปสนใจก็ช่างมันก่อนแล้วกัน “ช่างเถอะ ช่างเถอะ แล้วแต่เขาละกัน”
สวีอิงเอ๋อร์ปากกระตุกเล็กน้อย นางไม่รู้เลยว่าหลิงซานฉิงจะมีนิสัยรีบร้อนเช่นนี้
หลิงซานฉิงไม่สนใจสวีอิงเอ๋อร์อีก นางเดินเข้าไปในห้อง หากระดาษกับพู่กัน เขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง
ในจดหมายระบุสาเหตุของเรื่องราวไว้อย่างชัดเจน แล้วนำภาพภาดกับจดหมายส่งไปให้อาจารย์สวี
เรื่องทั้งหมดฉาจื่ออันไม่รู้เลยแม้แต่น้อย เวลานี้เขากำลังยืนอยู่หน้าป้ายประกาศในอำเภอ และไม่ขยับไปไหน
ตัวอักษรสีดำในกระดาษสีแดงบนกระดานประกาศนั้นเขียนว่า งานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์ครั้งใหม่จะจัดขึ้นหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ เนื้อหากวีได้กำหนดหัวข้อแล้วว่าเป็น ‘หล้า’ ขอให้ทำภาพวาดออกมาให้เต็มที่
ด้านล่างสุดของใบประกาศมีประโยค ‘เข้าร่วมงานชุมนุมกวีนิพนธ์ต้องจ่ายเงินหกตำลึง แพ้ชนะไม่มีการคืนเงิน’ เขียนไว้อย่างชัดเจน
หางตาฉาจื่ออันลู่ลงเล็กน้อย เขาถอนหายใจออกไม่ไม่หยุด
เงินหกตำลึงสำหรับเหล่าคุณชายบ้านรวยคงขนหน้าแข็งไม่ร่วงหรอก แต่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปเช่นเขา เงินนั้นเทียบกับรายจ่ายของบ้านทั้งปีเลย
แม้เขาจะเต็มไปด้วยความหวังและใฝ่ฝันในภาพวาดกวีนิพนธ์ แต่ก็ไม่เคยเข้าร่วมเลยสักครั้ง
เงินหกตำลึงไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ มารดาคงไม่ออกให้เขาอย่างแน่นอน อีกอย่างเขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะชนะในงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์หรือเปล่า
เขาไม่กล้าเดิมพัน
ฉาจื่ออันมองครั้งสุดท้าย ก่อนกัดฟันละสายตาและเดินจากไปอย่างเหม่อลอย
ณ จวนตระกูลอวี๋
ต้นฤดูใบไม้ร่วงนี้อากาศยังคงร้อนแผดเผา ดอกเบญจมาศยังคงบานอยู่ในสวนด้านหลัง กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น กลบความร้อนระอุในอากาศไปเสียสิ้น
แสงแดดสาดส่องผ่านบานเกล็ดหน้าต่างเข้ามา แต่ทว่ามีอ่างเครื่องเคลือบใบใหญ่วางไว้ตรงกลางห้อง และในอ่างเต็มไปด้วยน้ำแข็งสีขาว
อวี๋ซิ่งเหวินยืนข้างอ่างน้ำแข็ง ในมือถือกล่องใบหนึ่งอยู่ เมื่อเพ่งมองดูดี ๆ ก็รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เขาแสยะยิ้มเย็นชาออกมา “หลิงซานฉิง ไม่ว่าเจ้าจะฉลาดเพียงไหน ภายใต้อำนาจนี้ ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็เปล่าประโยชน์”
ลูกน้องข้างกายเขารีบเอ่ยตาม “ตั๊กแตนตำข้าวกำลังจะจับจักจั่นกินเป็นอาหาร หารู้ไม่ว่าข้างหลังยังมีนกกระจอกเหลืองคอยจับจ้องจิกกินอยู่[1] คุณชายรองทั้งฉลาดและมีกลยุทธ์ แค่ผู้หญิงคนเดียวจะทำอะไรท่านได้” ประโยคนี้ชมอวี๋ซิ่งเหวินเกินไป แต่กลับไม่ได้ใช้โอกาสนี้ดูหมิ่นอะไรหลิงซานฉิง
แววตาอวี๋ซิ่งเหวินมีเงาดำเคลื่อนไปมา เขายิ่งแสยะยิ้มอย่างเย็นชามากขึ้น
หลิงซานฉิงกอดอกรอฉาจื่ออันอยู่หน้าประตูบ้าน
กล้าดีอย่างไรถึงขัดคำสั่งนาง บอกว่าทิ้งก็ทิ้ง การกระทำเช่นนี้ควรตัดไฟแต่ต้นลม ปล่อยไว้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
นางเห็นฉาจื่ออันเดินหดหู่มาแต่ไกล แม้เพื่อนบ้านเหน็บแนมเขาสองประโยค เขาก็ยังคงนิ่งเฉย
หลิงซานฉิงเลิกคิ้วขึ้น หรือว่าเจ้าซื่อบื้อนั่นรู้แล้วว่าการฝังไก่ตายพวกนั้นสิ้นเปลืองสิ่งของมาก จึงรู้สึกละอายใจ?
จนกระทั่งคนเดินมาถึงด้านหน้า นางก็ลุกขึ้นขวางทางเข้าบ้าน พลางกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และเอ่ยถามขึ้น “ทำไม รู้สึกเสียใจที่ไปฝังไก่หรือ เจ้าไม่ใช่หลินไต้อวี๋ซะหน่อย ทำเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่น่าเศร้าไปได้?”
บางทีฉาจื่ออันอาจจะได้ยินคำเยาะเย้ยที่นางพูด แต่ก็อาจจะไม่ได้ยิน เขาทำเพียงแค่พยักหน้าอย่างเหม่อลอย ไม่พูดสิ่งใดออกมาสักคำ และเดินอ้อมนางเข้าบ้านไป
บนตัวเขาไม่เพียงแต่แผ่กลิ่นอายความเศร้าหมองออกมา แต่ยังมีกลิ่นอายน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ด้วย
หลิงซานฉิงครุ่นคิดอย่างฉับไว พลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเบี่ยงตัวหลบให้เขาเดินเข้าบ้านไป และเดินตามหลังฉาจื่ออันไป “ให้ข้าเดา เจ้าไปในอำเภอมาแล้ว?”
ฉาจื่ออันเอาแต่เดินไป ไม่ขานตอบสักคำ
หลิงซานฉิงยังคงไม่สนใจ นางเอนไปข้างหน้าพลางยิ้มตาหยี “เห็นประกาศแล้วหรือ? งานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์?”
นางพูดไปหยั่งเชิงไปด้วย ครั้งก่อนนางเห็นใบประกาศงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์นั้น น่าจะใกล้เข้ามาแล้ว
เจ้าซิ่วไฉซื่อบื้อนี่กลับมาจากอำเภอเมื่อครู่ คงเห็นใบประกาศนั้นและสนใจงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีท่าทางหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้หรอก
ครั้งก่อนเขาพูดออกมาเองว่าไม่รู้ คงเป็นเพราะความรู้สึกส่วนใหญ่แน่ ๆ
แน่นอนว่าฉาจื่ออันหยุดเดินฉับพลัน เอ่ยขึ้นโดยไม่มองนาง ราวกับคุยกับตนเอง “เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร ข้าคงเข้าร่วมไม่ได้”
น้ำเสียงห่อเหี่ยวแถมยังแฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“เข้าร่วมไม่ได้? เหตุใดเจ้าถึงเข้าร่วมไม่ได้?” หลิงซานฉิงยืนยันความสงสัยในใจ พร้อมกับตื่นเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง นางรีบดึงแขนเสื้อเขาเพื่อถาม
ฉาจื่ออันถอนหายใจออกมา มองนางอย่างยากลำบากแล้วรีบละสายตากลับ “จะเข้าร่วมงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์ต้องจ่ายเงินหกตำลึง ข้าไม่มีหรอก...” เสียงยิ่งแผ่วลงเรื่อย ๆ ในใจรู้สึกอึดอัดไปหมด ทั้งไม่พอใจและใจไม่แข็งพอ
ไม่กี่ปีมานี้เขาเก็บออมเงินเพื่อรอคอยที่จะได้เข้าร่วมงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์ แม้จะไม่ได้ที่หนึ่ง แต่สามารถเข้าร่วมงานได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ทว่านี่แค่เข้าร่วมเขาก็ยังเข้าไม่ได้เลย
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมาติดต่อกัน “งานชุมนุมวาดภาพกวีนิพนธ์ งานดี ๆ เช่นนี้เกี่ยวข้องกับเงินทองตั้งแต่เมื่อใดกัน”
หากจะเป็นใครก็ได้หรือเงื่อนไขใดก็ได้ก็สามารถเข้าร่วมได้แล้ว เขาคงไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตารอทุก ๆ ปีหรอก และก็ไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงได้ในทุก ๆ ปีเช่นกัน
เพราะไม่มีเงินถึงได้ตำหนิหรอกรึ หากหาเงินหกตำลึงมาได้ง่าย ๆ เขาคงไม่สนว่างานดี ๆ เช่นนี้จะเกี่ยวข้องกับเงินหรือไม่
หลิงซานฉิงรู้สึกเอือมระอา นางกระแอมออกมาหนึ่งครั้ง พลางตบไหล่เขาเบา ๆ ราวกับเป็นเศรษฐี และพูดอย่างภาคภูมิใจ “ก็แค่เงินหกตำลึงเอง ไม่มากหรอก ข้าจะออกให้เจ้าเอง”
ฉาจื่ออันตะลึงค้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ ทว่าไม่นานก็กลับมาเศร้าหมองอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากปลอบข้า แต่สถานการณ์บ้านเราในยามนี้ เงินหกตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลย อีกอย่างปัญหาหลักคือไม่รู้ว่าจะได้ที่หนึ่งหรือไม่ ฉะนั้นอย่านำเงินมาสิ้นเปลืองเพื่อข้าเลย อย่างมากข้าก็แค่รอไปอีกปีหนึ่ง”
ไม่ว่าพวกเขาจะหาเงินจำนวนนี้ได้หรือไม่ นางมีความคิดเช่นนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่ก็เป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่าคงจะหาเงินมาไม่ได้
สวีอิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านในได้ยินเข้าก็ลังเลใจ มือขวานางจับกำไลข้อมือที่สวมอยู่บนมือซ้ายไปมา ก่อนตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นและผลักประตูเดินออกไป “ซานฉิง เจ้าช่วยข้าเอาไว้ พระคุณที่ช่วยชีวิตยากที่จะหาสิ่งใดตอบแทน เจ้ารับกำไลนี้ไปเถอะ นำมันไปจำนอง อย่างน้อยก็ได้สักสองสามตำลึง ข้ามีกำลังแต่เพียงเท่านี้ คงช่วยเจ้าได้เท่านี้จริง ๆ”
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว นางก็ถอดกำไลหยกออกมาแล้วยื่นให้
เดิมทีนางก็เป็นลูกสาวตระกูลร่ำรวยที่ตกอับ จึงไม่แปลกที่นางจะมีของมีค่าติดตัว เพียงแต่นางถูกเฉินเตาปาทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เหตุใดถึงยังมีกำไลติดตัวอยู่ล่ะ?
ความคิดแวบผ่านเข้ามา หลิงซานฉิงส่ายหน้า ผลักกำไลในมือคืนกลับไป “อิงเอ๋อร์ เจ้าเก็บกำไลนี้กลับไปเถิด ของมีค่าเช่นนี้ข้ารับไว้ไม่ได้ อีกอย่างเรื่องเงินก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้ ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนหรอก”
สวีอิงเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก “กำไลนี้ทิ้งไว้ก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่างที่ข้าเก็บไว้ก็แค่...”
"ขออภัย นี่ใช้บ้านแม่นางหลิงหรือไม่?"
พลันมีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูขัดคำพูดของสวีอิงเอ๋อร์ หลิงซานฉิงมองไปทางประตู นางรู้จักผู้ที่มานี้ นางซื้อเห็ดหูหนูขาวมาจากเขา ในเมื่อเขามาปรากฏตัว ซือหงหยวนคงมีเรื่องบางอย่างถึงได้ให้คนมาหานาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็เดินไปที่ประตู “ที่นี่แหละ”
ครั้นมองเห็นนาง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “แม่นางหลิง คุณชายซือให้ข้าน้อยนำเงินมาส่งให้ท่าน สูตรหมั่นโถวของท่านใช้ได้จริง ๆ หมั่นโถวที่นึ่งออกมาทั้งใหญ่ทั้งขาว นุ่มถูกปาก ขายดีทุกวัน นี่คือเงินส่วนแบ่งกำไรจากการขาย แม่นางโปรดรับเอาไว้”
ส่วนแบ่ง? นางขายสูตรให้กับซือหงหยวนไปตอนนั้นแล้ว กำไรทั้งหมดก็ควรเป็นของเขาผู้เดียว เหตุใดถึงมีส่วนแบ่งให้นางด้วยล่ะ?
เขารู้ว่านางสังสัย จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น “แม่นางหลิง คุณชายของพวกเราบอกว่ายังอยากจะร่วมทำการค้าขายกับท่านต่อไป รอเพาะเห็ดหูหนูขาวออกมาได้เมื่อไหร่ คุณชายจะขอซื้อเป็นคนแรก และยังบอกอีกด้วยว่าในเมื่อร่วมมือกันแล้ว ย่อมต้องให้ส่วนแบ่งแก่ท่าน เงินส่วนนี้ท่านจำเป็นต้องรับไว้”
สมแล้วที่เป็นคนของตระกูลซือ ใช้ผลประโยชน์ซื้อจิตใจคน ดูมีความจริงใจอยู่บ้าง
เรื่องนี้ก็ดูมีเหตุผลชัดเจน หลิงซานฉิงจึงไม่ปฏิเสธและรับเงินนั้นมา “ฝากเจ้าบอกคุณชายของพวกเจ้าด้วยว่าข้าขอบคุณมาก ข้ามีโอกาสได้ร่วมมือกับคุณชายซือในวันนี้ ช่างเป็นเกียรติต่อข้ายิ่งนัก”
คนที่มานั้นพยักหน้ารับทราบ หลิงซานฉิงชั่งน้ำหนักสิ่งที่อยู่ในถุงใบเล็กดู นางก็ยกยิ้มขึ้นมา และยักคิ้วไปทางฉาจื่ออัน “เจ้าดู นี่ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วหรือ”
แววตาฉาจื่ออันเปล่งประกาย สีหน้าเผยความดีใจออกมา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น “เจ้า นี่...นี่คือเงินอะไร เหตุใดเยอะถึงเพียงนี้ เจ้าไปทำอะไรมา?”
แม้จะถามรัว ๆ แต่สายตากลับจ้องอยู่ที่ถุงใบเล็กนั้น ไม่อาจละสายตาไปได้
หลิงซานฉิงแกว่งถุงเงินไปมา ดวงตาเขาก็ขยับตามไปด้วย และยิ้มอย่างพึงพอใจ “ไม่ลักไม่ปล้นไม่ทำผิดกฎหมาย เจ้าจะสนว่ามันมาจากไหนทำไม จะใช้ไม่ใช้? โอกาสเข้าร่วมงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์ที่ปีหนึ่งมีเพียงหนเดียว หากพลาดก็ไม่มีโอกาสแล้วนะ”
นางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ดั่งแสงสว่างสุดท้ายในความมืดมิด ขับไล่ความโศกเศร้าที่อยู่ในใจของฉาจื่ออันไปจนหมดสิ้น
ความเย้ายวนของงานชุมนุมภาพวาดกวีนิพนธ์ช่างมากมายยิ่งนัก เวลานี้เขาไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งใดมาก จึงรีบพยักหน้าราวกับว่ากลัวนางจะเปลี่ยนใจ “ใช้ ใช้ ข้าใช้ ซานฉิง เจ้าคือเทพยดาของข้า ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะหาเงินมาได้มากมายเช่นนี้จริง ๆ ”
เทพ? เทพยดา?
คล้ายกับเจี่ยนเจี่ยนเข้าใจคำพูดนี้จึงหัวเราะคิกคักออกมา เด็กน้อยยิ้มไปด้วยปรบมือไปด้วย แม้แต่ในตอนที่สวีอิงเอ๋อร์เก็บกำไลกลับไป ใบหน้าก็ยังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
ในที่สุด ฉาจื่ออันก็ไม่ต้องรอถึงปีหน้าแล้ว
[1] อุปมาว่า มองเห็นแต่สิ่งที่จะได้อยู่ข้างหน้า แต่หารู้ไม่ว่ายังมีภัยมหันต์กำลังจะตามมา
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว