ในห้องโถงกลาง หมู่ตึกตระกูลมู่
พอเมิ่งเฉินเดินเข้ามาถึงกลางโถงก็ได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตา นั่งอยู่สองฝากข้าง
"คารวะท่านพ่อตาขอรับ"
มู่เฟิงพยักหน้าทีหนึ่ง
"นี่คือเขยข้า เมิ่งเฉิน เป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าเนินดาว รู้จักกันไว้"
แล้วเมิ่งเฉิน ก็ทำท่าทางทำความเคารพรอบข้าง คนเหล่านั้นคล้ายไม่สนใจเมิ่งเฉินแต่อย่างใด เพราะกำลังคุยเข้าประเด็นสำคัญกันอยู่ บ้างก็พยักหน้า บ้างก็พงกหัวไม่ได้ทำท่าทางเคารพตอบ คล้ายไม่เห็นเมิ่งเฉินอยู่ในสายตา
แล้วมู่เฟิงก็ชี้ไปยังเก้าอี้ที่นั่งเมื่อวันก่อน เมิ่งเฉินก็เดินไปแล้วนั่งลง
เยว่เฟย ผู้นำกองกำลังป้องกันเมืองไร้เนินกล่าวต่อจากที่ค้างไว้
"ท่านหัวหน้า เหตุการณ์เร่งด่วน เวลาไม่เช้า พวกเราควรรีบออกเดินทาง"
"ไปเตรียมการณ์" มู่เฟิงออกคำสั่งทีหนึ่ง
แล้วทุกคนก็ยืนขึ้นทำความเคารพ แล้วก็พากันเดินออกจากห้องโถงไปทีละคน
"ท่านพ่อตา มีอะไรให้ผู้เขยช่วย เชิญสั่งมาได้เลยขอรับ" เมื่อคนออกไปจนหมดแล้วเมิ่งเฉินก็ยืนขึ้นกล่าวออกมาบ้าง
"ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะช่วยอะไรได้ไหม แต่เจ้าตามข้าไปก็ดี จะได้รู้ว่าผู้คนของเผ่าเรานั้น ลำบากแค่ไหน!"
แล้วมู่ปิงหยุนก็เดินเข้ามาในโถง
"ท่านพ่อ! ลูกขอไปด้วย"
พอได้ยินว่าเมืองไร้เนินซึ่งเป็นบ้านเกิดของเยว่จื่อจินเกิดเรื่อง นางก็ร้อนใจ เยว่จื่อจินก็ร้อนใจเลยรีบมาที่ห้องโถง
"พวกเจ้าสองคนคอยอยู่ที่นี่ ไม่ต้องวุ่นวายไป" มู่เฟิง พูดในเชิงออกคำสั่งทีหนึ่ง
"ที่เรียกพวกเจ้ามา เพราะจะบอกว่าให้ดูแลบ้านช่องให้ดี บิดากับสามีเจ้าจะไปทำงาน"
เมิ่งเฉินไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่เห็นพวกนางร้อนใจเลยช่วยพูด
"เช่นนี้เถอะท่านพ่อตา เมื่อวานท่านพ่อบอกว่าจะให้น้องปิงหยุนไปกับพวกเราด้วย
พวกนางก็เตรียมตัวแล้วก็ให้พวกนางไปเถอะ ระหว่างทางผู้บุตรจะดูแลพวกนางเอง"
มู่เฟิงชำเหลืองมามองเมิ่งเฉินทีหนึ่ง ความจริงแล้วเมื่อวานกะว่าจะพาไปอีกเมือง แต่วันนี้เมืองนี้ดันเกิดเรื่องเลยต้องไปที่นี่ก่อน
"เช่นนั้นก็ได้ ไม่ต้องพิรีพิไร จะไปก็รีบตามมา" แล้วมู่เฟิงก็ลุกขึ้นสบัดแขนเสื้อแล้วเดินนำออกจากห้องโถง
เมิ่งเฉินพยักหน้าให้มู่ปิงหยุนและเยว่จื่อจินทีหนึ่ง แล้วก็เดินตามออกไปเช่นกัน
ตอนนี้ทั้ง มู่เฟิง เมิ่งเฉิน ลู่ฉี มู่ปิงหยุน เยว่จื่อจิน และคณะผู้ติดตาม ต่างก็เดินกันมาเป็นขบวนมายังสถานที่หนึ่ง ซึ่งเป็นสถานีเคลื่อนย้ายทางไกล สถานีนี้ก็คือความลับของการปกครองผู้คนของแต่ละเผ่า มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
ในแต่ละเมือง อยู่ห่างกันมากก็อาศัยสถานีเคลื่อนย้ายทางไกลแห่งนี้เชื่อมโยงระหว่างผู้คนในเผ่าด้วยกันไว้ เช่นนี้เอง พื้นที่กว่าสองพันตารางกิโลเมตร จึงถูกปกครองและปรองดองกันอย่างเหนียวแน่น ทั้งการค้า การทหาร การส่งกำลังบำรุง เสบียง หรือความช่วยเหลือต่างๆ ก็จะส่งผ่านสถานีนี้ เป็นเส้นทางการคมนาคมหลักของแต่ละเผ่า เรียกได้ว่า เป็นประตูวาร์ปขนาดย่อม ประตูหนึ่ง แต่การใช้งานจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากพอสมควร จึงมีใช้เฉพาะหน่วยงานการปกครองระดับผู้นำ และพ่อค้าที่มีกำลังจ่ายสูงเท่านั้น เพราะในการเดินทางแต่ละครั้งจะต้องจ่ายออก 1 ตำลึงเงินต่อ 1 คน แต่ในกรณีเร่งด่วนตอนนี้ทุกคนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
ตอนนี้ผู้คนที่เดินมาก่อนหน้า ก็ได้เคลื่อนย้ายกำลังคนไปก่อนแล้วจึงเหลือแต่คณะของมู่เฟิง
"ท่านหัวหน้า" ผู้ดูแลสถานีทำความเคารพ
แล้วมู่เฟิงก็พยักหน้าให้ทีหนึ่ง
แล้วก็พาทุกคนเดินมายืนรวมกันอยู่บนเนินวงกลมๆหนึ่ง ที่มีบันไดขึ้นสี่ทิศ ห้าขั้นบันได บนเนินแห่งนี้ ยังวาดลวดลายและอักขระภาษาโบราณอยู่เต็มเนิน เนินนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบวา สามารถที่จะเคลื่อนย้ายคนได้ทีละมากๆ ตอนนี้กำลังส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆอยู่บนเนิน มู่เฟิงหันหน้าไปยังหัวหน้าสถานีแล้วพยักหน้าอีกทีหนึ่ง แล้วก็เกิดแสงสีฟ้าวาบจากด้านล่างขึ้นด้านบนทีหนึ่ง แล้วพอแสงสีฟ้าจางหายไป ทุกคนก็เหมือนกับยังยืนอยู่ทีเดิมคล้ายไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่สถานที่และผู้คนรอบข้างกลับเปลี่ยนไป แล้วมู่เฟิงก็เดินนำทุกคนลงไป ที่แท้ก็มาถึงเมืองไร้เนินแล้ว โดยใช้เวลาแค่สามลมหายใจเท่านั้น
"สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง" มู่เฟิงเอ่ยถาม เยว่เฟยทันที ที่เยว่เฟยวิ่งออกมารับหน้า
เยว่เฟยผู้นี้เป็นบิดาของเยว่จื่อจิน ทั้งยังเป็นผู้นำกองกำลังป้องกันเมือง มีทหารผู้ใต้บังคับบัญชาสามหมื่นคน ถึงแม้จะมีประชากรเพียงแค่ยี่สิบหมื่นกว่าคนในเมืองนี้ แต่ก็เป็นเมืองชายแดน เลยมีกองกำลังรักษามากอีกเมืองหนึ่ง
"เรียนท่านหัวหน้า เกิดโรคระบาดมีผู้คนล้มตายมากมาย ตอนนี้เทพโอสถต่างก็กำลังหาวิธีรักษาอยู่ขอรับ"
รายงานเสร็จพร้อมชำเหลืองดูเยว่จื่อจิน และเมิ่งเฉินทีหนึ่ง แล้วเบี่ยงตัว ให้มู่เฟิงเดินนำเข้าไปยังตัวเมือง
มู่เฟิงก็เดินนำเข้าไปในเมือง เยว่เฟยเหมือนยืนรอเยว่จื่อจิน พอเยว่จื่อจินเดินมาถึงก็เอ่ยปากดุไป
"เจ้ามาทำไม! ที่นี่อันตราย กลับไปซะ"
"ท่านพ่อ!..." เยว่จื่อจินเอ่ยออกมาคำหนึ่งแล้วย่อตัวทำความเคารพ
"ท่านแม่ทัพ จื่อจินมากับข้า ท่านไม่ต้องเป็นห่วง" มู่ปิงหยุนตอบคำถามแทน
เยว่เฟยชำเหลืองมองมู่ปิงหยุนทีหนึ่ง แล้วทำความเคารพนางทีหนึ่งแล้วหันไปกล่าวกับเยว่จื่อจิน
"ดูแลคุณหนูให้ดี ให้อยู่แต่ในกระโจมหรือที่ๆจัดให้เท่านั้น ห้ามเดินเพ่นพ่านเข้าใจไหม"
เยว่จื่อจินพยักหน้าทีหนึ่ง
แล้วทุกคนก็รีบเดินตามมู่เฟิงเข้าเมืองไป
เหมือนว่าเยว่เฟยจะลืมเรียกคำแทนตัวของมู่ปิงหยุนว่าฮูหยินน้อย หรือว่าจงใจ แต่เมิ่งเฉินก็รับรู้ได้ว่า คนผู้นี้ก็ไม่ค่อยชอบหน้าตัวเองเหมือนกัน
และก็เป็นจริงดังนั้นเพราะว่า เยว่เฟยผู้นี้ไม่เพียงไม่ชอบขี้หน้า ยังเป็นคนแรกที่คัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ เพราะว่าบุตรสาวของตัวเองจะต้องแต่งออกไปพร้อมกับมู่ปิงหยุนผู้เป็นนาย ฐานะของเยว่เฟย ก็เหมือนกับเป็นพ่อตาของเมิ่งเฉินอีกคนหนึ่งนั่นเอง การที่ลูกสาวเหมือนเป็นของแถมในงานแต่ง ซ้ำยังแต่งให้กับผู้ชายที่ไม่เอาใหนที่สุดในทวีปลมปราณวารีแห่งนี้ ยิ่งทำให้เยว่เฟยไม่พอใจยิ่งขึ้น
ณ เมืองไร้เนิน เผ่าเมฆาเหิน
เมืองไร้เนินแห่งนี้ ก็ไร้เนินสมชื่อ คือพื้นที่ทั้งหมดเป็นพื้นที่ราบลุ่มราบเรียบเสมอกัน มองไม่เห็นแม้ภูเขาซักลูก บ้านเรือนส่วนใหญ่ก็สร้างคล้ายๆกัน หลังคาบ้านก็สูงเท่าๆกัน แอบคล้ายเมืองโบราณลีเจียงอยู่ไม่ใช่น้อย กะด้วยสายตา เมืองนี้กินพื้นที่กว้างกว่า 500 ตารางกิโลเมตร น่าจะเรียกว่าเป็นประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งได้เลย เมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านชายแดนที่มีความสำคัญทางการค้ากับเผ่าอสูรทางตะวันตกเฉียงใต้
มีประชากรยี่สิบกว่าหมื่นคน ประกอบไปด้วยคนสิบกว่าหมื่นคน นอกนั้นคืออสูรและลูกครึ่งอสูร เรียกได้ว่าประชากรครึ่งต่อครึ่งเป็นอสูร โรคระบาดในครั้งนี้พรากชีวิตผู้เกี่ยวข้องทั้งคนทั้งอสูรไป 3 หมื่นกว่าคนแล้ว ที่เหลือที่ยังนอนป่วยรอความตายอีก 6 หมื่นกว่าคน แทบเรียกได้ว่าเมืองนี้เวลานี้ ทั้งเมืองเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรเวลานี้ มีทั้งคนตาย คนติดโรค และคนที่ใกล้จะตายแล้ว ส่วนคนที่เหลือก็ใกล้สิ้นหวังเต็มที
เมืองที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูกลับปิดประตูเมือง บนท้องถนนนานๆ จึงจะมีคนเดินผ่านมาสักครั้ง ทุกคนที่เดินผ่านล้วนมีท่าทางหวาดหวั่นขวัญผวา ไม่ก็มีสีหน้าระทมทุกข์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความหดหู่ ไร้ซึ่งชีวิตชีวา
ตรงข้ามกับคนที่มีชีวิตที่หมดอาลัยตายยาก บนท้องถนนในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยซากศพผู้คนนอนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
สถานการณ์ดูหนักหนาสาหัสยิ่ง แทบจะเรียกได้ว่าเดินไปตามถนนทุกสองหรือสามก้าวก็จะพบศพที่นอนตายด้วยโรคระบาดหนึ่งศพ สภาพศพก็แทบดูไม่ได้ มีแผลเน่าเปื่อยผุพองเละๆ อยู่ตามลำตัว ใบหน้า แขนขาบางศพยังเต็มไปด้วยหนอนตัวใหญ่ๆซอนไซอยู่เต็มไปหมด และยังมีแมลงวันคอยตอมศพเหล่านั้นส่งเสียงดังหึ่งๆ อยู่ตลอดเวลา
และก็บรรดาญาติผู้ตายทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ บ้างก็นั่งร่ำไห้ บ้างก็นั่งทอดอาลัยอยู่ข้างๆศพ เสียงร่ำไห้เสียใจต่างระงมมาจากทุกทิศทาง เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้ายังเต็มไปด้วยนกกา และอีแร้งคอยบินวนเวียนไปมา
แม้เวลานี้จะย่างเข้าสู่ฤดูหนาว แต่ทว่าอุณหภูมิยังคงค่อนข้างมีความชื้น กลิ่นอายที่ไม่ชวนดม อบอวลไปทั่วท้องฟ้าเมืองไร้เนิน ทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกคลื่นเหียนแทบอยากจะอาเจียน
กลิ่นอายของเศร้าโศกเสียใจแผ่ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า เมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ เวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
เหล่าเทพโอสถ ไม่รู้ว่าโรคเหล่านี้เป็นโรคอะไร เกิดได้ยังไงและรักษายังไง เพราะเป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุก 5 ปี 10 ปี จะเกิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง และก็จะเกิดโรคนี้อยู่เป็นประจำ พอเกิดขึ้นแล้วก็มักจะมีคนล้มตายนับหมื่นนับแสนคน ถึงพวกตนจะทุ่มเทแรงกาย แรงใจแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาโรคระบาดนี้ได้
เมื่อคณะการเดินทาง ได้เดินมาถึงศูนย์บัญชาการแล้วนั้น ก็มีคณะผู้ทำงานวิ่งเข้ามารับขบวน
"สถานการณ์เป็นเช่นไร" มู่เฟิง เอ่ยถามคนผู้หนึ่ง น่าจะเป็นผู้นำชุมชนหรือเจ้าเมือง
"เรียนท่านหัวหน้า โรคระบาดเกิดขึ้นกะทันหันโดยไม่มีลางบอกเหตุแม้แต่น้อย ลุกลามมาหนึ่งเดือนแล้ว พอมีคนป่วยก็มีคนตายและตายเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ไม่สามารถรวมยอดทั้งหมดได้ เวลานี้หน่วยแพทย์ชั้นสูงและเทพโอสถต่างก็อับจนปัญญาไร้หนทางแก้ไขขอรับ" ชายผู้นั้นรีบรายงานสถานการณ์
ความจริงมู่เฟิงได้รับรายงานตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่ไม่คิดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายกว่าที่คิด เมื่อกวาดตามองเหล่าแพทย์และเทพโอสถที่ถูกกล่าวถึง ที่ยืนรับหน้าด้านข้างอยู่ตอนนี้ พลันตวาดลั่น!
"ไม่ได้เรื่อง! เด็กๆ! ลากคอพวกหมอไม่ได้เรื่องเหล่านี้ ออกไปโบยตีร้อยไม้" มู่เฟิงเริ่มโมโห และเริ่มบ้าพลังอีกแล้ว
"ช้าก่อน! พวกท่านตรวจพบว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีอาการตั้งแต่เมื่อใด" เมิ่งเฉินเดินเข้ามาขวาง แล้วเอ่ยถามเทพโอสถ หยุดการกระทำขี้โมโหของพ่อตาไว้ชั่วครู่
เหล่าเทพโอสถหลายๆคนเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ ต่างก็เดินเข้ามาเล่าประวัติอาการผู้ป่วยให้เมิ่งเฉินและคนอื่นๆฟัง ยังไงซะอาจจะมีคนมาแบกหม้อก้นดำแทนตัวเองแล้ว เลยไม่รอช้าก็รีบเจียระไนออกมาหมดเปลือก
"ผู้ป่วยที่เข้ามามีอาการคล้ายๆกันขอรับ มีอาการปวดใบหน้า น้ำมูกไหลข้างเดียว เจ็บหู เจ็บคอ มีตุ่มขึ้นตามแนวเส้นประสาท ผื่นคัดเป็นตุ่มๆ จุดดำๆ เหมือนมีไฟไหม้ บริเวณผิวหนังจะมีขุย มักเป็นบริเวณที่มีผมหรือขน เช่นศรีษะ รักแร้ ร่องจมูก ถ่ายอุจาระเหลวเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 1 เดือนมาก่อนขอรับ"
ว่าแล้วก็เหลือบไปทางมู่ปิงหยุนกับหญิงสาวด้านหลังสองนางแวบหนึ่ง
"ว่าต่อไป!" มู่เฟิง มัวสนใจเรื่องงานเลยลืมนึกไปว่าลูกสาวตัวเองซึ่งเป็นหญิงยืนฟังอยู่ด้วย
"เอ่อ! มีผื่นแผลหรือตุ่มน้ำที่อวัยะเพศหรือทวารหนัก มีหนองหรือน้ำหลั่งจากช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะ มีอาการคันหรือปวดบริเวณทวารหนัก มีอาการแดงและปวดบริเวณอวัยวะเพศ ปวดท้องหรือปวดช่องเชิงกราน ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ มีแผลที่ปากหรืออวัยวะเพศขอรับ"
มู่ปิงหยุนถึงจะเป็นสาวแกร่ง แต่พอได้ฟังก็ถึงกับหน้าถอดสีไปเหมือนกัน เยว่จื่อจินถึงกับเอามือมากอดแขนมู่ปิงหยุนไว้กลืนน้ำลายเฮือก ลู่ฉีที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกนางก็เข้ามาเกาะแขนเยว่จื่อจินโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยเช่นกัน ทั้งสามต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นให้เห็นแล้ว
พวกนางต่างไม่เคยพบโรคระบาดที่แผ่ลุกลามอย่างกว้างขวางและมีคนตายอย่างเอน็จอนาจมากเช่นนี้มาก่อน การได้มาเห็นด้วยตาของตนเองสร้างความหวาดหวั่น ความโศกเศร้าเสียใจ ความเวทนา และความสะเทือนใจให้กับพวกนางยิ่ง
"ใช่! มีไข้ ตัวร้อน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวา ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีซีด และมีอาการตัวเหลือง ด้วยหรือไม่"
เมิ่งเฉินเอ่ยถามเทพโอสถแล้วกวาดตามองดูผู้ป่วยรอบๆทีหนึ่ง
"ใช่! ขอรับ"
"จากที่ดูคงมี คอแข็ง ชัก ตาสู้แสงไม่ได้ด้วยสินะ"
"ใช่! ขอรับ"
"เขยเราใช่รู้จักโรคนี้หรือไม่" มู่เฟิงเริ่มมีความหวังขึ้นมา เพราะอาการป่วยเหล่านี้มักจะวนเวียนมาทุกปี และทำให้คนล้มตายอยู่ทุก 5 ปี 10 ปีจะระบาดใหญ่ครั้งหนึ่ง
เหล่าผู้พิทักษ์และผู้ติดตามทั้งหลายก็เริ่มหันมามองที่เมิ่งเฉิน
"สามีใช่มีทางรักษาหรือไม่" มู่ปิงหยุนเองก็เริ่มเป็นห่วงผู้คนในเผ่าแล้วเช่นกัน
"ข้าขอเวลาคิดซักครู่" แล้วเมิ่งเฉินก็เอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้มือขวาลูบและเกาคางตัวเอง มืออีกข้างก็กอดอกไว้ เป็นลักษณะเฉพาะตัวของเขาที่ทำในขณะที่กำลังใช้ความคิด
ความจริงแล้วตั้งแต่เริ่มได้เห็นสภาพศพ เห็นอาการผู้ป่วยและถามไถ่ประวัติการรักษาผู้ป่วยจากเทพโอสถแล้วก็พอจะเดาๆโรคได้ เพียงแต่อาการรุนแรงกว่าที่เคยพบ 10 เท่า ปัญหาคือโรคนี้ไม่มีทางรักษา มีเพียงทำให้อาการทุเลาลง และก็หยุดการกระแพร่กระจายของโรค หลังจากนั้นก็ป้องกันการเกิดโรค อีกทั้งยังไม่มีวิธีการตรวจวินิจฉัยจากผลเลือด จึงอาจจะต้องคิดในกรณีร้ายที่สุดไว้ก่อน
แต่เดิมที่มาของโรคนี้ในโลกมนุษย์นั้น มีนักอนุรักษ์สัตว์อยู่กลุ่มหนึ่งได้ไปร่วมรักกับลิงที่ตัวเองดูแลอยู่ แล้วก็ติดโรคจากลิงตัวนั้นมาแพร่เชื้อใส่คน แล้วก็แพร่กระจายทางน้ำลาย น้ำเหลือง เลือดและเพศสัมพันธ์ลุกลามไปทั่วโลก ถึงวันนี้ก็ยังไม่มียารักษาที่หายขาด โรคนี้ก็คือโรคเอดส์นั่นเอง
เมิ่งเฉินนึกขึ้นได้ว่าชาติก่อนนั้นเหมยหลินคนรักตนมีอาชีพเป็นหมอ เวลาที่ลาพักมาเที่ยวประเทศไทยหลังจากคบกันเป็นเพื่อน นอกจากพาไปเที่ยวป่า ชมวิวภูเขา ทะเลหมอกแล้ว ก็มักจะให้สุริยาพาไปวัดพระบาทน้ำพุ ไปบริจาคของทำบุญทำทานกัน
ก็เลยพอจะรู้ถึงอาการของโรคนี้มาบ้างนิดหน่อย และอดีตชาติที่เป็นพระธุดงค์หลินฟง ก็มีความรู้เรื่องการแพทย์สมุนไพรอีกนิดหน่อย รวมๆแล้วก็พอจะวินิจฉัยโรคได้นิดๆหน่อยๆ
ในโลกสวรรค์นี้ ก็ยังมีมนุษย์และสัตว์อสูร และสัตว์อสูรเหล่านี้ก็ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง ที่สำคัญคือยังมีความใคร่ การที่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างเหล่าอสูรด้วยกันก็ดี
อสูรแปลงร่างเป็นคนแล้วมีความสัมพันธ์กับคนก็ดี หรือคนแปลงร่างเป็นอสูรเพื่อร่วมรักกับอสูรก็ดี ซ้ำบางคนยังสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ร่วมรักกับสัตว์ก็มี เหล่านี้ทำให้โรคมีการแพร่กระจายได้เร็วขึ้น และทำให้เชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสมีความแข็งแกร่งขึ้น มันจึงกลายเป็นโรคติดต่อที่แพร่ระบาดได้เร็ว ซ้ำยังมีการตายที่รวดเร็วมากกว่าโลกมนุษย์สิบเท่า
ทั้งยังไม่มีการควบคุมใดๆในการจัดการหอนางโลมที่นี่ เรื่องนี้จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ที่ได้ยินว่าโรคนี้มักจะเกิดขึ้นทุกปี แล้วทุกปีก็จะมีคนตาย โดยไม่มีทางรักษา ความจริงอาจจะมีเชื่้อโรคนี้อยู่ในกระแสเลือดอยู่แล้วหลายคน แค่รอวันปะทุอาการออกมาพร้อมกันเท่านั้น
คนที่โลกสวรรค์นี้มีทั้งพลังลมปราณ พลังวิญญาณ มีอายุขัยยืนยาว ในด้านดี แต่ในด้านเสียก็คือร่างกายดันอ่อนแอกว่าชาวโลกมนุษย์มากนัก พอเกิดอาการเจ็บป่วย จากเชื้อโรค หรือไวรัส แทนที่จะอยู่ได้นานเป็นสิบปี กลับอยู่ได้ไม่ถึงเดือน บางคนอ่อนแอซะจนนับวันรอความตายได้เลย คงเพราะเชื้อโรคบนนี้อาจจะแข็งแกร่งกว่า และมีการแพร่กระจายไม่เหมือนกันกับโลกมนุษย์ อาการของโรคจึงมีส่วนคล้ายกัน แต่ผู้ป่วยกับทรุดหนักเร็วมากกว่านัก
ว่าแล้วก็บอกความคิดของตัวเองไป สาธยายยังกับนับทรัพย์สินในบ้านตัวเอง
"โรคนี้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ระบาดได้ ที่มาของโรคนั้นเริ่มจากการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ ระหว่างที่คนร่วมรักกับอสูรก็ดี หรืออสูรที่ร่วมรักกับคนก็ดี หากมีการส่ำส่อนก็จะแพร่กระจายโรคไปทั่ว ในระยะแรกๆจะไม่ออกอาการของโรค พอผ่านไปซักเวลาหนึ่งจะเริ่มมีอาการของโรค เกิดเป็นผื่นแผลหรือตุ่มน้ำที่อวัยะเพศหรือทวารหนัก มีหนองหรือน้ำหลั่งจากช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ มีแผลที่ปากหรืออวัยวะเพศ ทำให้ปัสสาวะขัดๆ มีอาการไข้สูงตัวร้อน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง ชัก ตาสู้แสงไม่ได้ ร่างกายจะเต็มไปด้วยผื่นคัดเป็นตุ่มๆ จุดดำๆ เหมือนมีไฟไหม้และเป็นหนอง ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย หากมีการใช้สิ่งของร่วมกันเช่นแก้วน้ำชาหรือสัมผัสถูกเลือดหรือน้ำเหลืองเสียที่ออกมาตามร่างกาย เหล่านี้ก็อาจทำให้ติดโรคได้เช่นกัน"
พอได้ยินถึงตอนนี้ คนที่อยู่ใกล้กับผู้ป่วยตอนนี้คล้ายกระทำสิ่งเดียวกันพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คือรีบผละออกห่างจากผู้ป่วยทันที
"การรักษาโรคนี้ยังอยู่ในขั้นวิจัยยังไม่สามารถรักษาได้"
"อยู่ในขั้นวิจัย วิจัยคืออะไร" มู่เฟิงก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้วทีนี้ พอได้ยินว่าไม่มีทางรักษา
"อยู่ในขั้นทดลองหาวิธีรักษาขอรับ"
"เจ้ากำลังหาวิธีรักษาโรคนี้อยู่ใช่หรือไม่"
"เอ่อ! จะว่าอย่างนั้นก็ได้ขอรับ" เมิ่งเฉินก็ไม่อยากลงรายละเอียดมากนักเลยขอข้ามๆไป
ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงทั้งผู้ป่วยและผู้ติดตาม ก็ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ รวมทั้งเหล่าเทพโอสถยิ่งกระชับเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ กลัวว่าจะตกข้อมูลทางแพทย์นี้ บางคนถึงกับเอาหมึกและพู่กันมาจด
"ความจริงแล้ว โรคนี้เกิดจากภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของคนเราทำงานบกพร่อง
เชื้อโรคต่างๆที่อยู่ภายนอกจึงฉวยโอกาส เข้ามาแพร่เชื้อต่างๆ ทำให้เกิดอาการต่างๆ"
"พูดง่ายๆก็คือพลังป้องกันที่อยู่ภายในบกพร่องหรือทำงานล้มเหลว ทำให้เชื้อโรคเข้ามาโจมตีได้"
พอพูดถึงตรงนี้ หลายคนพงกหัวงึกๆงักๆ คล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ บางคนยังทำหน้างงๆ บางคนเหลือกตาขึ้นบน เหมือนจะนึกภาพออก
"เราจะแยกผู้ป่วย ออกมาจากผู้ไม่ป่วย ผู้ป่วยหนักที่เริ่มมีอาการ ก็จะต้องรีบรักษาไปตามอาการป่วย ถึงแม้จะไม่หาย แต่ก็จะอยู่ได้นานขึ้น ผู้เสียชีวิตจะต้องมีการเผาทำลายศพทันที เพื่อไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อโรค ที่สำคัญที่สุดคือห้ามมีการสัมผัสผู้ตายโดยตรง และทางที่ดีก็ห้ามใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้ป่วยเช่นถ้วยน้ำหรือถ้วยน้ำชา หรือชามที่ใส่ยาต้มที่ป้อนให้ผู้ป่วยก็ต้องของใครของมัน ห้ามสัมผัสเลือด น้ำเหลือง น้ำลายผู้ป่วยโดยเด็ดขาด"
"ถ้าหากยุ่งยากก็ต้มภาชนะเหล่านั้นฆ่าเชื้อโรคก่อน" เมิ่งเฉินเหมือนนึกขึ้นได้ว่า มันจะวุ่นวายไปหน่อย เลยแนะนำให้ต้มภาชนะก่อนก็ได้
"ในอาหารของผู้ป่วยงดทานของหวานและของมัน งดทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด หรือให้กินแต่พอดีในแต่ละมื้อแค่ชิ้นสองชิ้น และพยายามเพิ่มปริมาณการทานผักให้มากขึ้นสองเท่า"
กลัวทุกคนจะไม่เข้าใจเลยขยายความเหตุผลไปด้วยว่า
"เพราะหากผู้ที่มีอาการน้ำเหลืองเสียไม่ทานผัก จะส่งผลต่อระบบขับถ่าย ทำให้การขับของเสียและพิษทำงานไม่ดี ระบบการรักษาตัวเองก็จะทำงานไม่ดีเช่นกัน"
"หากทานผักเยอะๆ ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี น้ำเหลืองก็ดี ระบบการรักษาตัวเองทำงานได้ดี ผู้ป่วยก็จะมีโอกาสหายจากอาการป่วยที่เข้าแทรกซ้อนได้ดีขึ้น"
"ทำได้ดังนี้ ถึงแม้เราจะยังรักษาชีวิตผู้ป่วยไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ป้องกันการแพร่ระบาดลุกลามได้ เท่ากับว่าเรารักษาชีวิตคนได้เช่นกัน"
"การป้องกันการเกิดโรค สำคัญพอๆกับรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรค"
คำๆนี้พอเอ่ยออกมา มู่เฟิงและเหล่าคณะผู้ติดตามอื่นๆได้ฟัง เกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า เมฆหมอกความขุ่นมัวหลายวันมานี้ได้ถูกเปิดออก
"การป้องกันการเกิดโรค สำคัญพอๆกับรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรค" หลายคนคิดย้ำในคำนี้ "อา... นี่มัน... ใช่เลย!..."
"เรื่องนี้สำคัญสุดคือความสะอาด รองลงมาคือความปลอดภัย การที่เลือดและน้ำเหลืองสามารถนำไปแพร่เชื้อโรคต่อได้ อีกทั้งยังสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่สัตว์และสัตว์สู่คน เพราะฉนั้นศพเหล่านี้จะแพร่กระจายพิษร้ายไปตามพื้นดิน ในน้ำ และพิษของศพก็จะแพร่ทางอากาศได้ หรือที่เรียกว่ากลิ่นของความตาย ทำให้เกิดอันตรายต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ..."
เมื่อเมิ่งเฉินหยุดพูดแล้วก็หันมามองหน้ามู่เฟิง
มู่เฟิงเหมือนรู้ว่า ลูกเขยผู้นี้กล่าวจบแล้ว ให้ตนผู้เป็นหัวหน้าเผ่าสั่งการส่วนที่เหลือ
ว่าแล้ว มู่เฟิงก็เริ่มสั่งงานสั่งการลูกน้องที่อยู่รอบนอกให้รีบไปดำเนินการตามที่เมิ่งเฉินได้สาธยายมา ผู้ที่ควรไปจัดการศพ ก็ไปจัดการศพ ผู้ที่ควรไปรักษาผู้ป่วยก็ไปรักษาผู้ป่วย รักษายังไงคงไม่ต้องบอกกล่าวชัดเจนรอบสอง
"เยว่เฟย เจ้ารีบนำกำลังพลไปรักษาความสงบและคัดแยกผู้ป่วย เยว่หยาง เยว่หง เจ้านำคนไปทำความสะอาด จัดการเผาศพให้เรียบร้อย จัดการกับพวกสัตว์เลี้ยงด้วย"
เยว่หยาง เยว่หง ผู้บุตรของเยว่เฟย ซึ่งเป็นพี่ชายของเยว่จื่อจิน ขุนพลทั้งสามก็น้อมรับคำสั่งด้วยเสียงอันดัง
"ขอรับ!" แล้วก็วิ่งนำกำลังพลจากไป
"เหล่าแพทย์และเทพโอสถไปจัดการตามที่เขยเราบอก"
"ขอรับ!." ทีมแพทย์ก็ขานรับ และรีบวิ่งไปดำเนินการทันทีเช่นกัน
ความคิด ความอ่านและการกระทำต่างๆเหล่านี้ อยู่ในสายตาของมู่ปิงหยุนและเยว่จื่อจินมาโดยตลอด ยังไงก็ตาม การที่เป็นผู้มีความรู้ก็ถือได้ว่าเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้คนไม่รู้ทึ่งในพลังนี้ได้เช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกนางจะเริ่มมองเมิ่งเฉินใหม่บ้างแล้ว ไม่รู้สึกว่าเป็นคนไม่เอาใหนน่ารังเกียจอีกต่อไป ความมีอคติก็เลยลดน้อยลงไปเหมือนกัน ส่วนลู่ฉีนั้นยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเมิ่งเฉินมากขึ้นไปอีก
บ่ายวันนั้น เหตุการณ์ที่เคยวุ่ยวาย ศพคนตายนอนเกลื่อนกราด ก็เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ
ที่ควรทำงานก็ทำงาน ที่ควรพักก็ควรพัก เหล่าผู้นำ ผู้ติดตาม ผู้พิทักษ์ รวมทั้งเหล่าผู้เฒ่า
ก็ได้มานั่งรวมกันอยู่ในกระโจมสั่งการชั่วคราว คอยให้คำแนะนำและสั่งงานผู้ใต้บังคับบัญชาต่างๆ ที่วิ่งเข้าวิ่งออก
เมิ่งเฉินกับลู่ฉีไม่ได้อยู่ในกลุ่ม กลับไปรวมอยู่กับกลุ่มเทพโอสถ ที่กำลังเร่งรักษาผู้ป่วยอยู่
ในกระโจมสั่งการนี้ มู่ปิงหยุนกับเยว่จื่อจินก็ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฟิง เพราะยังไงมู่เฟิงกับเยว่เฟยก็ไม่ให้พวกนางเดินเพ่นพ่านกลัวติดโรคระบาด ที่นั่งอยู่ตรงกลางห้อง ยังนั่งไว้ด้วยเหล่าผู้เฒ่าและผู้ติดตามนั้นๆ อยู่สองฝากข้าง ซึ่งตอนนี้ กำลังถกเถียงกันเรื่องประเด็นจัดระเบียบหอนางโลมอย่างถึงพริกถึงขิง การจะยืนอยู่ต่อก็เป็นการไม่สมควร มู่ปิงหยุนกับเยว่จื่อจินเลยขอตัวไปพักผ่อน
ในระหว่างที่กำลังเดินกลับที่พักอยู่นั้น มู่ปิงหยุนก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
"สา... เอ่อ นายน้อยของเจ้าไปไหนซะแล้วล่ะ" มู่ปิงหยุน เอ่ยถามเยว่จื่อจิน
เยว่จื่อจินมองหน้านายตัวเองแวบหนึ่ง เหมือนจะกำลังบอกว่า "จะรู้ไหม! ก็อยู่ด้วยกัน" แต่ก็เก็บคำตอบนี้ไว้ในใจ แล้วตอบออกไป "บ่าวจะออกไปดูให้เจ้าค่ะ" ระหว่างที่กำลังจะออกตัววิ่งอยู่นั้น
"งั้นก็ไม่ต้องหรอก เราก็ไปพักผ่อนกันเถอะ" มู่ปิงหยุนพยายามสงวนท่าทีเอาไว้
"คิดไม่ถึงว่า เมิ่ง.. เอ้ย นายน้อยจะเป็นคนมีความสามารถขนาดนี้" ระหว่างที่กำลังเดินๆไปอยู่นั้น เยว่จื่อจินก็พูดโปรยออกมาเบาๆ
มู่ปิงหยุนชำเหลืองหางตาไปดูเยว่จื่อจินทีหนึ่ง แล้วทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ ต่างก็เดินไปในทิศที่ๆพักตัวเองตั้งอยู่
"หรือที่เคยได้ยินว่า!เขาออกไปเที่ยวหอนางโลมบ่อยๆ เพราะว่าเขาไปหาวิธีรักษาโรคนี้ ... "
"หรือว่าเราจะมองเขาผิดใจจริงๆ..."
ในใจทั้งสองต่างก็เริ่มคิด ...