คุณผู้ชายใจแตก

คนสวนกล้ามล่ำ

“ดูเหมือนพวกนั้นจะเสียงแตกกันแล้วนะเกลอเอ๋ย..” ซุนโหวหวังกล่าวทักในตอนที่สหายคิ้วบางของตนเองเดินลงจากสนามประลอง


“อ่า.. เดี๋ยวข้าได้ประลองอย่างต่อเนื่อง คำครหาก็จะค่อย ๆ ลดลงเองนั่นแหละ” หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมทั้งมองไปทางอัฒจันทร์ของคนตระกูลปีกมังกร “แล้วพอทุกคนเห็นความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะสุ่มอยู่ที่ตัวของตงเสวี่ยซานมันเอง”

“เอ่อ.. จะว่าไปรอบต่อไปเป็นเจ้าที่ลงประลองนิ.. ถ้าชนะได้ก็จะเข้ามาเจอข้าในรอบต่อไปมิใช่รึ?”


“ใช่แล้วเกลอ.. หากเป็นไปตามหมายเลข ถ้าฉันชนะมี่หวังได้ ก็จักได้ไปเจอกับเอ็ง..” ซุนโหวหวังกล่าวตอบ “ว่าแต่เอ็งพอจะมีวิธีดี ๆ ที่จะทำให้ฉันชนะอย่างสะดวกบ้างหรือไม่?”


“ไม่ต้องมาล้อข้าเล่นเลยโหวหวัง.. ข้าประลองมาเหนื่อย ๆ ไม่อยากที่จะมาฟังคำกวนบาทาของเจ้าหรอกนะ”


“ไม่เกลอ.. เอ็งเข้าใจผิด.. ฉันอยากจะเข้าไปพบกับเอ็งโดยที่คนทั้งสนามเห็นว่าฉันผ่านเข้าไปโดยง่ายจริง ๆ”


ตอนแรกหลิวเจี้ยนก็คิดว่าซุนโหวหวังมันจะพูดหยอกเย้าตนเองเช่นรอบก่อนหน้าที่ถูกตงเสวี่ยซานประกาศบอกคนในรอบแรกของรอบคัดเลือกที่ทำให้ตนชนะได้โดยไม่เสียเหงื่อ

แต่พอได้เห็นท่าทางจริงจังของสหาย หลิวเจี้ยนจึงคิดได้ว่ามันอยากจะชนะด้วยความสะดวกสบายจริง ๆ

“วิธีรึ.. ไม่รู้สิอาจพอมีมั้ง ข้ายังไม่ได้เริ่มคิด..” หลิวเจี้ยนยกมือขึ้นเกลาคาง สายตาเองก็เหล่มองไปที่สหาย “แต่ทำไมเจ้าถึงอยากเข้ารอบโดยง่ายเพื่อไปเจอข้าด้วย?”


“เพื่อกู้เชื่อเสียงให้เอ็งอย่างไรเล่า..” ซุนโหวหวังกล่าวเสียงเข้ม “เอ็งก็เห็น.. คนอื่นยังคลางแคลงใจอยู่เรื่องที่เอ็งผ่านเข้ารอบมาได้ ว่ารอบก่อนหน้านั้นเอ็งผ่านมาได้สบายเกินไป ต่อให้ในรอบนี้เอ็งจะแสดงฝีมือออกมาดีเช่นไร มันก็ยังมีคำติฉินนินทาอยู่ หากฉันชนะในรอบนี้ได้ง่าย ๆ แล้วเข้าไปแข่งขันกับเอ็งในรอบหน้าได้ ฉันเชื่อว่าไม่ว่าฉันหรือเอ็งใครจะแพ้ชนะ ความคิดของคนทั้งสนามจะต้องเปลี่ยนไป..”

“เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครคิดหรอกว่าคนจากสกุลพญาวานรเช่นฉันจะทำตามคนสกุลปีกมังกร”


ฟังความของสหาย หลิวเจี้ยนก็ถึงกับซึ้งใจเป็นอย่างมาก

ซุนโหวหวังมันไม่ได้ขี้เกียจประลองจนต้องหาหนทางง่าย ๆ มาใช้ผ่านเข้ารอบ แต่เพราะมันนั้นเป็นห่วงตนเอง เจ้าคนหน้าขนคนนี้จึงอยากที่จะเข้าไปพบกับตนในสภาพที่พร้อมที่สุด


“ไม่ต้องมองฉันด้วยสายตาหวานเยิ้มขนาดนั้น!” ซุนโหวหวังเมื่อเห็นสายตาแห่งความซึ้งใจของสหาย ขนทั่วตัวของชายผู้ขนดกคนนี้ก็ถึงกับลุกตั้งชันด้วยความขยะแขยง “ต่อให้เอ็งจะหน้าสวยเหมือนสตรี ฉันก็ไม่อยากให้เอ็งมองฉันเยิ้มขนาดนั้น! รีบ ๆ บอกแผนมาถ้าเอ็งมี”


“ขอรับ..ขอรับท่านนายน้อยซุน.. กระผมผู้แซ่หลิวขอเพลาคิดพิจารณาสักครู่นะขอรับ..”

.

.

“การประลองในคู่ที่สอง ซุนโหวหวังแห่งบ้านตระกูลพญาวานรปะทะมี่หวังจากสำนักปฐพีคลั่ง ข้าให้เวลาพวกเจ้าขึ้นมาบนสนามภายในหกสิบชั่วลมหายใจ!!”

หลังจากสนามประลองได้ถูกซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในคู่ของหลิวเจี้ยนและหรงเฉียนจนแล้วเสร็จ ฮูจินจึงได้ประกาศเรียกคนที่ทำการแข่งขันในคู่นี้ขึ้นไปบนสนามประลองในทันที


“แผนของเอ็งนี่ดู...เอ่อ.. สกปรกมาก” ซุนโหวหวังกล่าวกับสหายของมันด้วยใบหน้าเหยเก


“บอกให้คิดแผนแบบฉุกละหุกแบบนี้ คิดให้ได้ก็บุญโขแล้ว อย่าบ่นนักเลย” หลิวเจี้ยนตอบกลับพร้อมแย้มยิ้มน้อย ๆ “ก็เลือกเอาว่าจะทำตามแผนหรือจะสู้ให้ชนะแบบขาวสะอาด มันก็แล้วแต่นายแล้วพ่อหน้าขน ข้าไม่ได้ขึ้นไปประลองกับเจ้าเสียหน่อย”


คิ้วที่ดกฟูราวกับหางไก่ของซุนโหวหวังพลันย่นลง “เจ้าคุณพ่อกับเจ้าคุณปู่ได้ฆ่าฉันตายแน่” ซุนโหวหวังพูดในตอนที่เดินขึ้นสนามประลองไป


“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าคนละหกสิบชั่วลมหายใจในการกล่าวต่อกัน” ฮูจินกล่าวบอกเมื่อเห็นสองผู้เยาว์ที่ตนเองเรียกขานขึ้นมาอยู่บนสนามประลอง


“ข้ามี่หวัง ขอได้โปรดนายน้อยซุนออมมือด้วย..” คนที่ชื่อมี่หวังนั้นเป็นชายที่มีส่วนสูงเท่าหลิวเจี้ยนพร้อมด้วยตัวที่เล็กบางคล้ายกันอีก ผิดกันที่สีผิวของมี่หวังนั้นเป็นผิวสีแทนน้ำผึ้ง แถมตามตัวของมันผู้นี้ก็ได้ติดพวกอาวุธสั้นอย่างมีดปลายแหลมและอาวุธซัดไว้มากมาย


“ซุนโหวหวังแห่งสกุลพญาวานร.. เอ่อ.. วันนี้หากเกิดอะไรขึ้นหรือฉันล่วงเกินพ่อไปจนเกินพอดี ฉันขอโทษพ่อจากใจจริง..” ซุนโหวหวังกล่าวออกมาด้วยเสียงละอายใจยิ่ง ก่อนที่ตัวบุรุษหน้าขนจะดีดนิ้วขวาไปตรงติ่งหูของมัน ก้านที่เสียบอยู่ตรงติ่งหูนั้นจึงได้หลุดออกก่อนขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นกระบองปราบมังกร


“ท่านอาวุโสฮู ข้าพร้อมแล้ว..” มี่หวังกล่าวในตอนที่ตั้งท่าเตรียมพร้อม


ด้านฮูเฉียนได้ยินดังนั้น ตัวของมันจึงได้หันไปมองทางซุนโหวหวัง ซึ่งฝ่ายนั้นก็ได้ส่ายหัวไปมา “ฉันยังไม่พร้อม รอจนครบเวลาท่านค่อยประกาศเริ่มการแข่งขันก็แล้วกัน”

ซุนโหวหวังกล่าวออกมาในขณะที่กระบองในมือขยายยืดหดไปมาอยู่ในมือของชายหน้าขน

ใช่แล้ว กระบองปราบมังกรของซุนโหวหวังนั้นมีความสามารถในการยืดหดขยายขนาดได้ แล้วขอบเขตในการยืดขนาดนั้นก็แล้วแต่ผู้ใช้อย่างซุนโหวหวัง นี่จึงเป็นข้อแตกต่างระหว่างศาสตราระดับจิตวิญญาณและระดับตำนาน ที่ตัวของศาสตราจะมีความสามารถบางอย่างแอบแฝงอยู่


“ได้.. มันเป็นสิทธิ์ของเจ้า” ฮูจินกล่าวก่อนหันไปมองทางมี่หวัง “เจ้าคงได้ยินแล้ว..”


มี่หวังผงกหัวน้อย ๆ ตัวคนร่างบางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตัวของซุนโหวหวังถึงยังไม่พร้อม ทั้ง ๆ ที่มันก็หยิบกระบอกออกมาแล้ว แต่กระนั้นใช่ตัวของมี่หวังสามารถพูดอะไรได้ ตามที่ฮูจินบอก มันเป็นสิทธิ์ของซุนโหวหวัง


และแล้วเวลาก็ผ่านไปจนครบกำหนด ในระหว่างนั้นซุนโหวหวังก็ได้แต่ยืดหดกระบองในมือเล่นอยู่อย่างนั้นในขณะที่ตัวของมี่หวังได้แต่จดจ้องดูอีกฝ่ายกระทำการอันไร้สาระฆ่าเวลาอย่างไม่เข้าใจ


“อย่างไร.. เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง.. หรือว่าเจ้าจะสละสิทธิ์?” ฮูจินกล่าวตอนที่นับเวลาจนครบหกสิบชั่วลมหายใจเข้าออก


“เริ่มได้เลยขอรับท่านเจ้าคุณฮู..” ซุนโหวหวังเปลี่ยนท่าจับกระบองมาถือไว้มั่น


“การประลองในรอบสิบหกคนสุดท้ายคู่ที่สอง ซุนโหวหวังปะทะมี่หวังเริ่มได้!!”


สิ้นเสียงการกล่าวประกาศ ตัวของมี่หวังก็ได้วิ่งตรงเข้าหาซุนโหวหวัง มือสองข้างพลันพลาดจับไปที่ข้างเอวของตนเองแล้วจึงซัดอาวุธที่ติดอยู่ตรงเอวนั้นร่อนใส่ตัวของซุนโหวหวัง

อาวุธแต่ละอันต่างแฝงไปด้วยปราณธาตุวารีที่ควบแน่นจนกลายเป็นปราณเหมันต์จนเย็นเฉียบ คนปาเองพอปาเสร็จก็ได้เปลี่ยนทิศทางในการวิ่ง พยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ด้วยศึกษามาจากรอบก่อน ๆ หน้าแล้วว่าพละกำลังของบุรุษหน้าขนคนนี้นั้นไม่ธรรมดา ไม่อาจเอาตัวเข้าไปแลกด้วยได้


ด้านซุนโหวหวังนั้นสามารถใช้กระบองตีปัดอาวุธซัดเหล่านั้นได้อย่างสบาย ๆ แล้วพอฟาดตีใส่ คนผู้ถือกระบองเองก็ได้วิ่งตรงเข้าหาอีกฝ่าย


มี่หวังนั้นต่างซัดอาวุธที่ประดับอยู่ทั่วเอวออกไปเรื่อย ๆ พอหมดก็ได้ใช้จิตบังคับเรียกอาวุธระดับจิตวิญญาณกลับมาได้อย่างสะดวก นับว่าเป็นวิธีการต่อสู้ที่ผิดแปลกแต่ก็เข้าขั้นยอดฝีมือก็ว่าได้ เพราะฝ่ายของผู้ใช้อาวุธซัดนั้นต้องคิดคำนวณอยู่ตลอดเวลาว่าควรปาไปที่จังหวะไหนหรือจังหวะไหนควรหลบเลี่ยง ทำให้ซุนโหวหวังรับมือชายร่างบางคนนี้ได้ยากเย็นพอสมควร


อาวุธซัดและมีดสั้นที่ฝ่ายตรงข้ามขว้างปาเข้าหาถี่ยิบนั้น ทำให้ซุนโหวหวังไม่อาจประชิดเข้าหาตัวของมี่หวังได้ เมื่อซุนโหวหวังคืบใกล้ได้หนึ่งเมตร อีกฝ่ายกลับล่นถอยไปสามเมตร ความเร็วของฝ่ายตรงข้ามนั้นเรียกได้ว่าเร็วกว่าสหายคิ้วบางของตนเองเสียอีก ดูท่า..ท่าร่ายที่อีกฝ่ายใช้นั้นน่าจะมีความเร็วไม่แพ้ท่าร่ายของคนตระกูลหม่าเลย

'มีดสั้นสี่ อาวุธซัดอีกหก...' ในระหว่างวิ่งคอยหาทางเข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้าม ซุนโหวหวังจึงได้พยายามคิดวิเคราะห์ไปด้วย แม้จะไม่ถนัดหยิบความเฉลียวของตนเองออกมาใช้เสียเท่าไหร่ และในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่สามารถให้สหายคิ้วบางของมันช่วยคิดช่วยพิเคราะห์ได้ ทุกอย่างจึงล้วนแล้วแต่ต้องเพิ่งตนเอง

'แปด' ซุนโหวหวังฟาดกระบองตีใส่มีดสั้นที่ลอยเข้าหา

'เก้า' ตัวคนได้ก้มหลบอาวุธซัดที่พุ่งตรงมาในระดับอก

'สิบ! ' ฝ่าเท้าของคนฟาดเตะใส่ด้านข้างของมีดสั้น มือของคนพลันหน่วงพลังปราณส่งไปยังกระบองเหล็กดำอย่างรีบด่วน

ตามการคำนวณของซุนโหวหวัง ในช่วงที่มี่หวังใช้อาวุธที่เหน็บไว้ข้างเอวจนหมด มันจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ตัวคนต้องใช้จิตบังคับเรียกอาวุธของมันกลับไป นั่นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะโจมตีในเวลานี้

“คงได้เอิกเกริกกันเสียหน่อย! ฤทธิ์กระบองบ้านสกุลซุนกระบวนที่ 4 อัฐนิยาม!!” เปลวเพลิงสีแดงต่างลุกท่วมไปทั่วตัวกระบองปราบมังกร ก่อนที่สีแดงนั้นจะค่อย ๆ จางลงจนกลายเป็นสีขาว


“เปลวนิพพาน!!” ตงเว่ยเทียนผู้ที่เป็นผู้เฒ่ามังกรพลันลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกรของมันด้วยสายตาแตกตื่นตกใจ เปลวนิพพานนั้นแน่นอนว่ามันรู้จักดีว่าเป็นพลังแฝงของคนตระกูลใด “เหตุใดคนตระกูลซุนถึงได้มีเปลวเพลิงชนิดนี้ได้!!!”

ไม่ใช่แค่เพียงตงเว่ยเทียนเท่านั้น คนบนอัฒจันทร์ทุกคนต่างแตกตื่นไปกับเพลิงชนิดนี้ที่ซุนโหวหวังหยิบใช้ออกมา ไม่เว้นแม้แต่ตัวของซุนต้าชิงและซุนต้าหลี่ที่เป็นพ่อกับปู่ของคนที่กำลังใช้เปลวนิพพานอยู่


“ลูกต้าชิง! ไฉนลูกหวังถึงมีเปลวนิพพานได้! นี่ไม่ใช่พลังของร่างสถิตราชันวานรแดงเสียหน่อย!” ซุนต้าหลี่ได้แต่ส่งเสียงตกใจไปทางลูกชายผู้เป็นเจ้าเมืองของมัน สายตาจดจ้องไปที่หลานชายด้วยความพิศวง


“ฉะ..ฉันเองก็ไม่สู้รู้.. คาดว่าน่าจะเป็นเชื้อทางฝั่งเมียของฉัน..” ซุนต้าชิงกล่าวออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก และสิ่งที่พอคิดได้จึงน่าจะเป็นเพราะภริยาของซุนต้าชิงนั้นเป็นชาวเมืองชมพู ที่เป็นเมืองที่มีชายแดนติดกับแคว้นหงสา

ด้วยเปลวนิพพานนั้นส่งต่อผ่านการสืบสันดาน ซุนต้าชิงจึงคาดเดาว่าเมียของมันอาจมีเชื้อของราชวงศ์หนานอยู่ในร่าง แล้วยีนเด่นนั้นเพิ่งมาสำแดงในรุ่นของลูกมัน


“มิใช่แล้ว! เปลวนิพพานที่ขาวบริสุทธิ์เยี่ยงนี้ อย่างไรต้องไม่ใช่เชื้อจาง ๆ แน่ อย่างน้อยต้องเป็นการสืบโดยตรง! ฤาว่าลูกหวังไม่ใช่ลูกของเอ็ง!”


“เคราดกหน้าคล้ายเยี่ยงนี้! ไม่ใช่ลูกของฉันสิแปลกเจ้าคุณพ่อ!”


ไม่ใช่เพียงคนบนอัฒจันทร์เท่านั้นที่แตกตื่น มี่หวังที่กำลังตรึงจิตเรียกอาวุธระดับจิตวิญญาณของตนกลับมาก็พลันสติกระเจิงไปชั่วขณะ ตัวคนร่างบางไม่ได้เตรียมใจมารับมือกับปราณอัคคีสายนี้


กระบองของซุนโหวหวังได้จมมุดลงไปในพื้นสนาม ไอปราณความร้อนที่ยากจะดับแผ่ไปทั่วตัวสนามประลองในทันทีทันใด

ก่อนที่กระบองเหล็กดำที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีขาวจะพุ่งขึ้นเป็นหย่อม ๆ ตามจุดที่มี่หวังวิ่งไปมา


แม้ตัวของมี่หวังจะคาดเดาได้ว่าจุดใดที่กระบองที่ซ่อนอยู่ใต้สนามประลองจะพุ่งขึ้นมาจากการสั่นสะเทือนใต้พื้น แต่ในทุกครั้งที่กระบองปราบมังกรของซุนโหวหวังโผล่ขึ้นมา มันจะทิ้งเปลวนิพพานเอาไว้เป็นหย่อม ๆ

แม้ชายร่างบางจะพยายามใช้ปราณธาตุวารีที่เป็นปราณขั้วตรงข้ามกับปราณธาตุอัคคีช่วยดับแล้วก็ตามที แต่กระนั้นอย่างที่ทุกคนทราบ ว่าเปลวนิพพานคือราชินีแห่งอัคคีทั้งปวง นอกจากปวงอัคคีของพลังสถิตวิหคเพลิงและตัวผู้ที่มีเปลวนิพพานด้วยกันแล้ว ก็มิอาจดับเพลิงไฟสายนี้ได้ นอกจากจะทำให้ตัวผู้ใช้หมดสติไปเสียก่อน

พื้นที่บนสนามประลองที่เป็นพื้นไร้อัคคีสีขาวค่อย ๆ เหลือน้อยลงเรื่อย ๆ มี่หวังพยายามซัดอาวุธของตนเองใส่ซุนโหวหวังแล้ว แต่กระบองนั้นก็จะกลับมาปกป้องเจ้าของ..ของมันในทันทีทันใด

แล้วแม้มี่หวังจะดูเสียเปรียบ แต่บุรุษร่างบางคนนี้ใช่ตระหนก

ตัวคนนั้นคิดเพียงแค่ว่าวิ่งให้ได้มากที่สุด หลอกล่อให้อีกฝ่ายใช้พลังปราณออกมาให้มาก ๆ สุดท้ายแล้วเปลวนิพพานของมันก็จะมอดดับไปเองเมื่อพลังปราณในร่างของผู้ใช้นั้นหมดลง


และแน่นอนซุนโหวหวังนั้นอ่านการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ออก ตัวซุนโหวหวังตอนนี้ไม่ใช่ใช้วิชาของตนเองโจมตีฝ่ายตรงข้ามแบบมั่วซั่ว บุรุษหน้าขนค่อย ๆ ต้อนฝ่ายตรงข้ามไปตามทางของตนเองต่างหาก

จนเมื่อได้จังหวะ ซุนโหวหวังพลันคลายวิชาของตนเอง เปลวนิพพานที่ทั่วสนามประลองพลันมอดดับ ทว่าตอนนี้ซุนโหวหวังสามารถเข้าประชิดเข้าหามี่หวังได้แล้ว

ฝ่ามือซ้ายของบุรุษหน้าขนพลันบีบเข้าไปที่ปากของมี่หวัง มือขวาเองทำงานอย่างเร็วรี่ยัดบางสิ่งบางอย่างเข้าไปในปากของคู่ต่อสู้ ก่อนที่ต่อมามือขวาข้างเดิมจะกดลงไปตามลำคอหลอดอาหารของฝ่ายตรงข้าม บังคับให้อีกฝ่ายกลืนบางสิ่งบางอย่างลงไป

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว