เพื่อนพี่...ผัวน้อง by จิด้า

บทที่ 4 - ปากกับใจไม่ตรงกัน 18+&ตย.18+พ่อเพื่อน...ผัวเรา

บทที่ 6

ตอน แน่ใจนะ?

ทุกอย่างที่คิดไว้เป็นไปตามคาด ยอมลงทุนย่อมได้กำไร อย่างว่าเพียงห้าสิบเล่มที่แจกคนแถวบ้านและนอกเมืองช่วยได้เยอะ เดี๋ยวนี้ใครเดินผ่านหน้าแผงขายโคมจำต้องถามถึงเล่มต่อไปไม่ขาดปากและซื่อฝานก็ตอบไม่ขาดปากเช่นกัน "รอปลายเดือนหน้านะ"

คืนพระจันทร์ส่องแสงตรงหัวพร้อมแสงเทียนเจ็ดแปดเล่มถูกจุดวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย ดินสอถ่านร่างวาดตามแรงมือของหญิงชรา ลายเส้นตวัดวาดเล่มต่อยามตะวันลาลับ ประตูไม้ปิดสนิทไว้ทุกคืน...ซื่อฝานรู้ดีว่าการหายตัวเข้าห้องไปนั้นสร้างความกังวลให้หลิวเหว่ยไม่น้อย เพราะ...ออกจะแปลกพิลึกสำหรับเขา ซึ่งนางชอบออกจากห้องเป็นเวลาเข้าห้องเป็นเวลา ไม่เคยผิดเพี้ยนเลยสักนิดและที่สำคัญซื่อฝานไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ทำอะไรอยู่ในห้องให้เขาฟังสักนิด แต่เขาก็พอคาดการออกว่าหญิงชราต้องการสมาธิมากพอควร...

...อย่างเช่นทุกครั้ง…

หลิวเหว่ยนั่งจ้องประตูไม้พลางถอนหายใจ ก่อนเอื้อมมือคว้าหมอนเหลี่ยมบนตั่งมากอดแน่น

...ทำไมกันนะ...ข้ารู้ว่าท่านคุ้นตา แต่การกระทำทุกอย่างกลับไม่คุ้นเลยสักนิด…ท่านแม่ทัพฝู ท่านเป็นคนเขียนจดหมายบอกให้ข้ามาเมืองเจินชิวแท้ๆแล้วท่านไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน…ทีแรกข้าก็คิดว่าหญิงชราผู้นี้จะเป็นท่านเสียแล้ว...แต่อยู่กับนางมาเดือนกว่ากลับไร้วี่แววที่จะเป็นท่านจริงๆ หญิงชราผู้นี้เป็นเพียงคนที่มีนามเหมือนท่านเท่านั้น...ใช่หรือไม่?…

หลิวเหว่ยสีหน้าถอดสีพลางเอนร่างลงนอนที่ตั่งไม้แข็ง

รุ่งอรุณ น้ำค้างยอดใบหญ้าค่อยๆจางหาย ทว่าลมเย็นกลับพัดผ่านชวนผ่อนคลายเมื่อพบเจอเป็นแสงแดดอุ่น ซื่อฝานนั่งนิ่ง ณ ลานกว้างของตัวบ้านอย่างเงียบสงบสายตาเหม่อลอยเหมือนกำลังขบคิดเรื่องอยู่ในใจ

ทว่าเพียงชั่วครู่เสียงเคาะประตูไม้บานใหญ่หน้าบ้านพลันดังสนั่นสร้างมลพิษทางเสียงอย่างจัง

เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังระงมเหมือนกับเกี่ยงกันไม่มีผิด หญิงชรายันกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ใต้ต้นอู๋ถง ก่อนจะเดินเอียงคอฟังเสียง

"เจ้าก็เปิดสิ!"

"เจ้าน่ะสิเปิด!"

"ถ้าไม่เปิดพวกเราก็ไปหาท่านยายฝูไม่ได้นะ! เปิดเร็ว!"

"งั้นเปิดพร้อมกัน"

ซื่อฝานยืนมองพร้อมกอดอกรอว่าเสียงเจี๊ยวจ๊าวนั้นตกลงกันได้หรือยัง

"ข้าขอทำใจก่อน"

"พวกเราทำใจกันมาสองอาทิตย์แล้วนะ"

หญิงชราถอนหายใจหนึ่งเฮือก ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูบานใหญ่ นางไล่สายตามองเด็กวัยเยาว์ทั้งแปดชีวิตอย่างงุนงง "พวกเจ้ามาทำอะไรหน้าบ้านข้า"

คำถามเจาะประเด็นชวนคิดหนัก ทว่าทั้งแปดกลับกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงว่า

"ท่านยายฝู! สอนพวกเราวาดรูปด้วยขอรับ!"

เสียงร้องขอกระทบริมโสตจนซื่อฝานร้อง… "อ๋อ ไม่สอน" ว่าแล้วนางพลันคว้าบานประตูหมายจะปิดลงกลอนเอนกายพัก คำพูดดับฝันของเด็กวัยเยาว์ทันควัน นางทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล

"ท่านยาย ข้าเข้าครัวเสร็จแล้ว" นั่นไงเหตุผลของนางเดินมานั่นแล้ว เด็กแปดชีวิตยืนอึ้งตะลึงงันไม่คิดไม่ฝันว่า คนที่ตนปาก้อนหินใส่นั้นจะมาใช้ชีวิตอยู่กับหญิงชราดั่งแม่ลูก

หลิวเหว่ยหยุดฝีเท้านิ่งไม่ขยับ ได้แต่มองผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ปากทางเข้าบ้าน

เสียงที่เคยเกี่ยงไปมาพลันเงียบกริบ ซื่อฝานหันมองด้านหลัง ก่อนหันหน้ามองเด็กทั้งแปดนั้นอีกครา “พวกเจ้าอยากเรียนจริงๆรึ?”

ใบหน้าวัยเยาว์พยักตอบระรัว ทว่าสายตายังคงจับจ้องหลิวเหว่ยตาไม่กระพริบโดยที่ในหัวขบคิดว่ากบฏผู้นี้ช่างไม่เหมือนกบฏ แต่กลับเหมือนเซียนเสียมากกว่า

“หลิวเหว่ย มาหาข้า” ซื่อฝานเลิกคิ้วมองเด็กทั้งแปดแน่นิ่งโดยมีคนผู้หนึ่งเดินมาหาตามที่นางสั่ง ชายหนุ่มใต้อาภรณ์ขาวยืนเงียบมิได้เอ่ยกล่าวความใด ทว่ากลับเป็นซื่อฝานที่ใจกว้างกล่าวให้แทน “ถ้าพวกเจ้าอยากเรียนข้าก็จะสอนให้ แต่ควรรู้ไว้ว่าคนผู้นี้...” ฝ่ามือเหี่ยวคว้าแขนหลิวเหว่ยไว้พลางแนะนำตัว “คนผู้นี้คือผู้ที่จะดูแลพวกเจ้ายามเรียน...เรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ละกัน”

ทีแรกก็ไม่ได้คิดที่จะให้เด็กแปดคนนี้มานั่งเรียนหรอก เพราะทีแรกนางสอนวาดให้เพียงหลิวเหว่ยเท่านั้น หนำซ้ำยังต้องช่วยเขาจับพู่กันมือซ้ายอีก เมื่อลองมาคิดอีกทีมันจะดีไม่น้อยถ้าให้ผู้อื่นได้เห็นมุมของหลิวเหว่ยเสียบ้าง และเขาอาจจะมีสหายเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องเหงาอยู่กับยายแก่หงำเหงือกอย่างตนมากจนเกินไป

….เหมือนฉันหาเพื่อนให้ลูกชายยังไงก็ไม่รู้…

“รู้อย่างนี้แล้วยังอยากจะเรียนอยู่อีกหรือไม่” หญิงชรากระตุกยิ้มพลางขบคิดว่า...ถ้าไม่เรียนกันก็ดี นางจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น

“เรียนขอรับท่านอาจารย์!”

เด็กทั้งแปดเอ่ยประสานเสียงกันได้พร้อมเพรียง

แต่ซื่อฝานกลับอึ้งกับคำเรียกเมื่อครู่ไม่หาย เพราะตั้งแต่มีชีวิตมานางไม่เคยโดนเรียกว่า อาจารย์ เลยสักครั้ง เมื่อถูกเรียกแล้วกลับเป็นที่น่าเคารพน่านับถือทันที ซึ่งความรู้สึกนี้ก็แปลกใหม่ดี

“ท่านยายเป็นสตรี พวกเราจะนับถือเป็นท่านอาจารย์จริงๆรึ” เสียงเด็กชายผู้หนึ่งเอ่ยแย้ง

อีกคนหนึ่งว่า “ไม่เป็นอะไรหรอกท่านยายเป็นคนแก่มากอายุ”

“ไม่ยอมฝึกตนมากกว่าถึงกลายเป็นยายแก่...”

หญิงชรายืนมองทำตาปริบๆพลางฟังวาจาพวกนั้นเข้าหูไม่หยุด จนนางต้องเอ่ย “ไม่เรียกข้าว่าท่านอาจารย์ก็ไม่ต้องเรียน”

“เรียนขอรับท่านอาจารย์!”

“งั้นก็เลิกเถียงกันได้แล้ว”

ยามเช้าจรดยามซื่อ (09.00 น. จนถึง 10.59 น.) หญิงชราเอ่ยสอนวิธีทำดินสอจากก้อนถ่านดำ ก่อนเริ่มลงมือให้ลากเส้นตรง แนวดิ่ง แนวนอน วงกลมตรงกระดาษอย่างละแผ่นพร้อมกะน้ำหนักมือหนักเบา จึงจะเริ่มวาดโครงหน้าคนจากการวาดรูปวงกลมและสี่เหลี่ยมเท่านั้น พร้อมแบ่งเส้นให้เห็นว่าส่วนใดคือตำแหน่งหูตาจมูกปาก แน่นอนว่าซื่อฝานจำต้องวาดเป็นตัวอย่างและเดินดูอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการเปิดมิติใหม่ในการเป็นนักวาดอย่างแท้จริงสำหรับซื่อฝานก็ว่าได้

จวบจนหญิงชราเรียกตัวหลิวเหว่ยไปพูดคุยปัญหาในหัวที่ติดมานานตั้งแต่ตนมาอยู่ในร่างนี้

รั้วไม้สูงบดบังสายตาจากคนภายนอกได้ดีจริง แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถอาจเก็บเสียง

“หลิวเหว่ย...เจ้ามีปราณมารใช่หรือไม่” ซื่อฝานถามให้แน่ใจ

“มี” หลิวเหว่ยเอ่ยตอบ

“งั้นข้าเข้าเรื่องเลยละกันนะ” ซื่อฝานสูดลมหายใจเข้าออกเชื่องช้าก่อนถามว่า “เคยมีสักปีหรือไม่ที่เกิดอะไรแปลกๆอย่างเช่น...ตายแล้วเกิดใหม่ในร่างของใครก็ไม่รู้อะไรประมาณนั้นน่ะ” คำถามขวานผ่าซากชวนงุนงงทำเอาหลิวเหว่ยขมวดคิ้วคิดหนัก

“เหตุการณ์เช่นนั้นไม่น่าจะเคยเกิดขึ้นนะ นอกเสียจากเป็นดวงชะตากำหนด” หลิวเหว่ยพยายามช่วยตอบ ทว่ากลับตะหงิดใจกับสิ่งที่ถูกถาม ตายแล้วเกิดใหม่อยู่ในร่างผู้อื่นย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะถ้าทำได้จริงคนผู้นั้นต้องเป็นเทพเซียนบนสวรรค์มากพลังปราณ แต่จะมีเหตุผลทำไปเพื่ออะไรเล่า…แล้วที่สำคัญยายแก่ผู้นี้จะถามไปใย

แววตาสงสัยเพ่งมองหญิงชราตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด จวบจนนางเอ่ยถาม

“สงสัยใช่หรือไม่ ว่าข้าถามไปทำไม” ซื่อฝานยักไหล่พร้อมทำสีหน้ารู้ทันก่อนถอนหายใจเล่นละครทำเหมือนกับว่าตนนั้นชอบพูดเรื่อยเปื่อย “ก็นั่นสินะ…ถ้าข้าตายไป ข้าเกรงว่าเจ้าคงเหงาแย่ ถ้ามีวิชาอย่างนั้นแล้วดึงข้ากลับมาได้ก็คงดี…”

จริงๆปล่อยฉันหลับให้สบายไม่ต้องปลุกขึ้นมาอีกยิ่งดี…จะได้ไม่ต้องพาตัวเองมาลำบากแก้ปัญหาสร้างชีวิตใหม่…เฮ้อ…

“ท่านยังต้องอยู่อีกนาน” เขาตอบพลางยิ้มหวาน

สภาพเป็นอย่างนี้อย่าให้ฉันอยู่นานเลยพ่อคุณ…ทรมานกันเปล่าๆ

เสียงในหัวเอ่ยกับตัวเองเป็นว่าเล่น จนซื่อฝานยิ้มตอบพร้อมเอ่ยคำถามใหม่

“แล้วเจ้าคิดว่าพลังปราณวิชาใดใช้ยากสุด” แน่นอนว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่นางคิดจะถามเล่นๆบทในเรื่องก็ไม่ได้มีบอกไว้ชัดเจน เพราะเวลามีพลังหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ผิดแปลกไปจากผู้คนทั่วไป คนเหล่านั้นมักจะมีที่ฝึกฝนพลังไม่ก็โรงเรียนอย่างในภาพยนตร์หรือหนังสือเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์

…ถ้าเกิดว่าในเรื่องตำนานเจี้ยนเซียวเมิ่งมีบ้าง ฉันจะลองไปสมัครดูบ้างน่าจะสนุก ซื่อฝานก้มมองสภาพร่างกายอันเหี่ยวแห้งไร้กำลังจำต้องถอนใจปลงตก สุขภาพร่างกายที่เป็นอยู่ตอนนี้โคตรจะดับฝันกันเลย…ยายนะยายทำไมไม่ฝึกตน เผลอๆถ้ายายฝึกตนนะ ยายคงมีกำลังเหลือเฟือและเป็นสาวสวยแน่ๆ…รับรองมีหนุ่มๆมาติดยายแน่ที่ไม่ใช่เป็นคุณตาข้างบ้าน

หลิวเหว่ยยืนนึกระหว่างซื่อฝานพึมพำบ่นกับตนเองในใจ “…ที่ใช้ยากที่สุดน่าจะเป็น…การเปลี่ยนรูปร่างปิดผนึก” ชายหนุ่มเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล “เรื่องนี้ท่านแม่ทัพของข้าเป็นคนบอกมาเอง แต่คนที่จะทำอย่างนั้นได้ต้องเป็นผู้ที่เก่งกาจเหนือใต้หล้าถึงจะทำได้”

ซื่อฝานพยักหน้านึกคิดถึงบทประพันธ์ที่ตนเคยอ่าน ในเรื่องตำนานเจี้ยนเซียวเมิ่งที่ไม่ได้มีการใช้วิชาอะไรแบบนั้น เนื้อเรื่องหลักของพระเอกก็ไม่ได้มีให้เห็นกับการเปลี่ยนรูปร่าง ตัวละครเด่นๆในเรื่องก็ไม่ได้ใช้…แล้วใครเป็นคนใช้วิชาโหดขนาดนั้นกันล่ะ…

“แล้วไม่มีผู้ใดเคยใช้รึ?” ซื่อฝานได้ฟังก็ยิ่งเพลิดเพลินชวนตื่นเต้นขึ้นไปทุกที

หลิงเหว่ยพยักหน้า “มี สังเกตได้จากท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปเป็นสีน้ำเงินเข้มดั่งน้ำลึก” เขาค่อยๆลดเสียงลงต่ำเอ่ยกระซิบ “ครั้งนั้นเมื่อสงครามพันกว่าปีก่อน ช่างดุเดือดยิ่งกว่าอะไร วันนั้นเป็นวันที่ข้าเสียแขนไปเพื่อถ่วงเวลาให้ท่านแม่ทัพฝูหนี แต่ไม่นานท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีฉับพลันพลทหารยศน้อยใหญ่ต่างอึ้งค้างแทบลืมหายใจ…ข้ารู้เพียงเท่านั้นขอรับ”

เหมือนเล่าให้อยากรู้แล้วจากไปเฉย…แต่ก็เป็นอย่างที่หลิวเหว่ยเล่ามา มีฉากหนึ่งที่ในเรื่องท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเข้มแต่ในเรื่องไม่ได้เขียนไว้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ทีนี้ฉันได้รู้บางส่วนแล้ว…

“ถ้าใช้วิชานั้นไปแล้ว…จะไม่มีทางแก้กลับคืนร่างเดิมรึ?”

“ผู้ใช้ย่อมรู้วิธีแก้ไขเพียงผู้เดียวขอรับ” หลิวเหว่ยตอบตามที่เคยได้ฟังมาจากแม่ทัพของตน

“แล้วเจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าท่านแม่ทัพของเจ้าอาจจะเป็นคนใช้วิชานั้น” ซื่อฝานเอ่ยตามจริง การที่หายตัวไปอย่างลึกลับและยังไร้ร่องรอยซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าสงสัยทีเดียว

ชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวลใจเล็กน้อย แต่นั่นก็ทำให้เขาไม่ได้คิดไปตามที่ซื่อฝานถามเลยสักนิด “ที่จริงข้าก็อยากจะคิดเช่นนั้นแต่…นางเคยเล่าให้ข้าฟังว่า การใช้วิชาเช่นนั้นย่อมต้องยอมสูญเสียพลังปราณไปเป็นครึ่ง แล้วถ้ายิ่งบาดเจ็บย่อมทำไม่ได้ ถ้าทำก็มีแต่ตายกับตาย และวันนั้นท่านแม่ทัพก็บาดเจ็บ เพราะถูกกระบี่ของท่านแม่ทัพหานฟันเข้าที่ระหว่างอก ในหัวข้ายังจำได้ไม่ผิดเพี้ยนว่าเลือดที่ไหลอาบตัวนางมากมายเพียงใด”

“โอ้…น่าจิตตก…น่าสงสาร” ซื่อฝานนึกภาพตามอย่างละเอียดถึงขั้นน้ำตาคลอเบ้า

หลิวเหว่ยยิ้มให้แก่หญิงชราอย่างนับถือ “คงมีแค่ท่านกับข้าที่คิดสงสารนาง”

ซื่อฝานพยักหน้าเข้าใจพร้อมตบบ่าอีกฝ่ายเพื่อปลอบใจ

เสียงพูดกล่าวแลกเปลี่ยนถามตอบอย่างเปิดอก แต่สิ่งที่เอ่ยออกมานั้นไม่ได้มีแค่หญิงชรากับชายหนุ่มที่ยืนฟัง แต่อีกฟากของกำแพงไม้สูงกลับมีสองบุรุษหยุดนิ่งฟังอย่างเงียบกริบ หนึ่งคนนั่งบนหลังอาชาศึกสีดำ อีกหนึ่งยืนฟังใบหูแนบแผ่นไม้

ไม่ว่าเสียงพูดคุยกันจะแผ่วเบาเพียงใด ในเมื่อเป็นแม่ทัพใหญ่ย่อมมีปราณมารเหลือล้นไม่จำเป็นต้องเอาใบหน้าหล่อเหลาไปแนบแผ่นไม้สกปรกเลยด้วยซ้ำ ใช้ปราณมารแค่น้อยนิดก็ได้ยินแล้ว

หานอิงหลิวยอมรับว่าเรื่องที่ทั้งคู่กล่าวมานั้นทำให้ตนคิ้วกระตุกเป็นว่าเล่น เอ่ยถามตอบแต่ละอย่างทำเอาท่านแม่ทัพกำบังเหียนไว้แน่น โดยเฉพาะความที่ว่า กระบี่ของตนทำเอานางผู้นั้นเลือดอาบเจียนตาย ครั้งนั้นเขาจำได้ว่าตนยั้งมือให้ลงน้ำหนักเบาที่สุด แต่คงไม่มีผู้ใดคิดถึงจิตใจของท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ว่าหนักใจเพียงใดที่ต้องทำแบบนั้น

เขาเป็นแม่ทัพใหญ่มานานปีเก่าแก่ยิ่งกว่าราชามารบางองค์เสียอีก ยิ่งทุกครั้งที่เลือดผู้อื่นอาบกระบี่ไม่มีสักหนที่ตนจะจิตตก แต่คืนนั้นที่เป็นเลือดของนาง เขากลับจดจำมันได้เต็มตา…ไม่เคยลืม…

“ท่านแม่ทัพ พวกเขาเงียบไปแล้วขอรับ” องครักษ์ข้างกายรายงานเสร็จสรรพ

หานอิงหลิวพยักหน้ารับรู้ ก่อนลงจากหลังม้าศึกถือหนังสือในมือแน่น

ดูเหมือนว่าข้าว่าจะต้องอยู่ที่นี่นานหน่อยเสียแล้ว

ใบหน้าหล่อเหล่าก้าวเดินมาหยุดตรงประตูบานใหญ่ด้านหน้าบ้านที่ปิดสนิท สายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างเลิ่กลั่กตกใจไม่แพ้กัน ใครจะคิดจะฝันว่าท่านแม่ทัพจะมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านยายแก่ที่เพิ่งมีปากเสียงกัน

หลังมือเคาะประตูอย่างมีมารยาทยิ่ง

“คราวนี้จะเป็นเด็กกลุ่มไหนมาอีกล่ะ” ซื่อฝานส่ายหน้าถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยพลางมองหลิวเหว่ยให้ตามตนมา

สองฝ่ามือเหี่ยวดึงบานประตูเข้าหาตัวเปิดอ้ากว้าง ภาพตรงหน้าที่เห็นทำเอาซื่อฝานตกใจถอยห่างแทบไม่ทัน หนังสือที่ตนเป็นคนวาดพุ่งใส่หน้าทันทีโดยมีคนจับไว้ ทว่านางกลับไม่เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น เท้าที่ก้าวถอยพลันสะดุดหงายหลังเสียหลักกระทันหัน

ตายแน่! หลังฉันหักแน่!

ท่อนแขนแกร่งพลันโอบเอวหญิงชราไว้ทันเวลา

กร็อบ!

เชี่ย! กระดูกลั่น

“โอ้ยยยยยย”

หานอิงหลิวเบิกตากว้างตกใจ ทว่าคนที่ตกใจยิ่งกว่าคงเป็นซื่อฝานที่แหกปากร้องโอดครวญ นางถูกท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นี้โอบไว้แน่นดั่งของล้ำค่า

เชี่ย!เชี่ย! ท่ารับอย่างพระนางในซีรี่ย์จีนกำลังภายใน…

“ปล่อยข้า” ซื่อฝานบอกแทบจะทันที “แต่อย่าทิ้งลงพื้นนะ!”

ท่านแม่ทัพใหญ่จับประคองร่างชราให้ยืนมั่นคง พร้อมไล่มองหญิงแก่ผู้นี้ว่าเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่นอกจากกระดูกที่หลัง

“ท่านแม่ทัพมาที่นี่ทำไม...” นางถามเข้าเรื่อง

เขาหยิบยื่นหนังสือเล่มแรกให้นาง “เล่มสองเสร็จหรือยัง” หานอิงหลิวถามตรงประเด็นคร้านพูดให้มากความ

“ท่านแม่ทัพมาผิดที่แล้ว” น้ำเสียงพลันเอ่ยกล่าวเป็นธรรมชาติยิ่ง

หานอิงหลิวเลิกคิ้วมองหน้าหญิงชราพร้อมยกยิ้มมุมปาก “หรอ…แต่ข้าถามคนแถวนี้ต่างก็บอกว่าท่านเป็นคนวาด”

ซื่อฝานนึกกัดฟันแน่นก่อนปล่อยรอยยิ้มหวานเอ่ยว่า “ชาวบ้านก็พูดไปเรื่อย ท่านอย่าเชื่อให้มากนักเลย”

“ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าวาดลากเส้นตามที่ท่านบอกเสร็จแล้วขอรับ!” เด็กชายผู้หนึ่งวิ่งมาหานางทันใด ก่อนจะชะงักฝีเท้าทันควัน เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ผู้แกร่งกล้าในดวงใจ เด็กน้อยไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเห็นเขาใกล้ตาเช่นนี้…

“โอ้ว…ท่านวาดรูปเป็น…” หานอิงหลิวเลิกคิ้วมองนาง ทำให้ซื่อฝานพูดไม่ออกเหมือนถูกผ้าอุดปากไม่มีผิด “เจ้าหนู ท่านยายวาดรูปเป็นด้วยรึ” เขาถามลองเชิงเพื่อย้ำเตือนความสามารถของนาง

ความใสซื่อย่อมหลุดปาก ทว่าหลิวเหว่ยกลับเอ่ยตัดหน้าเด็กน้อยทันใด “ท่านยายวาดเป็นนิดหน่อยเท่านั้น”

“ข้าไม่ได้ถามเจ้า” วาจาลั่นออกปากแต่สายตาอย่างคงยิ้มมองเด็กชายอย่างเป็นมิตรยิ่ง

“หนังสือที่ท่านถืออยู่ท่านอาจารย์เป็นคนวาด” เพียงประโยคเดียวทำให้ซื่อฝานแทบอยากจะมุดดินหนี

“แล้วนางสอนวาดรูปด้วยรึ” ชายหนุ่มถามต่อ

เด็กชายยิ้มกว้าง “ขอรับ” พร้อมเอารูปที่ตนเองวาดให้ท่านแม่ทัพดู “นี้เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์กำลังสอนขอรับ”

ทุกอย่างที่เขาเห็นในกระดาษนั้นเป็นเพียงโครงร่างของตัวคนเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้น…ยายแก่สอนข้าด้วยได้หรือไม่” หานอิงหลิวหันมองหญิงชราอย่างเป็นมิตร ทว่าวาจาต่อไปกลับกดดันยิ่ง “ถือว่าแลกเปลี่ยนกันดีหรือไม่” สายตาคมเหลือบมองหลิวเหว่ยทันที

ฝ่ามือเหี่ยวลูบหน้าตนเองพร้อมแลมองบุรุษทั้งสอง “จะให้ข้าสอนอย่างไร”

“เอาแบบนี้แหละ” ท่านแม่ทัพยื่นกระดาษที่เด็กชายวาดให้นางดู

“จะเอาอย่างนี้เลยใช่หรือไม่?”

“ใช่”

“ให้ข้าสอนอย่างนี้เลย?”

“ใช่”

“แน่ใจนะ?” นางถามย้ำพร้อมเลิกคิ้ว

“แน่ใจ”

“ได้ ข้าถือว่าท่านแม่ทัพเข้าใจตรงกับข้าแล้วนะ” ในเมื่อท่านแม่ทัพใหญ่ต้องการขนาดนี้มีหรือที่ซื่อฝานจะกล้าขัด

“แน่นอน” หานอิงหลิวตอบได้มั่นใจยิ่ง

หึ…แค่ไหนแค่นั้นนะท่านแม่ทัพ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว