กษิราเพิ่งกลับออกไปจากห้องพักชั้นลอยตอนใกล้เวลาเลิกงาน ปล่อยให้นวลเนื้อหอมนอนหลับสนิทบนเตียงนุ่มเพียงลำพัง ถือเป็นความโชคดีชนิดฉิวเฉียด...พอเขานั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานปุ๊บ สาวิตรีก็เดินฉีกยิ้มหวานโผล่ตามเข้ามาภายในห้องทำงานเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย…
แม้กระทั่งเลขาหน้าห้อง ก็ไม่ได้โทรเข้ามารายงานเข้าก่อน...
เสี้ยวหนึ่งกษิราเกิดความไม่พอใจ แต่พอเห็นหน้าหวานๆ ยิ้มที่สดใสของสาวเจ้า เขาก็หายโมโหทันที มีแต่จะส่งยิ้มกลับไปหา...
“สวัสดีค่ะพี่กษิ...วันนี้สาจะมารับพี่กษิกลับบ้าน ตามคำสั่งของคุณป้ารุจีค่ะ”
เจ้าหล่อนพูดในขณะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน หย่อนร่างกลมกลึงลงนั่งโดยไม่รอคำเชื้อเชิญ กษิรายกข้อมือดูเวลา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มน่าฟัง
“จะมาหาพี่ก็ไม่โทรบอกกันก่อนพี่จะได้เบี้ยวงาน” เขาพูดเอาใจหญิงสาว
“ถ้าพี่กษิเกเรงานเพราะสาเป็นสาเหตุ แบบนั้นคงไม่ดีแน่ๆเลยค่ะ”
“แต่ว่าตอนนี้เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมงนี่ครับ กว่างานพี่จะเลิก น้องสารอได้นะครับ”
“สบายมากเลยค่ะ” เธอตอบ แล้วก็ผุดรอยยิ้มซุกซน
กระโปรงนักศึกษาที่เธอสวมมาวันนี้เป็นทรงพลิ้วมีจีบรอบตัว ความสั้นของมันคือพอดีหัวเข่า ยามลุกหรือนั่งเลยพอทำให้เห็นเรียวขาอ่อน วอมๆ แวมๆ ให้ชวนจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน ความจริงสาวิตรีจงใจใส่มันมายั่วชายหนุ่มตรงหน้าเธอนั่นเอง ดูเหมือนกษิราจะยั่วขึ้นง่ายเสียด้วย ดูอย่างในบ่าเหล้าวันนั้นสิ ถ้าเธอไม่ต้องแสร้งสร้างภาพ ป่านนี้คงได้เล่นสนุกกันเสียแต่วันนั้น...
เธอแค่แกล้งเมา เพราะสาวเรียบร้อยต้องดื่มเหล้าไม่เก่ง แต่ก็เกือบถูกจับได้ ดีที่เธอเหลือบเห็นสายตาแปลกใจของกษิราเสียก่อน พอเธอดื่มแก้วต่อมาเลยต้องสร้างภาพสักเล็กน้อย...
แล้วความคิดอยากยั่วผู้ชายตรงหน้า จึงทำให้สาวิตรีผลุดไอเดียดีๆขึ้นมา...
“พี่กษิทำงานเหนื่อยไหมคะวันนี้”
“ก็นิดหน่อยครับน้องสา...”
เขาเงยหน้าขึ้นตอบด้วยแววตาทรงเสน่ห์ อันที่จริงอาการเหนื่อยล้ามันไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำงานหนักสักทีเดียว จะว่ากันตามจริงต้องบอกว่า เขาเหนื่อยด้วยเรื่องของใต้สะดือเสียมากกว่ากระมัง...
“งั้นสาจะชวยนวดคลายเหนื่อยให้ก็แล้วกันนะคะ สาเคยนวดให้กับคุณพ่อบ่อยๆค่ะ”
สาวิตรีลุกขึ้นจากเก้าอี้ วางกระเป๋าสะพายไว้บนพื้นเบาะ สีหน้าฉายแววขี้เล่น...
กษิราไม่ได้เอ่ยห้าม เขายังคงนั่งอ่านเอกสารฉบับข้างหน้าต่อไป สายตาไม่มีวอกแวก มีแต่หัวใจเท่านั้น กำลังเหลวเป็นน้ำไหล คนนั้นก็ดี คนนี้ก็ใช่ ส่วนอีกคนเขาก็ขาดเจ้าหล่อนไม่ได้เสียด้วย...
สาวิตรีเดินอ้อมโต๊ะทำงานมายืนด้านหลังเก้าอี้ตัวใหญ่ เธอใส่ส้นสูงเลยทำให้สูงกว่าพนักหลังขึ้นมาเกินครึ่งอก พร้อมกับยกฝ่ามือนุ่มนิ่มวางไว้บนหัวไหลแข็งทั้งสองข้าง นวดคลึงเบาๆ...
กลิ่นน้ำหอมมีราคาอวลอยู่โดยรอบตัวของคนทั้งคู่ กษิรานั่งนิ่งเฉย ปล่อยให้สาวเจ้าสัมผัสร่างกายเขาตามอำเภอใจ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน สาวิตรีที่ดูนิสัยเรียบร้อย สดใส เนื้อแท้ข้างในตัวจริงของเจ้าหล่อนจะเป็นเช่นภาพที่สร้างเอาไว้หรือไม่...
สาวิตรีลงน้ำหนักมือขึ้นเรื่อยๆ ลากสัมผัสไปตามแนวราดไหล่ กษิราเองก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายอาการตึงๆตรงแถวต้นคอ ผลมาจากการนั่งทำงานนานๆ แล้วก็ช่วงนี้เขาหักโหมกับเรื่องอย่างว่ากับนวลเนื้อหอมอีกด้วย...
เรื่องอย่างว่ากับหญิงสาวเพียงคนเดียว จากที่เคยคิดว่าเป็นของถูกใจ กินเท่าไรก็ไม่มีวันเบื่อ พอนานวันเข้า ของถูกใจที่เขาคิดว่าอร่อย พอได้กินนานๆ กินอยู่ทุกความรู้สึกมันก็ค่อยๆเปลี่ยน จากที่คิดว่าอร่อย มันก็กลายเป็นจืดชืด กินไม่อร่อยปากเหมือนเดิม สู้ของชิ้นใหม่ ความอร่อยแบบใหม่ก็ไม่ได้...
“สบายตัวขึ้นเยอะเลยใช่ไหมคะ...”
สาวิตรีโน้มร่างลงมาหา ทำให้จมูกโด่งเล็กเฉียดถูกผิวแก้มสากไปนิดเดียว ทั้งคู่รับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดซึ่งกันและกัน ดวงตาดำโตจึงเผลอสบเข้าหากันอย่างสื่อความหมาย ผิวแก้มเนียนร้อนผ่าว แดงก่ำรามไปถึงใบหูเล็ก แล้วเจ้าหล่อนก็หลบตาเขา เคอะเขินราวกับสาวน้อยแรกแย้ม
การแสดงออกเช่นนั้นกษิราเริ่มมั่นใจแล้วว่า...เนื้อแท้ของสาวิตรี เป็นหญิงสาวเรียบร้อย เธอเหมาะและคู่ควรจะเดินเคียงข้างเขาในอนาคตอย่างไม่มีข้อสงสัย
“ครับ...ไม่รู้มาก่อนเลย น้องสาจะนวดเก่งขนาดนี้“
กษิราพูดอย่างคนใจลอย เขาเอียงหน้าเพียงนิดเดียวกลีบปากร้อนของเขาก็แตะต้องเข้าหากลีบปากนุ่มของสาวเจ้า สาวิตรีเกร็งฝ่ามือขยำลงบนบ่าแข็งแรง ความร้อนในตัวกำลังถูกกวนด้วยมือที่มองไม่เห็น จึงปล่อยให้กษิราเบียดริมฝีปากนุ่มเข้าหาอย่างผู้ชำนาญ และพอสาวิตรีเผยอปากขึ้นเล็กน้อย กษิราก็เข้าใจได้ว่าเจ้าหล่อนคงส่งสัญญาณ อนุญาตให้เขาสอดปลายลิ้นเล็กเข้ามาหาได้ กษิราก็แทบยั้งสติเอาไว้ลำบาก เขาจูบหญิงสาวอย่างดูดดื่ม ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือไม้ทั้งสองข้างชักเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข และก่อนที่อะไรจะเตลิดไปมากกว่านั้น สาวิตรีที่รั้งสติเอาไว้ได้...จำว่าเธอต้องแสร้งทำตัวไร้เดียงสากับเรื่องอย่างว่า จึงต้องข่มใจแล้วส่งเสียงร้องห้ามปราม
“อืม...พอก่อนค่ะ เดี๋ยวพี่พิมเข้ามาเห็น สาอายเขานะคะ” สาวิตรีดันหัวไหล่ออกห่าง แกล้งทำเป็นเขินอายกับการถูกเขาจูบ
“ไม่เห็นต้องอายเลยนี่ครับ ใครๆก็รู้เราสองคนเป็นอะไรกัน”
“แน่ะ...พี่กษิขี้ตู่ เราสองคนยังไม่ได้ตกลงเป็นอะไรกันสักหน่อย”
“อ้าว!พี่ก็นึกว่าเราสองคนกำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกันเสียอีก” กษิราพูดเย้าแหย่ หลิ่วตาเจ้าชู้ให้เจ้าหล่อน และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเขาดึงร่างบางขึ้นมานั่งเกยไว้บนตัก โอบร่างน้อยของสาวเจ้าไว้อย่างแนบแน่น กดปลายจมูกโด่งเข้าหาแก้มหอม
“อุ้ย!อะไรกันคะพี่กษิ...อย่าทำรุ่มร่ามนักสิค่ะ สาเสียหายจะแย่แล้วนี่”
สาวิตรีทำทีเป็นตกอกตกใจ ทั้งที่เธอสมใจปรารถนามากกว่า บางทีเธอเองก็รู้สึกเหนื่อยใจอยู่เหมือนกันที่ต้องแสดงออกว่าเป็นคนเรียบร้อย
“พี่กลัวน้องสาจะเมื่อยขา มานั่งนวดบนตักพี่ดีกว่า สบายกว่ากันตั้งเยอะ”
“เป็นข้อเสนอที่ฟังดูแล้วอันตรายกับสาอย่างไรบอกไม่ถูก”
กษิราหัวเราะร่วน แล้วเป็นฝ่ายรวบมือนุ่มขึ้นมาไว้บนบ่าของตัวเอง...
“นวดต่อเถอะครับ พี่กำลังสบายตัวอยู่เลย”
กษิราเคลิบเคลิ้ม ผ่อนคลาย เอกสารก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจมานานแล้ว ถูกกันออกห่างไปเก็บไว้ในกองอีกด้าน เพราะสาวิตรีเดาจุดพิเศษของพวกผู้ชายออก เลยแกล้งลากฝ่ามือเข้าไปใกล้จุดตรงนั้น คนที่กำลังหลับตาพริ้มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ลำแขนทั้งสองข้างยังกอดร่างหอมค้างเอาไว้อยู่ และโดยไม่ทันตั้งตัวตอนมือนุ่มเคลื่อนไหวอยู่แถวบ่า แล้วขยับไปถึงลำคอแกร่ง มันถูกตรงจุดอารมณ์เขาอย่างจัง พลอยทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเกือบหลุดเสียงคราง พอถูกกดหนักตรงจุดกระสัน อารมณ์ปรารถนากลับมาแล่นพลุกพล่านเดือดร้อนให้ตรงเป้ากางเกงเขาตุง
กษิราเงยหน้าส่งสายตาขี้เล่นไปให้คนตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ มือยังคงทำการนวด แต่ละห่างออกจากจุดดังกล่าวเล็กน้อย...
“บ่าพี่กษิแข็งจัง คงจะเหมื่อยน่าดู...”
“แล้วน้องสาชอบแข็งๆหรือเปล่าล่ะครับ”
“ฮึ!...พี่กษิหมายถึงอะไรคะ...” เธอทำตาโต เอียงหน้าถามอย่างสาวเสียงไร้เดียวสา ทั้งที่สาวิตรีช่ำชองกับเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าใคร
“ก็...หมายถึงหัวไหล่นั่นแหละครับ พี่จะหมายถึงอะไรได้”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน จนเมื่อถึงเวลาเลิกงาน กษิราจึงพาสาวิตรีไปหาอาหารร้านหรูทาน โดยไม่สนใจหญิงสาวที่เขาพามาสนองอารมณ์ นวลเนื้อหอมตื่นขึ้นมาได้สักพัก เธอกำลังนั่งรอคำสั่งจากเจ้านายหนุ่ม จะให้เธอกลับบ้านได้เมื่อไร...
นวลเนื้อหอมไม่กล้าโทรหาเขา ติดจะกลัวและเกรงใจนั่นเอง...
จนเวลาล่วงผ่านมาจะห้าทุ้ม นวลเนื้อหอมที่ทั้งหิวทั้งกลุ้มใจ เพราะกษิรายังไม่ยอมติดต่อกลับมาหาเธอเลย จึงตัดสินใจว่าจะนั่งรถประจำทางกลับบ้านเสียเอง...
คนถูกปล่อยให้ชะเง้อคอคอยเก้อ ถอนหายใจหนัก หัวใจมันรู้สึกอ่อนล้า ขณะก้าวขาออกมาจากห้องพักหรู หันหลังไปปิดประตูอย่างคนใจลอย...
ด้านนอก เป็นทางเดินทอดยาว ไฟหลายดวงถูกปิด เพราะเลยเวลาใช้งาน นวลเนื้อหอมถึงกับยืนตัวเกร็ง หวั่นผวากับบรรยากาศเงียบงัน ตัวอาคารที่กว้างใหญ่ไพรศาลถ้าเป็นเวลากลางวัน มันจะดูน่าเกรงขาม แสดงให้เห็นถึงบารมีเจ้าของ ทว่าพอก้าวเข้าสู่ยามค่ำคืนจากความน่าเกรงขามให้ความรู้สึกน่าขนลุกเสียมากกว่า
หญิงสาวจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินตรงมายังลิฟต์...
ในทันทีที่ประตูลิฟต์ค่อยๆเลื่อนเปิด ม่านตาดำของนวลเนื้อหอมกลับขยายเปิดกว้าง ใจคอเธอตกไปอยู่ตรงตาตุ่มโดยทันที...
เขาเป็นใครกัน ทำไมถึงกล้ามาใช้ลิฟต์ตัวนี้ได้...
------------------------------------------
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว