บทที่ 19 คู่หมั้นวัยเด็ก?
พอลู่จิ่วอันได้ยินว่าจางกุ้ยอิงถูกจับก็รู้สึกสุขใจเป็นที่สุด
แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอ หากว่าลู่เจี้ยนกั๋วไม่รู้เห็นเรื่องสับเปลี่ยนตัวเด็ก แล้วเหตุใดเขาถึงปฏิบัติต่อเธอแตกต่างไปจากพี่สาวอีก 3 คนโดยสิ้นเชิง
ส่วนเหตุผลที่จางกุ้ยอิงยอมรับความผิดทั้งหมดไว้เพียงคนเดียว ก็อาจเป็นความตั้งใจของจอมเจ้าเล่ห์อย่างลู่เจี้ยนกั๋วก็เป็นได้!
แต่ถึงกระนั้น… แววเย็นชาก็ปรากฏในดวงตาของลู่จิ่วอันขณะครุ่นคิดอย่างสงสัย หากว่าชาตินี้ไร้เธอและเซี่ยอวิ้นหนิงที่เป็นผู้บริสุทธิ์ งานแต่งของลู่จิ่วหยางจะยังราบรื่นอยู่อีกหรือไม่?
เซี่ยอวิ้นหนิงเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบคำถามของตนก็เผลอคิดว่าเธอเสียใจที่จางกุ้ยอิงถูกจับ จึงเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน “จิ่วอัน อย่าเสียใจไปเลยนะ พวกเขาต้องสลับตัวเด็กเพราะเห็นว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของคุณมีฐานะแน่ ๆ ตำรวจตามสืบอีกไม่นานก็คงรู้แล้วว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของคุณคือใคร ”
“เซี่ยอวิ้นหนิง คุณว่าถ้าพ่อแม่แท้ ๆ รู้ว่าฉันเป็นลูกสาวตัวจริง พวกเขาจะดีกับฉันหรือเปล่า?” ลู่จิ่วอันยังคงจดจำใบหน้างดงามราวกับดาราภาพยนตร์ของเมิ่งเจียฉีได้ขึ้นใจ ผูู้หญิงคนนั้นใจคอโหดเหี้ยมทำร้ายครอบครัวของเธอได้ลงคอ “ถ้าหาก… ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมรับฉันล่ะ?”
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก” เซี่ยอวิ้นหนิงพูดอย่างมั่นใจ “บนโลกนี้ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกตัวเองหรอกนะ”
“ถึงฉันจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขา แต่พวกเราก็พลัดพรากจากกันมาตั้ง 20 ปี” ลู่จิ่วอันแค่นหัวเราะกับตัวเอง จากนั้นก็พูดเสียงแผ่วเบา “พวกเขาไม่มีทางเลือกฉันหรอก”
“จิ่วอัน”
ชายหนุ่มกุมมือภรรยาตนพร้อมกับพูดปลอบใจหญิงสาวผู้น่าสงสารในแบบของตัวเอง
“อย่าเพิ่งคาดเดาสิ่งที่มันยังไม่เกิดเลยนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
ลู่จิ่วอันมองลึกลงไปในแววตาของเซี่ยอวิ้นหนิงพร้อมกับพูดติดตลก “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะไม่ทิ้งฉันงั้นเหรอ?”
“แน่นอน”
ลู่จิ่วอันอยากบอกเหลือเกินว่าเขาเลือกโครงการหลงอิ่นแทนที่จะเป็นชีวิตของเธอโดยไม่ลังเลแม้สักนิดเดียว
แต่ถึงกระนั้น… เธอก็เข้าใจที่เขาตัดสินใจแบบนั้น
หากว่าเธออยู่ในจุดเดียวกับเซี่ยอวิ้นหนิงก็คงจะเลือกแบบเดียวกัน
เพราะพวกเธอล้วนรักแผ่นดินเกิดอย่างสุดหัวใจ
“เซี่ยอวิ้นหนิง คุณปากหวานแบบนี้กับผู้หญิงมากี่คนแล้วเหรอ?”
ลู่จิ่วอันยื่นชามเกี๊ยวน้ำใส่มือเซี่ยอวิ้นหนิง
ชายหนุ่มส่ายหัวแสดงความบริสุทธิ์ทันควัน “ผมไม่เคยพูดกับคนอื่นนอกจากคุณนะ”
ลู่จิ่วอันมองเขาด้วยความแคลงใจพลางถามอย่างสงสัย “คุณไม่มีรักแรกในวัยเด็กอะไรแบบนั้นเหรอ?”
“ตอนเด็ก ๆ คุณปู่เคยหมั้นหมายผมไว้กับเด็กคนหนึ่ง” เซี่ยอวิ้นหนิงหวังจะใช้ชีวิตคู่กับลู่จิ่วอันด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจจึงไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง เขาบอกเธออย่างตรงไปตรงมา “แต่หลังจากนั้น เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ไปรักกับน้องชายของผม ต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้น ผมเลยต้องแต่งงานกับตระกูลลู่”
ที่จริงแล้วลู่จิ่วอันก็ไม่รู้อะไรมากนักเรื่องการหมั้นหมายระหว่างตระกูลลู่กับเซี่ยอวิ้นหนิง เธอจึงถามเพื่อคลายความสงสัย “ทำไมคุณถึงตกลงแต่งงานล่ะ?”
“ผมเคยเกือบเกิดอุบัติเหตุตอนที่ไปเยี่ยมอาจารย์ที่หมู่บ้านตระกูลลู่ คุณปู่ตระกูลลู่เป็นคนช่วยผมไว้ งานแต่งครั้งนี้ก็เลยเกิดขึ้น” เซี่ยอวิ้นหนิงนึกถึงชายชราที่ช่วยตัวเองไว้ในตอนนั้นและพูดอย่างเศร้าสร้อย “น่าเสียดายที่คุณปู่ลู่ไม่ทันอยู่เห็นงานแต่งของเราด้วยตาของท่าน”
จนถึงบัดนี้ลู่จิ่วอันก็ยังไม่รู้ว่าเธอกับเซี่ยอวิ้นหนิงเคยมีวาสนาต่อกันตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน และด้วยวาสนานี้เองที่ทำให้พวกเขาทั้งสองได้กลายเป็นสามีภรรยาของกันและกัน
เซี่ยอวิ้นหนิงวางชามลงบนโต๊ะและรับตะเกียบที่ลู่จิ่วอันยื่นให้
“เซี่ยอวิ้นหนิง ลองชิมเกี๊ยวน้ำฝีมือฉันสิ”
ความจริงที่ลู่จิ่วอันอยากบอกคือเธอไม่สนว่าอดีตของเซี่ยอวิ้นหนิงจะเป็นอย่างไร ในสายตาเธอมีเพียงปัจจุบันของเขา
แต่ปากดันบอกให้เซี่ยอวิ้นหนิงชิมเกี๊ยวน้ำไปเสียอย่างนั้น
“อันที่จริงต้องใส่น้ำมันหมูลงไปด้วย แต่ฉันไปช้ามันหมูก็เลยหมดก่อน ไว้คราวหน้าฉันซื้อมันหมูมาเคี่ยวเป็นน้ำมันหมูแล้วคงจะสะดวกขึ้นเยอะ”
เมื่อเซี่ยอวิ้นหนิงกัดเข้าไปคำแรกก็สัมผัสได้ว่าเกี๊ยวน้ำนี้มีไส้ที่แตกต่างจากไส้ทั่วไป
“จิ่วอัน คุณยัดไส้วอลนัตด้วยเหรอ?”
“วอลนัตป่าที่เก็บได้จากในป่าน่ะ” ลู่จิ่วอันคิดไม่ถึงว่าเซี่ยอวิ้นหนิงจะลิ้มรสได้ว่ามีวอลนัตผสมอยู่ “เมื่อวานตอนเย็นฉันเจอลูกวอลนัตร่วงอยู่ที่พื้นตอนที่เข้าไปในป่า ก็เลยเก็บกลับมา…”
“ต่อไปนี้คุณห้ามเข้าป่าไปคนเดียวอีกนะ มันอันตราย” เมื่อพูดจบ เซี่ยอวิ้นหนิงก็รู้สึกว่าคำพูดของตนฟังดูห้วนเกินไป “วันหยุดพวกเราค่อยเข้าไปด้วยกัน”
“ตกลง!”
ลู่จิ่วอันตกปากรับคำอย่างมีความสุข ศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาลูกใหญ่ หากเดินลึกเข้าไปกว่านี้ก็อาจเจอเห็ดหูหนู ต้นหอมและกุยช่ายป่า เธอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ผักสวนครัวยังต้องใช้เวลากว่าจะกินได้ ซื้อกินบ่อยครั้งก็สิ้นเปลือง สู้ใช้เวลาว่างออกไปหาของป่ายังดีเสียกว่า
“บ่ายวันนี้จางฉือก็อยากมากินข้าวที่บ้าน แต่ผมปฏิเสธไป”
เซี่ยอวิ้นหนิงใช่ว่าจะใจแคบกับข้าวแค่ชามเดียว เพียงแต่เห็นว่าเตามีควันรั่วไปทั่ว ลำพังลู่จิ่วอันทำอาหารสำหรับสองคนก็ตาแดงเพราะควันจะแย่ ไหนเลยจะเพิ่มบุคคลที่สามให้ลำบากมากขึ้นไปอีก
อีกอย่าง จางฉือก็ไม่ได้บอกพวกเขาเอาไว้ล่วงหน้า ด้วยนิสัยของลู่จิ่วอันจะต้องยกอาหารส่วนของตัวเองให้จางฉือเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาทนไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นคุณถามจางฉือให้หน่อยสิว่าวันหยุดจะเข้าป่าไปด้วยกันหรือเปล่า? พวกเราจะได้ไปล่ากระต่ายป่ากัน!”
หรือต่อให้ล่ากระต่ายไม่ได้ เธอก็ยังจับปลามาทำปลาทอดกรอบได้
“ได้สิ ตอนบ่ายฉันจะถามเขาให้ ถ้าเขาเอาด้วย วันหยุดพวกเราก็เข้าป่ากัน”
“พวกคุณหยุดงานวันไหนเหรอ?”
“วันอาทิตย์”
บ้านหลังใหม่ไม่มีปฏิทิน ลู่จิ่วอันจึงจำไม่ได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร
“อ๊ะ จริงสิ ฉันต้องเข้าป่าบ่ายวันพรุ่งนี้”
เซี่ยวอวิ้นหนิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เธอจะเข้าไปทำอะไร?”
“ก็มีธุระน่ะสิ!” ลู่จิ่วอันทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ “ฉันใช้ปลาทอดกรอบหนึ่งชามแลกกับไม้นวดแป้งแล้วก็เขียง”
“เข้าไปคนเดียวมันไม่ปลอดภัย เอาอย่างนี้ดีไหม คุณลองถามสะใภ้อ้วนว่าหล่อนว่างหรือเปล่า จะได้เข้าไปด้วยกัน…”
ลู่จิ่วอันได้ยินดังนั้นก็ฟังดูเข้าท่า
เธอกับภรรยาของผู้อำนวยการศูนย์เป็นศัตรูกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าเป็นภรรยาของรองผู้อำนวยการแล้วล่ะก็พอจะดึงมาเป็นพวกได้!
“เดี๋ยวฉันจะไปถามสะใภ้อ้วนแล้วกัน” ลู่จิ่วอันบอกเซี่ยอวิ้นหนิงให้เร่งมือ “คุณรีบกินเข้าล่ะ กินเสร็จแล้วจะได้ไปช่วยกันย้ายของไปไว้เตียงหลังใหม่ บ่ายนี้ลุงเฉินจะมาซ่อมเตียงให้เรา…”
ซ่อมเตียง?
ทันใดนั้นใบหูของเซี่ยอวิ้นหนิงก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง สายตาที่จ้องมองลู่จิ่วอันก็พลันร้อนแรงและลึกซึ้งกว่าเก่า
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว