เซียนสาวทะลุมิติมาหาเลี้ยงชีพด้วยการไลฟ์สดดูดวง -บทที่ 37 เราเป็นพี่น้องกัน ทำไมถึงต้องทำร้ายกันด้วย!

โดย  Enjoybook

เซียนสาวทะลุมิติมาหาเลี้ยงชีพด้วยการไลฟ์สดดูดวง

บทที่ 37 เราเป็นพี่น้องกัน ทำไมถึงต้องทำร้ายกันด้วย!

บทที่ 37 เราเป็นพี่น้องกัน ทำไมถึงต้องทำร้ายกันด้วย!


เสียงโห่ร้องและกินดื่มกันมากมายในห้องจัดเลี้ยง โดยมีเวินสือเหนียนครองตำแหน่งตัวเด่นของงานอย่างมั่นคง


แต่เนื่องจากสุขภาพของคุณชายสามเวิน จึงไม่มีใครกล้าดื่มไวน์กับเขา พวกเขาจึงเสนอน้ำชาแทนน้ำเมาทั้งหลาย


ทุกคนสนทนากันไม่ดังนัก แต่พวกเขาก็ดูจะมีช่วงเวลาที่ดี


เวินโจวนั่งประจำที่ จู่ ๆ ก็เริ่มง่วงงุนในบรรยากาศรื่นเริงเช่นนี้ สติของเขาเริ่มเลือนรางขึ้นเรื่อย ๆ จนอดไม่ได้ที่จะนอนฟุบลงกับโต๊ะและหลับไป


ตอนนั้นเอง มีคนเข้ามาทักทายเวินโจวพร้อมแก้วไวน์ ทว่าทันทีที่มือของเขาแตะบ่าชายหนุ่ม ร่างกายของเวินโจวก็ล้มลงกับพื้น


“อ๊า คุณชายเวิน!!!” ชายคนนั้นตกใจมากจนทรุดตัวลงกับพื้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว


แขนขาของเวินโจวแข็งทื่อ เขายังคงนอนคว่ำหน้าอยู่แม้ล้มลงกับพื้นแล้ว


ทว่าเขากลับมีรอยยิ้มอันเงียบสงบปรากฏบนใบหน้าราวกับแค่นอนหลับสนิทไป


ภายใต้สถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ ผู้คนโดยรอบก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว


คุณพ่อเวินรีบเข้ามาพยุงร่างชายหนุ่มขึ้น


มือของเขารู้สึกเย็นยะเยือก หัวใจพลันดิ่งวูบ ก่อนจะตะโกนบอกคนอื่น ๆ “ไปเรียกหมอมา!”


คุณพ่อเวินทั้งเขย่าและตะโกนเรียกเวินโจว


ลมหายใจของเวินโจวสม่ำเสมอ แต่กลับปลุกไม่ตื่น ราวกับว่าเขาถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง


พลันก็ได้ยินเสียงรถเข็นเลื่อนมาตามพื้น


“หลีกหน่อย” เสียงของผู้ชายคนนั้นเย็นชา ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ พ่อลูกตระกูลเวินรีบเคลื่อนตัว เปิดทางให้ทันที


คุณพ่อเวินผู้สิ้นหวังเงยหน้าขึ้น มองตัวเอกของงานเลี้ยงในวันนี้กำลังนั่งรถเข็นมาอยู่ข้างหน้าเขา


เวินสือเหนียนถอดลูกประคำออกจากข้อมือ


ลูกประคำเส้นนี้ได้รับการบูชาในวัดมาเป็นเวลาหลายร้อยปี และมีกลิ่นหอมของไม้จันทน์


หลังจากอาจารย์มอบให้เวินสือเหนียน เขาก็ไม่เคยให้มันห่างกาย


ยามสัมผัสร่างของเวินโจวลูกประคำก็อุ่นขึ้น


หัวใจของทุกคนก็เต้นแรง


เวินโจวปรือตาอย่างง่วงงุน แล้วก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งมองเขาอยู่


เวินโจว “...”


“ผมเป็นอะไรไปเหรอ?” เวินโจวสับสน เขาเพิ่งหลับไป อีกทั้งยังฝันดีมาก เขาจำไม่ได้ว่าฝันถึงอะไร แต่รู้แค่ว่าเป้นฝันที่สวยงาม เขามีความสุขเสียจนอดไม่ได้ที่จะหลงระเริงไปกับมัน และไม่อยากจากมาเลย ทันใดเขาก็ถูกบางอย่างกระแทกเข้าใส่ ทำให้สะดุ้งตื่นจากความฝัน


คุณพ่อเวินคืนลูกประคำให้เวินสือเหนียนด้วยความเคารพ เมื่อหันกลับมาเห็นความโง่เขลาของลูกชาย เขาก็ตบลูกด้วยความโกรธและพูดว่า “เมื่อกี้แกเป็นอะไร? หลับลึกไม่ยอมตื่นเลย รู้ไหมว่าฉันตะโกนปลุกกี่รอบ จนฉันกลัวเกือบตายว่าจะสูญเสียแกไป ถ้าคุณชายสามเวินไม่ยื่นมือเข้าช่วย แกคงไม่ฟื้นแล้ว!”


สถานการณ์แปลกๆ ที่ลูกชายของฉันกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้คงถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงแน่ ๆ


โชดีที่คุณชายสามเวินยื่นมือเข้าช่วย


คุณพ่อเวินจับหน้าอก หากเกิดเหตุการณ์นี้อีกครั้ง เกรงว่าหัวใจเขาคงจะทนรับไม่ไหวแล้ว


เวินโจวสับสน สักพักเขาจึงรู้ว่านอนอยู่บนพื้น และก็จำเรื่องอะไรไม่ได้เลย


คุณพ่อเวินดึงเวินโจวขึ้น พากันมาขอบคุณเวินสือเหนียน และอดไม่ได้ที่จะถามอย่างระมัดระวัง “คุณชายสาม คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้?”


เวินสือเหนียนนับลูกประคำด้วยมือข้างหนึ่ง พลางก้มมองลูกประคำที่มีตำหนิและกล่าวน้ำเสียงเรียบ “มีคนจัดฉากฆาตกรรม นายเกือบตายแล้ว”


คำพูดนี้เหมือนสุภาษิตที่ว่า ป่วยนานจนเป็นหมอเสียเอง*[1]


เมื่อได้พบกับปรมาจารย์ฮวงจุ้ยหลายคน เวินสือเหนียนจึงรู้ดีว่าจุดดำบนลูกปัดพุทธหมายถึงอะไร


“!” พ่อเวินกลอกตาจนแทบจะเป็นลม


เขากุมอกตัวเองอีกครั้ง


ตอนนี้เขาต้องการยารักษาหัวใจ!


“หา?” มีคนสองคนบอกเวินโจวว่าเขากำลังจะตายภายในวันเดียวกัน ขณะนี้จิตใจของเขาพลันว่างเปล่าไป


เฝ่ยไป๋ลู่บอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสามวัน แต่เขาก็ยังปลอบตัวเองได้ว่าเธอโกหก เธอเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกเอาเงิน


แต่คุณชายสามเวินย่อมไม่โกหกเขา


เช่นนั้นแล้วเขาอาจกำลังจะตายจริง ๆ


และเฝ่ยไป๋ลู่ก็มีความสามารถจริง ๆ


เมื่อนึกถึงท่าทีของเขาก่อนหน้านี้ที่มีต่อหญิงสาว หนังศีรษะของเวินโจวพลันชาวาบ


เขานี่มันรนหาที่ตายชัด ๆ!


เขาส่งตัวเองสู่เส้นทางแห่งความตาย!


กระทั่งคุณพ่อเวินเองก็นึกถึงเฝ่ยไป๋ลู่เช่นกัน เขาให้กำลังใจตัวเองและพยุงเวินโจวขึ้นมา “รีบไปหยุดพวกที่ส่งไปไล่เฝ่ยไป๋ลู่ก่อน อย่าทำให้เฝ่ยไป๋ลู่ขุ่นเคือง เราไปขอร้องเธอกันเถอะ บางทีเธออาจมีวิธีแก้ไขปัญหานี้”


…ไล่คนออกไป? นี่มันอะไรกัน


เขาถึงกับส่งคำเชิญพิเศษเพื่อเชิญมา ทว่าคู่พ่อลูกตระกูลเวินคู่นี้กลับ…


ดวงตาของเวินสือเหนียนหรี่ลง ดวงตาเย็นชาและเฉียบคมของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกกดดัน จนไม่กล้ามองตอบ


จู่ ๆ พ่อลูกตระกูลเวินก็เหงื่อซึมเต็มหลัง


พวกเขาเป็นฝ่ายทำผิดจริง ๆ คิดไปว่าเฝ่ยไป๋ลู่คงมาโดยที่ไม่ได้รับเชิญ ทั้งยังโมโหที่โดนแช่ง จนถึงกับให้คนไปไล่เธอออกจากงาน


แต่ตอนนี้รู้ความจริงแล้ว ชีวิตของเวินโจวตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ คู่พ่อลูกตระกูลเวินจึงรีบไปหาเฝ่ยไป๋ลู่


“คุณเฝ่ยรอก่อนครับ” แม้เฝ่ยไป๋ลู่จะยังเด็กอย่างคาดไม่ถึง แต่พ่อเวินก็ไม่สามารถเพิกเฉยและไม่ให้ความเคารพแก่อีกฝ่ายในเวลานี้ได้


เฝ่ยไป๋ลู่กำลังจะออกไปหลังจากกินดื่มเสร็จแล้ว พอถูกรั้งไว้ เธอก็เหลือบมองเวินโจวที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเหมือนรู้อยู่แล้ว “คุณเชื่อหรือยัง?”


เวินโจวพลันหน้าแดง ก้มศีรษะลงขอโทษ ก่อนจะมองเฝ่ยไป๋ลู่ด้วยสายตาอ้อนวอน “คุณเฝ่ย คุณบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ใครทำร้ายผม”


เฝ่ยไป๋ลู่ถาม “ฉันไม่ได้พูดไปแล้วเหรอคะ?”


หัวใจของเวินโจวพลันดิ่งวูบ


คุณพ่อเวินสับสน หมายความว่ายังไง? ทั้งสองคนกำลังเล่นทายปริศนาอะไรกันอยู่?


“คำพูดของคุณเฝ่ยในตอนนั้นชี้ไปที่ลูกพี่ลูกน้องของผมครับ” เวินโจวดูขมขื่นและหยิบเครื่องรางสงบสุขออกจากกระเป๋าเสื้อสูท “และนี่คือสิ่งที่ญาติผู้พี่ของผมมอบให้เพื่อปกป้องผม…”


เขากับญาติผู้พี่อย่างเวินหมินมีความสัมพันธ์ที่ดีมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อเฝ่ยไป๋ลู่ เพราะเขาไม่เชื่อว่าเวินหมินจะทำร้ายเขา!


แต่ถ้าเฝ่ยไป่ลู่พูดถูก คนที่ทำร้ายเขาก็คือลูกพี่ลูกน้องของเขา...


เวินโจวตัวสั่น


“เครื่องรางสงบสุขงั้นเหรอ ฉันขอชื่นชมที่คุณกล้าสวมสิ่งอัปมงคลนี่ไว้บนร่างนะ” เฝ่ยไป๋ลู่คว้าสิ่งนั้นมาจากมือของเวินโจวอย่างง่ายดาย เธอไล้ปลายนิ้วไปยังใจกลางแผ่นยันต์ ทันใดกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ลอยออกมา


กลิ่นเหม็นเน่าเสียจนคุณพ่อเวินกับเวินโจวอดไม่ได้ที่จะปิดจมูก


เครื่องรางสงบสุขจะมีกลิ่นแบบนี้ได้ยังไง?


เมื่อคิดถึงตอนสวมสิ่งอัปมงคลเช่นนี้ไว้บนร่าง เวินโจวก็อยากจะสำรอกออกมา


คุณพ่อเวินมีลูกชายเพียงคนเดียวและไม่สามารถทนดูเขาตายได้ ชายวัยกลางคนจึงขอร้องเฝ่ยไป๋ลู่ว่า “ได้โปรดท่านอาจารย์เฝ่ย โปรดช่วยลูกชายของฉันด้วย! ตราบใดที่ตระกูลเวินของเราสามารถทำตามเงื่อนไขของคุณได้ เราจะไม่ปฏิเสธเลย”


“ก็ได้ค่ะ” เฝ่ยไป๋ลู่ขยับปลายนิ้ว แผ่นยันต์ก็พลันติดไฟทั้งที่ไม่มีเชื้อเพลิง กลิ่นคาวคลุ้งค่อย ๆ หายไป และยันต์ก็เหลือเพียงกองขี้เถ้าเท่านั้น


คุณพ่อเวินยิ่งมั่นใจในวิธีการของเฝ่ยไป๋ลู่มากขึ้น ใบหน้าของเขาซีดเผือด และเขาก็ขอให้ใครสักคนไปเรียกเวินหมินมาทันที


เวินหมินเดินเข้ามา ตามมาด้วยชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเวินหย่ง ผู้เป็นพ่อของเวินหมิน “พี่ ทำไมคุณรีบเรียกอาหมินมาที่นี่ …เขาไปทำอะไรไว้หรือเปล่า?”


ในฐานะหัวหน้าตระกูลเวินในเมืองเจียง คุณพ่อเวินมองพวกเขาสองคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทำไมนายไม่ถามเวินหมินด้วยตัวเองล่ะ?”


เวินหย่งดูงุนงง แลดูไม่รู้อะไร


เวินหมินยังคงมีท่าทีปกติ เมื่อเห็นเฝ่ยไป๋ลู่ปรากฏตัว เขาก็แสดงความสับสน ก่อนจะเข้าใจทันที “คุณลุง เธอเป็นคนบอกคุณแบบนั้นใช่ไหมถึงเข้าใจผมผิด?”


เขาหันมองเวินโจว “อาโจว นายคงไม่เชื่อสิ่งที่เฝ่ยไป๋ลู่พูดใช่ไหม เธอเป็นคนโกหกถึงได้พูดไร้สาระ นายจะเชื่อสิ่งที่เธอพูดได้ยังไง?”


เฝ่ยไป๋ลู่จิบชาอย่างใจเย็น “ฉันเป็นคนโกหกไหม คุณนั่นแหละที่รู้ดีที่สุด”


เวินโจวจ้องเวินหมินเขม็ง “พี่นั่นแหละที่โกหกผมมาตลอด พี่คงรู้ดีว่าเครื่องรางสงบสุขที่พี่ให้ผมมาคืออะไร หยุดเสแสร้งได้แล้วพี่!”


ในน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความเจ็บปวด


เวินหมินเป็นทั้งญาติและพี่ชายของเขา ทำไมถึงต้องการทำร้ายเขา?


พี่อยากให้เขาตายจริง ๆ เหรอ?


[1] ป่วยนานจนเป็นหมอเสียเอง เป็นคำอุปมาสำหรับคนที่มีประสบการณ์มากมายในบางสิ่งบางอย่าง และโดยธรรมชาติแล้วมีความสําเร็จอย่างลึกซึ้งและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว