รอยรักปมหัวใจ [e-book]-บทนำ

โดย  วรัมพร-หงสรถ-มนสิวรรณ-ธิชาร์

รอยรักปมหัวใจ [e-book]

บทนำ

บทที่ 1 การข้ามเวลาที่น่าอนาถที่สุด


“โฉมสะคราญแห่งยุค เตียวเสี้ยน เอียนสี ซัวเอี๋ยม”


“ขุนศึกสะท้านปฐพี ลิโป้ กวนอู จูล่ง”


“ยอดกุนซือพลิกฟ้า จิวยี่ กุยแก จูกัดเหลียง”


“พวกท่านไปอยู่ไหนกันหมด!?”


“ระบบ! ระบบ! ระบบนักท่องเวลาล่ะ? ไม่ได้ยินเสียงฉันแล้วเรอะ!?”


“ถูกส่งมาที่นี่ก็สามปีแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่ได้อะไรเลยเนี่ย?”


เด็กชายสวมผ้าแพรพึมพำกับตัวเองพลางแหงนหน้ามองฟ้า


“คุณชายเป็นอะไรหรือเจ้าคะ ไม่สบายตรงไหนหรือ?”


สาวใช้มองคุณชายน้อยด้วยสีหน้ากระวนกระวาย หัวใจตื่นตระหนกยิ่ง หากเด็กน้อยตรงหน้าป่วยขึ้นมา นางคงไม่พ้นถูกลงโทษเป็นแน่!


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรหรอก! ข้านี่ไม่ไหวเลย ดูสิทำให้เจ้าตกใจเสียได้”


คุณชายน้อยยกยิ้มมุมปาก เสียงที่เปล่งออกมายังคงเจื้อยแจ้ว ครั้นสาวใช้เห็นคุณชายยิ้มแย้ม ก็พยายามใจเย็นลง จนต้องลูบหน้าอกตัวเองไม่หยุด


ทว่าสายตาของเด็กชายตัวน้อยกลับจ้องค้างอยู่ที่แห่งหนึ่ง ส่วนสูงของเด็กน้อยเพียงพอจะมองเห็นผู้คนแค่ภูเขาสองลูกเท่านั้น


“คุณชาย?”


สาวใช้เห็นอีกฝ่ายมีสายตาเลื่อนลอย ก็กังวลขึ้นมาอีกครั้ง


“แค่ก ๆ ไม่มีอะไร!”


“เจ้าไม่เข้าใจหรอก! ออกไปเถิด ข้าขออยู่คนเดียวสักพัก”


คุณชายน้อยหน้าแดง พลันโบกมือให้สาวใช้ออกไป


“ข้าผิดไปแล้ว… ผิดไปแล้ว เจ้าคนนิสัยไม่ดีนี่!”


เขารู้สึกผิดอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ก่อนแหงนหน้ามองท้องฟ้า


คุณชายน้อยที่นางเรียกขานก็คือพระเอกของเรา เล่าเจี้ยงนั่นเอง


ใช่แล้ว ‘เล่าเจี้ยง’ เจ้าตัวประกอบที่นักอ่านสามก๊กไม่ค่อยอยากจำชื่อกันนั่นแหละ เจ้าแคว้นเอ๊กจิ๋วแห่งราชวงศ์ฮั่นในอนาคต


ทว่าจิตวิญญาณหาใช่เล่าเจี้ยงแห่งราชวงศ์ฮั่น แต่เป็น ‘หลิวจี้อวี้’ นักท่องเวลาแห่งศตวรรษที่ 21!


ความจริงแล้ว หลิวจี้อวี้คือหนุ่มวัยรุ่นสดใส นักศึกษาหัวกะทิในภาควิชาประวัติศาสตร์ ผู้มีไฟในการศึกษาประวัติศาสตร์ยุคฮั่นเป็นอย่างมาก


แต่เนื่องจากสภาพครอบครัวยากจน จึงไม่มีทุนทรัพย์ไปต่อในสายนี้ ต้องจับพลัดจับผลูเข้าร่วมวงการออกกำลังกาย และทำงานเป็นเทรนเนอร์อยู่แปดปี


แต่เหมือนสวรรค์จะเล่นตลก เขาที่ออกกำลังกายในกลางดึกคืนหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุถูกดัมเบลทับตาย


บัดซบเอ๊ย!


นี่คือความคิดก่อนตายของหลิวจี้อวี้


แต่ไม่คิดเลยว่า โชคชะตาจะเล่นตลกกับเขาอีกครั้ง!


โดยให้มาเกิดใหม่ในยุคปลายราชวงศ์ฮั่น กลายเป็นเล่าเจี้ยง เจ้าผู้ครองแคว้นที่ไม่เอาไหนที่สุดแห่งยุค!


เขารู้จักประวัติศาสตร์สมัยนี้เป็นอย่างดี และรู้ถึงชีวิตของเล่าเจี้ยงอย่างแจ่มแจ้ง


เริ่มจากได้เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเอ๊กจิ๋วอย่างงง ๆ และเล่นเป็นคนตระกูลร่ำรวยในแคว้นเอ๊กจิ๋วไปวัน ๆ


เดิมทีคิดอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่คิดว่าจะถูกเล่าปี่ยึดเอาแคว้นเอ๊กจิ๋วไป


อีกทั้งยังถูกเล่าปี่บังคับให้ไปอยู่แคว้นเกงจิ๋วแทน และเพราะความประมาทของกวนอู จึงสูญเสียแคว้นเกงจิ๋วและต้องศิโรราบต่อง่อก๊ก


บ้าจริง ๆ ทั้งหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนาเตอะ มีลูกคนรวยที่กลายเป็นเบี้ยไร้ค่าเช่นนี้อยู่ไม่กี่คนนักหรอก


แล้วทำไมต้องเป็นเขา?


ชาติก่อนตายอย่างบัดซบแล้ว ชาตินี้กลับต้องมาใช้ชีวิตอย่างบัดซบอีก…


ไม่ได้!


ข้าจะนั่งรอความตายไม่ได้!


ต้องไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกเด็ดขาด!


ข้าจะกุมชะตาชีวิตไว้ในมือตัวเอง!


ยามมีสติเร่งสร้างอำนาจสยบทั้งแคว้น ยามเมามายหลับใหลบนตักสาวงาม*[1]


จะอำนาจหรือสาวงาม ข้าก็จะคว้ามาให้หมด!


ข้าในฐานะนักท่องเวลา จะนั่งรอความตายได้อย่างไร?


ยิ่งเป้าหมายไกลเท่าไร ก็ยิ่งมีความทะเยอทะยานเท่านั้น


เล่าเจี้ยงรู้สึกว่าสถานะของตัวเองเป็นแค่ปุถุชน… ไปจนถึงขั้นที่เรียกว่าคนไร้ค่าอย่างมาก


ด้วยความสามารถที่มีในตอนนี้ อยากจะรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น ช่างเป็นเรื่องที่เพ้อฝันนัก!


ทว่าเขาก็มั่นใจในตัวเอง เพราะอย่างไรก็เป็นนักท่องเวลา จะต้องมีไอเทมโกงอยู่แล้ว!


ระบบจับหลิวจี้อวี้มาปล่อยไว้ ให้แหงนหน้ามองฟ้าในร่างของคุณชายน้อย


เอาแต่เพ้อฝันภาพอันรุ่งโรจน์ที่ตัวเองสู้รบสยบใต้หล้าทุกวัน


จินตนาการนั้นช่างงดงามนัก ทว่าความเป็นจริงกลับเลือนรางเหลือเกิน


เล่าเจี้ยงค่อย ๆ ตระหนักได้ว่า การได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแต่ในความฝัน!


เวลาล่วงเลยมาสามปีแล้ว แต่เล่าเจี้ยงกลับไม่ได้อะไร ไม่มีโอกาสพบบุคคลในประวัติศาสตร์ ไม่มีวี่แววจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ไม่มีเสียงตอบรับจากระบบอะไรทั้งนั้น


มีแต่เริ่มคุ้นชินกับชีวิตของคุณชายน้อย


นักท่องเวลายอมรับชะตากรรมตัวเองแล้ว


หลิวอี้จวี้ไม่มีไอเทมโกงของนักท่องเวลา ทุกอย่างล้วนพึ่งพาตัวเองล้วน ๆ!


โชคดีที่เขารู้ทิศทางสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี และโชคดีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป!


ตอนนี้เพิ่งเป็นปีคริสต์ศักราช 171 เล่าเอี๋ยนผู้เป็นบิดาเพิ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองลำหยง


“คุณชาย คุณชายเจ้าขา!”


เสียงตะโกนอันเร่งรีบได้ขัดจังหวะขึ้น เมื่อสาวใช้กลับมาหาเขาอีกครั้งพร้อมกับเสียงหอบระรัว


“ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ! สูดหายใจเข้า แล้วค่อย ๆ พูด”


สาวใช้ไม่สนใจเล่าเจี้ยง นางรีบมากจนหอบหายใจไปด้วยตะโกนไปด้วย


“คะ…คุณชาย ระ…รีบตามขะ…ข้าไป…ที่โถงใหญ่เร็ว!”


“เฮ้ เฮ้ เฮ้ ปล่อยข้าลงก่อน! มีเรื่องอะไรกัน!?”


สาวใช้ไม่สนเล่าเจี้ยงที่กำลังโวยวาย แล้วอุ้มคุณชายตัวน้อยวิ่งไปยังโถงใหญ่ทันที


เวลานี้ เล่าเอี๋ยนผู้เป็นบิดากำลังรับแขกผู้มีชื่อเสียงผู้หนึ่งอยู่


“จื่อเจียง! มาลำหยงเหตุใดไม่แจ้งข้าเล่ ข้าจะได้เตรียมการต้อนรับท่านดี ๆ!”


เล่าเอี๋ยนมองบุรุษตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่กล้าเสียมารยาทแม้แต่น้อย


“รบกวนใต้เท้าเล่าแล้ว ข้าน้อยเป็นแค่คนไร้ตำแหน่ง จะบังอาจรบกวนท่านได้อย่างไร”


เล่าเอี๋ยนเผยสีหน้าไม่พอใจ และเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง


“ไยจื่อเจียงเห็นตัวเองเป็นคนนอกเล่า เจ้ากับข้านับกันเป็นพี่น้องแล้ว!”


ผู้มาเยือนผลักไสไม่พ้น จึงได้แค่ยอมรับแต่โดยดี


ณ ตอนนี้เอง สาวใช้ก็อุ้มเล่าเจี้ยงมาถึงโถงใหญ่


คุณชายน้อยเล่าเจี้ยงมองภาพตรงหน้าอย่างมึนงง บิดาตนเรียกนักประพันธ์หนุ่มว่าพี่น้องด้วยท่าทีประจบสอพลอ


ถึงอย่างไรเล่าเอี๋ยนก็เป็นท่านเจ้าเมือง และเป็นศิษย์ของนักปราชญ์จู้เทียน เขาจะมีท่าทางเช่นนี้ได้อย่างไร?


เล่าเอี๋ยนรับเล่าเจี้ยงมาจากอ้อมแขนสาวใช้ ก่อนเอ่ยกับผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม


“จื่อเจียง ข้ามีลูกชายอยู่สี่คน และเพลานี้ก็อยู่ด้วยกันที่นี่ทั้งหมด”


ขณะที่กล่าว ก็กวักมือเรียกไปทางด้านหลัง ให้เด็กชายสามคนเดินมา


“คนผู้นี้คือกวีผู้เลื่องชื่อแห่งเมืองยีหลำ สวี่เส้า นามรอง สวี่จื่อเจียง ทุกคนรีบมาคารวะเร็ว!”


เมื่อได้ยินเล่าเอี๋ยนสั่ง บุตรชายทั้งสามคนก็เดินมาข้างหน้า และโค้งคำนับ


“คารวะท่านลุงสวี่”


ในใจของเล่าเจี้ยงรู้สึกตกตะลึง เป็นเขานี่เอง! นักวิจารณ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค มิน่าเล่า บิดาถึงไม่กล้าเสียมารยาท


มีคำกล่าวไว้ว่า “หากท่านยังไม่มีชื่อเสียง ควรไปพบสวี่จื่อเจียง”


สวี่เส้าหรือสวี่จื่อเจียงแห่งยีหลำ นักวิจารณ์หนุ่มผู้เลื่องชื่อแห่งยุคปลายราชวงศ์ฮั่น เป็นที่นับถือของเหล่านักปราชญ์ทั่วแผ่นดิน โดยทุกวันแรกของเดือน เขาจะจัดงานวิจารณ์ขึ้นที่เมืองยีหลำ เรียกว่า ‘เย่ว์ต้านผิง’ มีทั้งการวิจารณ์ตัวบุคคล กวีนิพนธ์ จิตรกรรม และลิปิศิลป์*[2]


อย่าว่าแต่เล่าเอี๋ยนที่เป็นเจ้าเมืองเลย ต่อให้เป็นเจ้าขุนมูลนายแห่งลกเอี๋ยงก็ไม่กล้าล้วงเกินสวี่เส้าง่าย ๆ หรอก


ขืนล่วงเกิน จะได้ ‘ดัง’ ไปทั้งแผ่นดินไม่รู้ตัว


เล่าเจี้ยงที่อยู่ในอ้อมแขนของบิดาก็ทำตามพี่ชายตัวเอง กุมมือคำนับ พูดจาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ดูน่ารักมาก


“ไม่ต้องมากพิธีหรอกขอรับ”


แม้สวี่เส้าจะมีชื่อเสียง ทว่าอายุยังไม่ถึงสามสิบปี


เล่าเอี๋ยนหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะถามต่อ


“จื่อเจียงสามารถทำนายอนาคตคนได้ ไม่ทราบว่าพยากรณ์ให้ลูกชายทั้งสี่ของข้าได้หรือไม่?”


สวี่เส้าพยักหน้า พลางหันไปมองพี่ชายสามคนของเล่าเจี้ยง ก่อนจะถามต่อ


“พวกเจ้าสามคนรู้จักข้าหรือไม่?”


เด็กทั้งสามคนส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่รู้จัก


“การเรียนของพวกเจ้าเป็นอย่างไร ต่อไปจะทำการใด?”


คุณชายเล่าทั้งสามแค่เหลือบมองหน้ากัน โดยไม่ตอบกลับ


เล่าเอี๋ยนโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ถลึงตาใส่บุตรชายคนโตของตัวเอง


เหตุใดบุตรชายทั้งสามคนถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้?!


เล่าหวม บุตรชายคนโตผู้ถูกบิดาถลึงตาใส่ ตกใจตัวสั่นทันที จนแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น


สวี่เส้าส่ายหน้าอย่างผิดหวัง ดูเหมือนบุตรชายทั้งสามของเล่าเอี๋ยนจะไม่มีความสามารถอะไร


เล่าเอี๋ยนเห็นสวี่เส้าส่ายหน้าก็รู้ได้ทันที จึงไม่กล้าถามอะไรอีก


ท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดกะทันหัน จู่ ๆ เล่าเจี้ยงวัยสามขวบในอ้อมแขนพลันเอ่ยขึ้น


“งานวิจารณ์เย่ว์ต้านผิงของท่านลุงสวี่ทำให้ข้าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก!”


“หืม?”


สวี่เส้ามองไปที่เล่าเจี้ยง เด็กน้อยที่ถูกเขาเพิกเฉยด้วยความประหลาดใจ


[1] ทุ่มเทความสามารถสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างบารมี เพื่อหลังจากนี้จะได้ใช้ชีวิตอย่างเสวยสุข


[2] ลิปิศิลป์ หรือการเขียนพู่กัน



รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว