เมีย - Wife

บทนำ - สาวน้อยร้อยผัว

การปรากฏตัวของ ซุน ด้วยท่าร่างการเคลื่อนไหวที่สง่างามเกินจำเป็น ทั้งที่ตนนั้นมาสายจนคนอื่นต้องเฝ้ารอ ออกจะเป็นที่น่าหมั่นไส้ในความคิดของหลาย ๆ คนอยู่ไม่น้อย บางคนถึงกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อีกหลายคนเบ้ปากเชิดสูง มองด้วยความเย้ยหยัน...

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เผยแววตาแห่งความตกตะลึงออกมา แต่แน่นอนว่าความตกตะลึงที่ปรากฏมิได้มาจากการแสดงวิชาตัวเบาหรือท่าร่างเมื่อครู่นี้ แต่เป็นการตกตะลึงกับรัศมีลมปราณที่วนเวียนอยู่รอบกายชายหนุ่มผู้นี้เสียมากกว่า

โดยเฉพาะ เจี่ยโย่วเทียน และ ลั่วชิงเหอ...
ทั้งสองถึงกับเบิกตาโพรงแข็งค้างไป…

“ชนชั้นลมปราณสีเขียว ขั้นที่ 6!! บะ...บ้าน่าเป็นไปได้ยังไง!!”

จากที่ไม่มีใครสังเกตในตอนแรก แต่พอ ลั่วชิงเหอ โพล่งเสียงขึ้นมา ทุกคนก็เพิ่งจะสัมผัสได้กับระดับที่เพิ่มพูนขึ้นหลายขั้นของ ซุน ในเวลานี้ เพราะทุกคนต่างพากันทราบดี ว่า ซุน เพิ่งจะทะลวงผ่านชนชั้นลมปราณสีเขียวในการประลองเมื่อ 1 เดือนก่อนนี้เอง การยกระดับในเวลาอันสั้นเช่นนี้ เพียงแค่นึกคิดยังอดไม่ได้ที่จะขนลุกชูชันขึ้นมาแล้ว...

แม้แต่ชนชั้นผู้ฝึกสอน หรือผู้อาวุโสอีกหลาย ๆ คนที่รู้จัก ซุน เป็นการส่วนตัว เวลานี้ก็ยังเขม็งมองมาด้วยสายตาที่เผยถึงความไม่อยากจะเชื่อ... ซุน ที่ได้กลายเป็นจุดศูนย์รวมสายตาเหล่านั้นตามที่ตนเองคาดหมาย ก็กระแอมไอออกมาเบา ๆ พร้อมกันยืดอกสูงขึ้น หยิบเต้าสุราขึ้นกระดกอยู่หลายคำ จากนั้นตัวก็สั่นด้วยท่าทีเสแสร้งเล็กน้อย พ่นลมหายใจออกมาด้วยท่าทีคล้ายสดชื่น มีเสียง อ๊า... ดังออกจากลำคอ

“สุราลมปราณสูตรใหม่ของข้านี่มันยอดเยี่ยมยิ่งนัก... ใช้ทั้งอาบใช้ทั้งพรมใช้ทั้งดื่ม เพิ่มพูนลมปราณได้อย่างยอดเยี่ยม จนก้าวกระโดดทะยานสู่นภาอากาศ เจิดจรัสจนดวงดาวมัวหมอง ดับตะวันให้มืดหม่น จะเรียกว่านี่คือที่สุดแห่งสุราในใต้หล้า ก็ดูจะอวดโอ้เกินไปหน่อย แต่ก็มิอาจหาคำใดมานิยามได้เหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว...

เสียอยู่อย่างเดียวต้นทุนในการหมักบ่มสูงไปเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายต่อหนึ่งไหใช้ถึงห้าหมื่นเหรียญทอง แพงถึงเพียงนี้ใครกันจะกล้าซื้อ แม้ว่ามันจะคุ้มค่าอย่างถึงที่สุดก็ตามที...” น้ำเสียงของ ซุน กึ่งบ่นกึ่งตะโกน ใบหน้าคล้ายสลดหดหู่เมื่อหันมองไปยังเต้าสุราในมือ เผยความเสียดายจับหัวใจ

ทว่าทุกคนโดยรอบที่ได้ยินได้เห็นต่างอึ้งงัน อ้าปากค้าง!! พื้นฐานที่ถูกยกระดับของ ซุน อันเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่ามิใช่ภาพมายา ทั้งวาจาตัดพ้อเมื่อครู่ทำให้ชวนคล้อยตามไม่ได้ ว่าสุราลมปราณสูตรใหม่ที่ ซุน กล่าวถึงนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างปาฏิหาริย์เช่นนี้...

บางคนยังถึงกับสะท้านสะเทือน เผลอลูบไปบนแหวนมิติด้วยความหลงลืมตัว คล้ายกำลังพยายามสะกดกั้นมิให้นำเหรียญทองออกมาเสนอยื่น... บางคนพยายามปิดปากมิให้เปิดเผยความต้องการอยากได้ออกไปอย่างโจ่งแจ้ง ครุ่นนึกในใจว่าจะต้องหาทางซื้อสุราลมปราณสูตรใหม่นั้นมาลิ้มลองให้จงได้...

จากเดิมที่ทุกคนตั้งท่าจะตวาดด่า เรื่องที่ ซุน ไม่มาฝึกซ้อมขบวน หรือแม้แต่การมาสายจนทุกคนต้องเฝ้ารอในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างกลับถูกเหยียบหายจมลงดิน หลงเหลือไว้เพียงความเงียบงันที่ตะลึงพรึงเพริด... ผู้ที่ได้ยินได้ฟังกว่าครึ่งมิได้โง่เขลา รู้ดีว่าที่ ซุน กล่าวออกมาก็มิต่างกับการจงใจเอ่ยสรรพคุณเพื่อขายสุราลมปราณอันเป็นกิจการลับ ๆ ของแมวสวรรค์ ที่หลายคนในสำนักต่างรู้ดี

ทว่าความเย้ายวนใจของการยกระดับในเวลาอันสั้น และผลลัพธ์จากกระแสลมปราณของ ซุน ที่ตรงหน้า ก็ยังทำให้ทุกคนมิอาจตัดความคิดอยากครอบครองออกไปจากจิตใจตนเองได้... เรียกได้ว่า ซุน ใช้โอกาสในการเปิดตัวสุราลมปราณสูตรใหม่ ต่อหน้าการรวมตัวกันของขบวนหมู่ศิษย์กว่าสองพันคนได้อย่างแยบยล มันชัดเจนอย่างยิ่งว่าการมาสายในวันนี้ คือเจตนาที่จงใจเพื่อให้กลายเป็นจุดเด่นอีกเช่นกัน!!

เจ้าสำนัก อวิ๋นหยางหลิ่ง หรือแม้แต่สองรองเจ้าสำนัก ถึงกับใบหน้าบิดเบี้ยว... จากที่มั่นใจว่ารู้จักนิสัยของ แมวสวรรค์ ตนนี้ดีพอแล้ว เหล่าจิ้งจอกชราก็ยังต้องฉุกคิดใหม่กันอีกหลายตลบ... เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ยอมปล่อยโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้หลุดรอดไปได้เลย ทั้งยังเลือกใช้จังหวะได้พอเหมาะพอเจาะอย่างยิ่ง...

ด้วยประสบการณ์ของเหล่าผู้ชรา ไหนเลยจะมองเส้นสนกลในเหล่านี้ไม่ออก ลำพังสุราลมปราณไม่มีทางยกระดับในเวลาอันสั้นเช่นนั้นได้เป็นแน่ ซุน คงใช้วิธีการบางอย่างที่พิเศษยิ่งกว่า แต่กลับเลือกใช้โอกาสเปิดตัว ขายสุราทำเงินมันเสียเลย!!

เพื่อป้องกันมิให้เกิดความวุ่นวายมากไปกว่านี้ อวิ๋นหยางหลิ่ง จึงต้องให้สัญญาณย่ำกลองเคลื่อนพลโดยทันทีอย่างไม่ลังเล เพื่อสยบความวุ่นวาย... หาไม่แล้ว ซุน อาจใช้โอกาสต่อจากนี้ บรรยายสรรพคุณสุราของตนมากยิ่งขึ้น จนทำให้ภารกิจในวันนี้เกิดความล่าช้าอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

เสียง ตึง! ตึง! ตึง! ดังสะท้านสะเทือนไปทั้งสำนัก สัญญาณกลองก้องกังวานจนทำให้ทุกคนสติของทุกคนหวนคืนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง... อวิ๋นหยางหลิ่ง เค้นเสียงต่ำตำหนิให้ ซุน รีบกลับเข้าไปในขบวนศิษย์หลัก ซึ่งแน่นอนว่าสัตว์อสูรพาหนะของ ซุน ย่อมมิใช่อื่นใด แต่เป็น พยัคฆ์วาตะ ที่บัดนี้ได้กลายเป็นดั่งสายลมสีเขียว มายืนอยู่ยังตำแหน่งผู้นำขบวนของศิษย์หลัก

หมาป่าอสูร และ จิ้งจอกอัคคี ที่อยู่หน้าขบวนเช่นกัน ยังต้องแสดงท่าทีเคารพยำเกรงอย่างถึงที่สุด หมอบต่ำกดศีรษะมิให้เชิดสูงเหนือพยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนตนนี้... ซุน กระฟัดกระเฟียดไม่พอใจเล็กน้อย ที่ถูกสกัดขวางฉากเปิดตัวสุราลมปราณสูตรใหม่เพื่อดึงราคา แต่เมื่อเห็นสายตาของพยัคฆ์วาตะที่เขม็งมองมา ก็จำต้องก้มต่ำคารวะ และรีบขึ้นไปบนหลังของพยัคฆ์ในทันที...

เส้นทางเคลื่อนขบวนนั้นถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว ได้รับการอำนวยความสะดวกจากทางราชวงศ์ไป๋หู่ เพราะเป็นประเพณีของสองสำนักใหญ่ที่จัดขึ้นทุกปี ดังนั้นการเข้าไปในเมืองหลวง จึงมิได้วุ่นวายอะไรนัก

ขบวนของสำนักสายลมประจิมเดินทางจากประตูเมืองทิศใต้ ส่วนขบวนของสำนักบุปผาประจิมเคลื่อนพลมาจากประตูเมืองทิศตะวันออก ทั้งสองสำนักจะไปรวมตัวบรรจบกันที่หน้าหอคอย ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง...

ศิษย์สำนักหลายคนเดินทางมาในครั้งแรก อีกหลายคนก็ไม่เคยได้ออกจากเขตสำนักเลยตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงแฝงเร้นไว้ด้วยประกายดวงตาที่ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย... ในกลุ่มของศิษย์สายในก็ยังมี ตันเหมา และ ตงเหยียน สองสหายของ ซุน ที่เวลานี้ได้เลื่อนขึ้นจากศิษย์สายนอก เป็นศิษย์สายในเรียบร้อยแล้ว

ซุน มองเห็น ทั้งสองอยู่ขบวนข้าง ๆ กำลังพูดคุยกันด้วยท่าทีตื่นเต้น จึงอดที่จะเปิดอาคมหูทิพย์แอบฟังไม่ได้... จนได้ยินว่าที่ทั้งสองมีความตื่นเต้นก็เพราะ กำลังจะได้ไปร่วมขบวนกับเหล่าสาวงามของสำนักบุปผาประจิม!!

โดยเฉพาะ นายน้อยจากตระกูลตันอย่าง ตันเหมา... ทั้งที่กิจการหลักของตระกูลคือการเปิดหอนางโลม แต่ก็ยังมิวายเผยท่าทีตื่นเต้นเป็นล้นพ้นออกมา ทั้งท่าทาง สีหน้า และแววตา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อกล่าวถึงสำนักบุปผาประจิม... ทำให้ ซุน หวนนึกถึงวันที่ทั้งสองคนได้เข้าร่วมสำนักพร้อม ๆ กัน(ตอนที่ 72)

“อ่อ... จำได้ว่าศิษย์พี่ตัน มีหญิงสาวในดวงใจอยู่คนหนึ่ง และนางได้เข้าไปในสำนักบุปผาประจิม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ศิษย์พี่ตัน เลือกเข้าสำนักสายลมประจิม แม้จะสอบตกในการทดสอบนับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังไม่ยอมตัดใจ... วันนี้แล้วสินะที่จะมีโอกาสได้พบกับนาง ศิษย์พี่ตันจึงตื่นเต้นเพียงนั้น...”

ซุน เอ่ยพึมพำก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ อันที่จริง ซุน ก็อยากจะหาโอกาสช่วยเหลือ ตันเหมา ให้ได้สมหวังอยู่ลึก ๆ ทว่าเป้าหมายในการขึ้นหอคอยในครั้งนี้ของ ซุน มีความยิ่งใหญ่และเป็นที่คาดหวังมากเกินไป... พยัคฆ์วาตะ คงไม่ยอมให้ ซุน ไปเสียเวลากับเรื่องราวไร้สาระอย่างอื่นแน่นอน...

ณ หอคอยสุสานเทพอสูรพยัคฆ์ขาว...

เมื่อขบวนหมู่ศิษย์ มาถึงลานกว้างขนาดใหญ่เบื้องหน้าหอคอย ก็สามารถมองเห็นความใหญ่โตอลังการของหอคอยได้ถนัดสายตา จากเบื้องล่าง ไม่อาจมองเห็นยอดปลายด้านบนของหอคอยได้เสียด้วยซ้ำ ความสูงของหอคอยมากยิ่งกว่าขุนเขาทั้ง 4 ลูกในสำนักสายลมประจิมวางต่อกันเสียอีก

ซุน เองก็เพิ่งจะเคยเห็นใกล้ ๆ เช่นนี้ สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ปกคลุมไปทั้งหอคอย กล่าวกันว่าในขอบเขตรัศมีช่วงหนึ่งรอบหอคอยนั้น แม้แต่สัตว์อสูรวิหค ก็ยังไม่สามารถโบยบินเข้ามาใกล้หอคอยแห่งนี้ได้ มิเช่นนั้นจะถูกแรงกดดันมหาศาลผลักให้ตกลงจากบนท้องฟ้าทันที ทั้งตัวหอคอยยังปิดทึบสนิท มีทางเข้าเดียวก็คือประตูขนาดใหญ่ที่ด้านล่าง ซึ่งเป็นประตูที่ปกคลุมไว้ด้วยแสงสว่างเรืองรอง ราวกับเป็นประตูสู่มิติที่แตกต่าง...

ซุน จิตใจสะท้านสะเทือนอย่างช่วยไม่ได้ เพียงแต่มองเห็นยังรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบ สมกับที่เป็น [สิ่งมหัศจรรย์ของยุทธภพในยุคก่อน] ตามบันทึกตำรามีบอกเอาไว้ว่า หอคอยมีทั้ง 5 แห่ง กระจายอยู่ทั้ง 4 ทวีป และอีกหอคอยหนึ่ง ตั้งอยู่ที่มหาสมุทรกิเลนอัสนี

หอคอยแห่งนี้คือหอคอยสุสานเทพอสูรพยัคฆ์ขาว ประจำทวีปพยัคฆ์ขาว...

ด้านหน้าของหอคอยห่างออกมาราว ๆ 300 จั้ง ยังมีประตูศิลาขนาดมหึมาสูงนับสิบจั้ง เป็นประตูที่ถูกปิดเอาไว้บานประตูเต็มไปด้วยลวดลายอักขระโบราณที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้... ประตูแห่งนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดียว สามารถเดินวนรอบ ๆ หน้าและหลังของประตูได้อย่างอิสระ เพราะประตูนี้มิได้ใช้เพื่อขวางกั้นสิ่งปลูกสร้างใด

นี่คือประตูวาสนา... ซึ่งมันจะเปิดขึ้นในเวลาเที่ยงคืนของทุกวัน หากใครคิดที่จะเข้าไปในหอคอย จำเป็นที่จะต้องผ่านประตูวาสนานี้เสียก่อน เพื่อให้ได้กับสิ่งที่เรียกว่า “โชควาสนา” ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงลูกแสงทรงกลม ที่มีหมายเลขกำกับเอาไว้...

หอคอยมีทั้งสิ้น 114 ชั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกจากผู้ยิ่งใหญ่ เล้งซาน ผู้ซึ่งเป็นคนแรกที่เคยพิชิตหอคอยชั้นบนสุดได้เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน... หมายเลขที่ประตูวาสนาให้มา คล้ายเป็นตัวบ่งบอกวาสนาของแต่ละบุคคล หากผู้ใดได้ตัวเลขที่มาก นั่นหมายถึงการมีโอกาสที่จะไปได้ในชั้นที่สูงขึ้นไป...

ตัวอย่างเช่น ลูกแสงทรงกลม มีตัวเลข 38 ปรากฏ... บุคคลผู้นั้นจะสามารถขึ้นไปบนหอคอยได้สูงสุดเพียงชั้นที่ 38 เท่านั้น หากพยายามขึ้นไปในชั้นที่ 39 จะถูกกฎของหอคอยที่เรียกว่า “การปฏิเสธจากหอคอย” เล่นงาน... ซึ่งมันคือแรงกดทับอันมหาศาลที่มากพอจะทำให้ร่างกายของผู้ที่คิดละเมิดกฎ แหลกละเอียดได้ในชั่วพริบตา ตามที่ถูกเล่าขานเอาไว้ตลอดหนึ่งหมื่นปี มีเพียง เล้งซาน ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถทนต่อ “การปฏิเสธของหอคอย” ได้โดยตรง จนพิชิตหอคอยได้ในที่สุด...

ซุน ที่ศึกษาเรื่องราวในส่วนนี้มาอย่างละเอียดผ่านบันทึกและตำราเป็นจำนวนมาก ย่อมรู้ดีว่าจุดเริ่มต้นของการพิชิตหอคอย นั่นคือการได้รับโอกาส... และโอกาสอย่างเดียวที่จะได้รับ ก็คือโอกาสจากประตูวาสนาแห่งนี้!! หากตัวเลขที่ได้มาเป็นตัวเลยที่ต่ำมาก ๆ แล้วล่ะก็ ความหวังที่จะพิชิตหอคอยได้นั้น คงจะพังทลายลงในทันที แต่หากได้ตัวเลขที่สูง ก็จะมีโอกาสมากยิ่งขึ้น...

ซุน กระแอมไอเสียงเบา เอ่ยถามเนิบนาบด้วยความใคร่รู้...
“ศิษย์พี่เจี่ย... ศิษย์พี่ลั่ว... ในปีที่แล้ว ไม่ทราบว่าพวกท่านได้โชควาสนาจากลูกแสงทรงกลม เป็นตัวเลขอะไรงั้นหรือ?!”

เจี่ยโย่วเทียน กดหัวคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“87”

ทว่าตัวของ ลั่วชิงเหอ กลับเผยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ คล้ายว่านี่คือหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ตนอยู่เหนือ เจี่ยโย่วเทียน... “ข้าได้ตัวเลข 91 ในเรื่องของพรสวรรค์ ข้านั้นเหนือกว่าเจ้าคนเย็นชาพรรค์นั้นอยู่มากโข”

เจี่ยโย่วเทียน ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงเย็นออกมา...
“เหอะ! เจ้าได้ตัวเลขที่สูงกว่าแล้วอย่างไร?! แต่ในท้ายที่สุดเจ้าก็ทนแรงกดดันไม่ไหว และติดอยู่ในชั้นที่ 62 เท่านั้น... ส่วนข้าไปได้ถึงชั้นที่ 65 เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์กับความเป็นจริง ข้ากับเจ้านั้นแตกต่างอยู่มากโข...”

ลั่วชิงเหอ ได้ยินเช่นนั้นก็กัดฟันเสียงดังกรอด...
“หุบปาก!! ปีนี้แหละข้าจะเอาชนะเจ้าให้ดู”

ซุน ที่เป็นสาเหตุของการทะเลาะ จึงจำเป็นต้องช่วยประณีประนอมทั้งคู่ก่อนจะเกิดเรื่องรุนแรงไปกว่านี้... ทว่าในใจก็ยังอดครุ่นคิดไม่ได้ ว่าตนจะได้รับตัวเลขที่เท่าใด... ทั้งเมื่อปีก่อน เจี่ยโย่วเทียน และ ลั่วชิงเหอ ก็ยังไปได้เพียงแค่ราว ๆ ครึ่งทางของจำนวนชั้นทั้งหมดในหอคอยเท่านั้นเอง... นี่ยิ่งทำให้ ซุน เริ่มเกิดความกังขาในความสามารถของตนเองขึ้นมาบ้างแล้ว ว่าจะพิชิตหอคอยแห่งนี้ได้จริง ๆ หรือไม่...

.................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว