ความเร็วของ วิหคหัวล้าน ที่มองดูแล้วคล้าย ๆ กับ นกแร้งขนาดใหญ่ สยายปีกสองข้างยังกว้างถึง 5 จั้ง การที่ เหยาซาน ขึ้นไปด้านบนหลังยังไม่นับอย่างไร ความเร็วถึงจะตกลงมาเล็กน้อย แต่ก็เรียกได้ว่าเหนือชั้นอยู่ดี รู้สึกถึงความมั่นคงไม่สั่นคลอน
สายลมที่ปะทะใบหน้า ทำให้ เหยาซาน รู้สึกได้รับกลิ่นอายแห่งอิสรภาพแห่งวิหค สามารถก้มมองฟ้าดินได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ถึงแม้ว่า เหยาซาน จะได้รับวิหคตนนี้มาครองครอง แต่อย่างไรเสียตามกฎของสำนักก็ใช่ว่าจะเดินทางออกไปได้อย่างอิสระ ขอบเขตการโบยบินยังมีเพียงแค่ 4 ขุนเขา 1 ทะเลสาบอันยิ่งใหญ่ของสำนักสายลมประจิม แต่นั่นก็นับว่าเพียงพอแล้ว...
การโผบินเพียงพริบตา ก็ทำให้ เหยาซาน เข้าถึงตัวของ เปียวเฟยฟง ได้โดยง่าย... ดีดตัวทะยานจากหลังวิหคเพียงครั้ง ก็สามารถขึ้นเหยียบบนหลังของ เปียวเฟยฟง ให้หน้าทิ่มล้มคะมำลงกับพื้น สีหน้าที่ชายหนุ่มหน้าบากหันมองกลับมา เต็มไปด้วยสายตาที่หวาดหวั่นถึงขีดสุด...
“สะ...ศิษย์น้องเหยา ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย ปล่อยข้าไปเถอะ!!”
เหยาซาน ได้ยินเช่นนั้นถึงกับเอียงคอฉงน...
“จะฆ่าเจ้า?! พูดเรื่องอะไร... ข้าแค่เห็นเจ้าวิ่งหนี จึงจะตามมาสอบถามเรื่องบางอย่างก็เท่านั้น เราทั้งสองล้วนเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ต่อให้มีกระทบกระทั่งกันบ้าง ไหนเลยข้าจะกล้าลงมือถึงขั้นสังหารได้?!”
แม้ เปียวเฟยฟง ได้ยินเช่นนั้น จะโล่งใจไปเปาะหนึ่ง หากแต่สายตายังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทั้งท่าทียังลนลานเกินจะเปรียบ ผิดกับวิสัยดั้งเดิมที่องอาจ ชอบรังแกผู้อื่นอยู่เสมอ... อาจกล่าวได้ว่า นอกจากเหล่าผู้อาวุโส และพี่ชายตนเองแล้ว เปียวเฟยฟง น่าจะหวาดกลัวต่อ เหยาซาน ที่สุดในสำนัก ณ ตอนนี้ก็เป็นได้...
เหยาซาน คาดคั้นอย่างหนักถึงเหตุผลที่มันวิ่งหนี ร่วมไปถึงสายตาแปลก ๆ ที่ตนพบเจอมาตลอดตั้งแต่ออกจากตำหนักสายลมเหนือ... แน่นอนว่า เปียวเฟยฟง ไหนเลยจะกล้าปากแข็งขัดขืน วาจาที่เอ่อล้นออกมาดุจกระแสน้ำเชี่ยวกราก แทบจะทุกข่าวลือที่แว่วเข้าหูของมันมา ถูกสาธยายจนหมดเปลือก หากจดจำนามผู้ที่ปล่อยข่าวลือได้ มันก็ยังจะกล่าวออกมาจนหมดสิ้น...
ใบหน้าของ เหยาซาน ค่อยบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ลงเรื่อย ๆ ไม่คิดว่าทั้ง แมวสวรรค์ และ แมวปีศาจ ล้วนแล้วแต่เป็นสมญานามที่ตนเองถูกแต่งตั้งด้วยความไม่ยินยอม!! ทั้งยังแพร่กระจายไปทั่วสำนักอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เวลาครึ่งวัน 8 หอธาตุ 8 หอศาสตรา ล้วนแล้วแต่ได้ยินนามของ เหยาซาน กระจายอยู่ทั้งสิ้น ศิษย์หลายพันคน หากผู้ใดมิได้ปิดด่านฝึกตนเพียงลำพัง หรือออกไปทำภารกิจด้านนอก ล้วนแล้วแต่ต้องได้รับข้อมูลแปลกประหลาด เกี่ยวกับวีรกรรมของ เหยาซาน ทั้งสิ้น...
“บัดซบ!! นี่มันอะไรกันฟะ!!” เด็กหนุ่ม แผดเสียงก้องดังดุจฟ้าร้อง ทำเอา เปียวเฟยฟง อกสั่นขวัญแขวน ก้มหน้าเก็บคองอเข่าลงบนพื้น มิกล้าแม้แต่หายใจแรง...
ใครบ้างจะไม่รู้สึกโกรธเคืองเมื่อเจอเรื่องเช่นนี้... แต่หลังจากที่ เหยาซาน ค่อย ๆ คืนสู่สมาธิ แสดงสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นได้...
“แต่จะว่าไป... การที่เรื่องมันออกมาเป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับข้าก็เป็นได้?! เหล่าหมู่ศิษย์ภายในสำนักจะได้ไม่เข้ามายุ่มย่ามอะไรกับข้ามากมายนัก หากเลือกได้ข้าก็ไม่อยากรังแกคนอื่น ๆ สู้เอาเวลาไปฝึกฝนบนเส้นทางของตนเองย่อมดีกว่า...
อย่างน้อยเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดก็ต้องได้รับรู้เรื่องราวของข้า จากท่านเจ้าสำนักอวิ๋นอยู่แล้ว ขอเพียงเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักเข้าใจ ใยข้าต้องไปใส่ใจกับความคิดความอ่านของเหล่าศิษย์ที่ไม่ได้มีอิทธิพลกับตัวข้า?!”
เหยาซาน กล่าวพลางพึมพำกับตนเอง... จากนั้นก็เหลือบมอง เปียวเฟยฟง ที่เวลานี้สั่นสะท้านเป็นลูกนกพบเจอพญาเหยี่ยว มอง ๆ ดูแล้วการที่ เหยาซาน ลงมือสถานหนักกับคนรุ่นเดียวกันในแต่ละครั้ง อาจจะก่อให้เกิดคนที่แสดงท่าทีหวาดกลัวจับใจอย่าง เปียวเฟยฟง ขึ้นมาอีกมากก็เป็นได้
จริงอยู่ว่าเส้นทางยุทธภพ ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้... แต่ได้ขึ้นชื่อว่าศิษย์ร่วมสำนัก ครั้นจะลงมือหนักหนาเกินไป ก็ลังแต่จะเป็นการขัดขวางเส้นทางยุทธของผู้อื่น ทั้งยังอาจทำให้ เตียมู่หยง ต้องหนักอกหนักใจ... คิดได้เช่นนั้น เหยาซาน ก็ถอนหายใจหนักคราหนึ่ง แววตากลับสู่ความสงบดังเดิม เลิกสนในสายตาประหลาดและคำติฉิน
เหยาซาน ฉุดมือของ เปียวเฟยฟง ดึงให้ลุกยืน พลางปัดฝุ่นที่เปอะเปื้อนบนอาภรณ์ให้กับ เปียวเฟยฟง ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เผยแววตาที่ใสซื่อ...
“ศิษย์พี่เปียว... ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ท่านหวาดกลัว ข้าล้วนมิได้มีเจตนาให้เป็นเช่นนี้ เจอกันคราวหน้าไม่ต้องวิ่งหน้าข้าก็ได้... ความบาดหมางของเราเมื่อคราวก่อนขอให้จบสิ้นไป ข้าเหยาซานมิใช่คนคิดเล็กคิดน้อยถึงเพียงนั้น...”
กล่าวจบ เหยาซาน ก็ตบที่ไหล่ของ เปียวเฟยฟง เบา ๆ
ชายหนุ่มหน้าบาก รีบผงกศีรษะระรัวตอบรับ...
เหยาซาน กระแอมแห้ง ๆ คราหนึ่ง ก่อนจะโดดทะยานขึ้นอีกครั้ง กลับสู่หลังวิหคหัวล้าน ถลาบินวนรอบสำนักด้วยความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับอิสระ ลิ้มรสชาติของสายลมที่ปะทะเข้าใบหน้า ซึ่งความรุนแรงเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับตอนอยู่บนยอดหน้าผาเสียดฟ้า
ท่ามกลางสายตาของหมู่ศิษย์เบื้องล่าง ที่จ้องมองพลางชี้ตรงมายัง เหยาซาน แม้ปากของผู้คนเหล่านั้นจะว่ากล่าวนินทาด้วยท่าทีเผ็ดร้อน หากแต่ลึก ๆ ในใจ ทุกคนย่อมแฝงไว้ด้วยความริษยา... การจะมีวิหคพาหนะไว้ในครอบครองนั้นมิใช่เรื่องง่าย และทุกคนล้วนมีความฝันว่าอยากโบยบินบนท้องฟ้าเช่นนี้สักคราหนึ่ง...
จริงอยู่ที่ข่าวลือเรื่องของ เหยาซาน จะค่อนข้างโด่งดัง หากแต่มันก็เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องซุบซิบภายในสำนัก สถานฝึกยุทธอันเป็นที่รวมตัวของเหล่าผู้เยาว์ก็เท่านั้น ระดับชนชั้นผู้ฝึกสอน หรือผู้อาวุโส หาได้สนใจข่าวลือเหล่านั้นไม่... ทั้งยังประกาศออกไปโดยทั่วกันว่า เหยาซาน แม้จะเป็นเพียงศิษย์สายนอก แต่ก็ได้กลายเป็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติของสำนัก ที่ได้รับ สิทธิ์พิเศษนอกเหนือกฎ ทำให้สามารถสลับเปลี่ยนแผนกหลักทั้งสองแผนกได้...
แน่นอนว่ามันยิ่งทำให้ข่าวลือเกี่ยวกับ เหยาซาน โด่งดังมากยิ่งขึ้นไปอีก!! จนแม้แต่ระดับศิษย์หลัก ยังเริ่มมีการกล่าวถึง...
ณ เมืองหลวง สำนักสายลมประจิม...
กลุ่มศิษย์หลักในสำนักที่มีไม่ถึงหนึ่งร้อยคน จะมีอภิสิทธิ์เข้านอกออกในเขตพื้นที่สำนัก 4 ขุนเขา 1 ทะเลสาบได้อย่างอิสระ แตกต่างไปจากศิษย์สายนอกและศิษย์สายใน ที่ต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน... ดังนั้นจึงมีศิษย์หลักบางคนชอบกลับไปปิดด่านฝึกฝนที่ภูเขาเป็นระยะ สลับกับการเข้ามายังเรือนพักของสำนักในเมืองหลวง
เย็นวันนั้นมี ศิษย์หลักลำดับที่ 45 นาม เซี่ยงหยา ที่เพิ่งกลับมาจากการปิดด่านฝึกตนบนเขาลูกที่ 2 ได้เข้ามาพักยังเรือนพักของตนเองในเมืองหลวง... แน่นอนว่าประจวบเหมาะกับช่วงที่มีข่าวลือแพร่สะพัด ทำให้ เซี่ยงหยา ได้ยินเรื่องราวของ เหยาหมิง มาพอสมควร ทั้งยังสะดุดกับนามของศิษย์สายในอีกผู้หนึ่ง...
ในลานกว้างฝึกยุทธของเหล่าศิษย์หลัก มีชายร่างกำยำดุดันผู้หนึ่ง กำลังฟาดฟันดาบใหญ่สีทองก่อเกิดเงาดาบแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ โหมกระหน่ำเพลงดาบอันหนักหน่วง กดดันศิษย์อีกคนที่ใช้ทวนยาวสีดำสนิทตั้งรับอย่างทุลักทุเล ทั้งสองคนล้วนเปล่งรัศมีชนชั้นลมปราณสีเขียวเด่นชัด...
“เพลงดาบตัดสายธารา!!”
ตูม!!
ศิษย์หลักที่ถือทวนดำแม้จะตั้งรับไว้ได้ แต่ก็ด้ามทวนก็สั่นสะท้านไม่หยุด ง่ามนิ้วมือมองเห็นเลือดซิบ ๆ ที่อาบไหลออกมา เป็นแรงสะท้อนจากการตั้งรับเมื่อครู่ สีหน้าของผู้ถือทวนไม่สู้ดีนัก ก่อนจะถอนหายใจหนักครั้งหนึ่ง...
“ศิษย์พี่เปียว... ข้ายอมแพ้แล้ว”
ชายร่างกำยำพลันหยุดมือ เผยแววตาชื่นชม...
“รับเพลงดาบข้าได้ 10 กระบวนท่า... เจ้าพัฒนาขึ้นมากเลยนี่ จ้าวเฉิน”
ชายถือทวนนาม จ้าวเฉิน เผยยิ้มเจื่อน...
“ยังห่างไกลนัก หากเทียบกับศิษย์พี่เปียว...”
ในตอนนั้นเองที่ เซี่ยงหยา เดินตรงมายังลานประลองหลังจบศึก สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยก่อนจะประสานมือแสดงความเคารพ... “คารวะศิษย์ พี่เปียว...”
ชายร่างกำยำผู้นี้เมื่อหันมองตรงมา ใบหน้าเด่นชัดภายใต้แสงคบไฟรอบ ๆ ลานประลอง จะเห็นได้ว่ามีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับ เปียวเฟยฟง อยู่หลายส่วน มีก็แต่ร่างกายที่ใหญ่และกำยำมากยิ่งกว่า... แน่นอนว่าคนผู้นี้มิใช่ใครอื่น นอกจาก เปียวเฟยหง ศิษย์หลักลำดับที่ 7 ของสำนักสายลมประจิม สถานะยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของ เปียวเฟยฟง ศิษย์สายปราณอัคคีอีกด้วย...
“เซี่ยงหยา?! เจ้าออกจากการปิดด้านฝึกแล้วหรือ?!”
“เพิ่งออกมาเมื่อช่วงบ่ายนี้เอง ศิษย์พี่...” เซี่ยงหยา กล่าวตอบตามตรง พร้อมแสดงสีหน้าลังเลใจ คล้ายกำลังมีความรู้สึกบางอย่างที่ขัดแย้ง
เปียวเฟยหง พอจะมองออกเช่นกัน จึงขมวดคิ้วเบา ๆ
“เจ้ามาหาข้าแทนที่จะไปพักผ่อน... แปลว่ามีเรื่องสำคัญประการใดงั้นสินะ เล่าออกมาเถอะอย่าได้ลังเล...”
เซี่ยงหยา ถอนหายใจหนักคราหนึ่ง ก่อนจะเผยแววตาเคร่งขรึม...
“ก่อนจะกลับมาที่นี่ข้าได้ยินได้ฟังข่าวลือเรื่องหนึ่งมา เกี่ยวกับน้องชายของท่าน...เปียวเฟยฟง”
........................................................
ในคืนนั้นหลังจาก เหยาซาน ได้โบยบินอยู่หลายชั่วยามด้วยความปลื้มปิติ วนไปวนมาทั่วทั้ง 4 ขุนเขา 1 ทะเลสาบ สำรวจคร่าว ๆ ยังพื้นที่ต่าง ๆ จนวิหคพาหนะแสดงท่าทีอ่อนแรง เหยาซาน จึงได้รู้สึกตัว ปล่อยให้วิหคกลับไปพักผ่อนดังเดิม ส่วนตนก็ได้กลับมาที่เรือนพักเช่นกัน
ตันเหมา ที่เฝ้ารออยู่ที่เรือน เมื่อเห็น เหยาซาน ก็ดีดตัวตรงเข้ามาหาด้วยความร้อนรนใจ...
“ศิษย์น้อง!! ได้ยินว่าเจ้าตกจากหน้าผาเสียดฟ้า บาดเจ็บอะไรมากหรือไม่!! ข้าได้เตรียมโอสถไว้เผื่อให้เจ้าแล้ว โชคดีที่ข้านำติดมาด้วยมากมาย ข้าจะแบ่งให้เจ้าสักหนึ่งส่วนก็แล้วกัน...”
กล่าวจบ ตันเหมา ก็ชี้ไปยังโอสถกองพะเนิน จากที่กะเกณฑ์ด้วยสายตาคาดว่าคงมีไม่ต่ำกว่าหลายร้อยเม็ด... ทำให้ เหยาซาน อดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้ง ๆ ออกมา เพียงแค่หนึ่งส่วนของ ตันเหมา ยังมากเพียงนี้ คาดเดาไม่ออกเลยว่า ตันเหมา หอบเม็ดยามามากมายเพียงใดกันแน่ในแหวนมิติ...
“ศิษย์พี่ตัน ข้าสบายดี ไม่ต้องกังวลไป... อีกอย่างผู้อาวุโสมู่ แห่งหอพฤกษาของท่าน ก็เป็นคนตรวจอาการให้กับข้าเอง ดังนั้นคงไม่เป็นอะไรจริง ๆ” เหยาซาน กล่าวตอบตามตรง
ทำเอา ตันเหมา ถอนหายใจโล่งอก... ซึ่ง เหยาซาน มองเห็นสายตาที่ห่วงใยตนอย่างจริงจังจากศิษย์พี่ผู้นี้... ลึก ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะปลื้มใจ ที่ตนเลือกสหายคบหาได้ไม่ผิด...
“ศิษย์พี่ไม่หวาดกลัวข้า ตามข่าวลืองั้นหรือ?!”
ตันเหมา โบกมือปฏิเสธพลางส่ายหน้า...
“ไร้สาระยิ่งนัก... ข้าเชื่อสายตาตนเองมากกว่าข่าวลือ ถึงข้าจะยังรู้จักเจ้าได้ไม่นาน แต่ข้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนดีที่น่าคบหา... ทักษะหนึ่งที่ผู้ร่ำรวยอย่างตระกูลข้าจำต้องเรียนรู้ติดตัว คือสายตาในการประเมินมิตรสหาย ว่าผู้ใดคบหาข้าเพื่อหลอกลวงเงินทอง หรือผู้ใดคบหาข้าด้วยใจมิตร...”
เหยาซาน ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมุมปากขึ้น...
“หึหึ... แปลว่าท่านเห็นว่าข้าคบหาด้วยใจมิตร งั้นสินะ”
ตันเหมา ปฏิเสธอีกเช่นกัน...
“ป่าวเลย... ข้ารู้ว่าเจ้าก็คบหาข้าเพื่อผลประโยชน์บางอย่างเช่นกัน แต่เจ้าก็มีส่วนดีที่สร้างผลประโยชน์ให้กับข้าด้วย ดังเช่นที่ช่วยเหลือให้ข้าสอบผ่านเข้าสำนัก... ดังนั้นพวกเราทั้งคู่น่าจะเป็นเหมือนคู่หู ที่ตักตวงผลประโยชน์ร่วมกันเสียมากกว่า... อ่อ! แต่เรื่องที่ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนดีนั้น ข้าพูดเรื่องจริงนะ อย่างน้อยที่เรานอนอยู่เรือนเดียวกัน เจ้าก็ไม่ได้คิดจะปล้นจี้ข้า...”
เหยาซาน ได้ยินเช่นนั้นถึงกับขืนยิ้ม หน้าเจื่อน... จะออกปากปฏิเสธก็มิอาจทำได้ เพราะคราแรกที่ เหยาซาน เลือกคบหากับ ตันเหมา ก็เริ่มมาจากเรื่องที่ ตันเหมา รู้เรื่องราวเกี่ยวกับสำนักสายลมประจิมเป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นนายน้อยตระกูลตันที่ร่ำรวยจริง ๆ
“นอกจากทักษะประเมินมิตรสหายของท่านแล้ว... ท่านควรจะเรียกรู้ทักษะการพูดคุยกับมิตรสหายบ้างนะศิษย์พี่ตัน... เรื่องบางเรื่องไม่ต้องกล่าวกันตรง ๆ ก็ได้...”
กล่าวจบ ทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมเพรียง...
.............................................
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว