บริษัทขายสินค้าออนไลน์แห่งหนึ่งที่ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด จากผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ผู้หล่อเหลา เงียบขรึม ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าใกล้ ยกเว้นเลขาที่ชื่อพิษณุ แต่ไม่ว่าเขาจะดูเข้าถึงยากหรือดุแค่ไหน ก็ไม่วายที่จะมีสาวสวย มาตามติดและเขาชอบมีความสุขชั่วคราวกับนางแบบ ดารา และไฮโซ เพื่อคลายเหงาเท่านั้น
“สินค้าของเราเป็นลิปมันปลุกเสกลงคาถาให้ขายดิบขายดี ช่วงนี้ต้องสายมูเราขายในช่องทางออนไลน์แล้วขายดีมาก จึงอยากขยายตลาดมาที่สื่ออื่นด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นการหลอกลวงไปหน่อยเหรอครับ” ภาคภูมิหยิบลิปมันขึ้นมาจับดูแล้วถามหน้านิ่ง ๆ
“ของเราปลุกเสกจริง ไม่ได้หลอกลวงนะคะ” ผู้ช่วยของเจ้าของแบรนด์รีบทักท้วง แล้วหันไปมองหน้าเจ้าของแบรนด์ที่เป็นสาวใหญ่แต่งหน้าเข้มจัด
“คุยรายละเอียดกับทีมผมได้เลยนะครับ ผมขอตัว” ภาคภูมิตัดบทโยนงานให้ลูกน้องแล้วทำท่ากำลังจะลุกขึ้น
“เดี่ยวก่อนค่ะ” เจ้าของสินค้าเป็นคนสูงวัยแต่งหน้าเข้มจัด เอ่ยเรียกภาคภูมิจึงหยุดเดินแล้วหันมาหา
“ระวังผู้หญิงที่มีผมหยักศกสีน้ำตาล ดวงตาพิเศษ คุณต้องอยู่ให้ห่าง ผู้หญิงคนนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวร จะทำให้คุณประสบอุบัติเหตุและเรื่องร้ายอันตรายถึงชีวิต” หญิงชราเดินเข้ามาใกล้จ้องใบหน้าคมและพูดน้ำเสียงสุขุมฟังแล้วชวนขนลุก
“ครับ” ภาคภูมิยืนนิ่งสีหน้าไม่เชื่อก่อนจะขอตัวออกไปจากห้อง ด้านพิษณุตกใจจนหน้าเสียไม่กล้ามองหน้าแม่หมอเขาก้มหน้าแล้วเดินตามเจ้านายไป หญิงชรามองตามเขาจนสุดสายตา
“ทักซะหน้ากลัว ผมขนลุกไปหมดเลย” พิษณุเดินตามเจ้านายแล้วเอามือลูบขนแขนตัวเอง
“ก็แค่คำพูดที่หลอกให้คนกลัวไปวัน ๆ”
“คุณภาคไม่เชื่อเหรอครับ”
“เชื่อบ้าอะไร ลูกค้าคงไม่พอใจที่ฉันไม่เชื่อถือสินค้าของเขาก็เลยแกล้งพูดขู่ให้เรารู้สึกว่าเขามีของดีจริง ๆ ก็แค่นั้น” ภาคภูมิกดลิฟต์แล้วยืนนิ่ง ๆ
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เองหลอกกันซึ่ง ๆ หน้าคิดว่าพวกเราโง่มากหรือไง” พิษณุพยักหน้าเข้าใจ
“อย่างน้อยเขาก็หลอกนายได้นะ” ชายหนุ่มอมยิ้มเหล่ตามอง จนพิษณุรู้ตัวว่าเจ้านายหลอกว่าตัวเองซะแล้ว
ช่วงเย็น
หลังจากเลิกงาน ภาคภูมิจะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสหรูของหมู่บ้าน แต่วันนี้เขาอยากวิ่งที่สวนสาธารณะ ข้าง ๆ หมู่บ้านจึงออกมาวิ่งและนั่งพักชมวิวริมบึงน้ำใหญ่ บรรยากาศยามเย็นอากาศสดชื่นทำให้เขาสบายใจพลางมองไปเก้าอี้ที่ว่างอยู่ สายตาของเขาก็หดหู่ ก่อนที่จะหันกลับมามองบึงน้ำด้านหน้า เห็นเด็กผู้ชายเล่นโรเลอร์เบสผ่านหน้าเขาไป สักพักก็ได้ยินเสียงร้องจึงหันไปดู
“โอ๊ย” เด็กผู้ชายนั่งหงายดูแขนขาตัวเอง อีกด้านก็มีผู้หญิงนั่งพับอยู่
“เป็นอะไรหรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยถามแล้วค่อย ๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น
“เป็นอะไรลูก ชนกันเหรอเดินยังไงยายป้า ไม่ดูทางเลยหรือไงเดินเป็นคนตาบอดไปได้” แม่เด็กวิ่งออกกำลังกายตามมาเห็นเข้าก็รีบเข้าไปดูร่างกายลูกแล้วต่อว่าผู้หญิงตรงหน้า
“ขอโทษนะคะ ฉันตาบอด ไม่ได้ตั้งใจทำให้น้องเจ็บ”
“ตาบอดแล้วมาเดินเพ่นพ่านแบบนี้ เดือดร้อนคนอื่นเขาหมด แย่จริง ๆ ไปกันเถอะลูกน่าเบื่อพวกภาระสังคม”แม่เด็กต่อว่าแล้วมองเหยียด
“ขอโทษนะคะ” หญิงสาวขอโทษอีกครั้งสีหน้าเศร้า เมื่อเสียงฝีเท้าผ่านไป ร่างบางจึงหยิบถุงส้มที่ถือมาแต่มันหล่นหมด มือบางจึงค่อย ๆ คลำหาส้มบนพื้นแล้วเก็บได้ทีละลูก ภาคภูมินั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นแต่พอเห็นเธอพยายามเก็บส้ม ก็เลยตัดใจเดินไปช่วยเก็บ
“ส้มของคุณ” เขาเดินเก็บส้มจนครบแล้วนั่งยอง ๆ ยื่นส้มให้ หญิงสาวหันตามเสียงแล้วยิ้มหวาน ใบหน้าสวยหวานรอยยิ้มสดใสของเธอทำให้เขานิ่งงันไปแล้วนึกไปถึงรอยยิ้มของเด็กน้อยคนหนึ่งที่เขาเคยเห็น
“ขอบคุณมากนะคะ” มือบางเอื้อมไปไขว่คว้า ชายหนุ่มจึงยื่นมือเข้าไปใกล้ให้เธอจับใส่ถุงจนเสร็จ หญิงสาวขอบคุณเขาอีกครั้ง แล้วใช้ไม้เท้านำทางไปจนถึงเก้าอี้ริมบึง ร่างบางนั่งสูดหายใจเข้าออกยาว ๆ เขามองการกระทำของเธอแล้วยิ้มมุมปากก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ เธอ
“ฉันให้เป็นการขอบคุณ” มือบางยื่นส้มส่งให้เขา ชายหนุ่มทำหน้าแปลกใจก่อนจะหยิบส้มมาถือไว้
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นคนช่วยเก็บส้ม”
“กลิ่นน้ำหอมกับกลิ่นเหงื่อของคุณไงคะ คนตาบอดมักจะมีสัมผัสอื่นที่ดีเพื่อทดแทนดวงตาที่เสียไป” หญิงสาวตอบไปยิ้มไป ใบหน้าหวานมองตรงไปยังบึงน้ำ ทำให้เขามองเธอได้แค่ข้าง ๆ เท่านั้น แปลกมากกับความรู้สึกเขาอยากมองผู้หญิงคนนี้ไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่ได้สวยโฉบเฉี่ยวแบบที่เขาชอบ แต่รอยยิ้มและใบหน้าหวานนี้กลับสะกดใจให้เขามองไม่เบื่อเลยสักนิด ทั้งสองนั่งคุยกันในเรื่องต่าง ๆ จนค่ำก็แยกย้ายกันกลับ
“ให้ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“เช่นกันครับ ไว้เจอกันใหม่นะ” ชายหนุ่มอมยิ้ม ซึ่งก็ไม่รู้จะยิ้มทำไมเพราะเธอมองไม่เห็น เขาหันหลังเดินไปอีกทาง แต่ก็หันมามองหญิงสาวที่เดินไปอีกทาง เขาหันหลังกลับจะเดินกลับบ้านแต่ก็เปลี่ยนใจเดินตามดูเธออยู่ห่างๆ จนมาถึงหอพักใกล้ ๆ สวนสาธารณะ หญิงสาวยิ้มทักยามแล้วเดินขึ้นตึกไป เมื่อส่งเธอกลับห้องแล้วเขาจึงเดินกลับบ้านตัวเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ บริษัทออนไลน์
ภาคภูมิ นั่งหลับตาหยิบแก้วกาแฟเขาจับได้แต่ก็ดันทำกาแฟหกเลอะโต๊ะทำงาน
“หลับตาหยิบก็หกหมดสิครับ” พิษณุเข้ามาเห็นตั้งแต่แรกก็งง ว่าเจ้านายเป็นอะไร
“คนตาบอดใช้ชีวิตลำบากมาก แล้วเขาจะทำมาหากินอะไร แค่ใช้ชีวิตปกติจะแย่แล้ว” ภาคภูมิชายตามองลูกน้องก่อนจะนั่งหลับตา แล้วพูดพร่ำคนเดียว
“บ่นอะไรครับนาย”
“เรียกประชุมหัวหน้าแผนกทุกทีมฉันอยากคุยเรื่องคอลเซ็นเตอร์สำหรับคนพิการแล้วก็ซัพพอร์ตคนตาบอดด้วย”
“ประชุมวันไหนดีครับ”
“ตอนนี้เลย” ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมามองแล้วยิ้มเล็กน้อยไปยังพิษณุที่ยืนอึ้งต้องเรียกประชุมด่วนไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ต้องทำให้ไม่อย่างนั้นเจ้านายจะของขึ้น
การประชุมยาวนานจนเย็น ภาคภูมิคอยมองเวลาที่ข้อมือแล้วเริ่มนั่งไม่ติด จึงสั่งให้พนักงานไปคิดแผนงานมาแล้วประชุมกันต่อวันพรุ่งนี้ ท่ามกลางสีหน้าที่อ่อนล้าของทุกคนจากการระดมสมองเพื่อทำงานด่วนที่เจ้านายต้องการ
ณ สวนสาธารณะ
ภาคภูมิ มาสวนแทนที่จะวิ่งขากลับเดินมาเก้าอี้ริมบึงน้ำ แล้วก็พบหญิงสาวนั่งกินสตรอเบอร์รี่อย่างสบายใจเขาอมยิ้มแล้วนั่งลงข้าง ๆ
“ทานสตรอเบอร์รี่ไหมคะ” หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้กลิ่นกายเขา เธอยื่นกล่องสตรอเบอร์รี่ให้
“เปรี้ยวจัง” คำแรกที่กินก็เปรี้ยวจี๊ดเขาคิดว่ามันจะหวาน
“ไม่ชอบทานเปรี้ยวเหรอคะไว้วันหลังฉันจะซื้อแบบที่หวาน ๆ มาให้” หญิงสาวหันมามองเขาตามเสียงแล้วยิ้มสดใส ทำให้ชายหนุ่มยิ้มตาม ทั้งสองคุยกันจนค่ำวันนี้เขาอาสาเดินไปส่งเธอที่หอพัก ก่อนแยกย้ายกันกลับก็ได้นัดหมายว่าจะเจอกันตอนห้าโมงเย็นแล้วทั้งคู่ก็เจอกันแบบนี้ตลอดหกวันที่ผ่านมา
ณ คอนโดหรู
ช่วงบ่าย ภายในห้องนอนกว้าง ภาคภูมิยืนแต่งตัวอยู่ในห้องเสื้อผ้า สักพักก็มีหญิงสาวสวยเซ็กซี่เดินเปลือยเปล่ามากอดหลังแกร่ง
“วันนี้วันหยุดอยู่ด้วยกันจนถึงเช้าไม่ได้เหรอคะ” มินนี่ทำเสียงหวานออดอ้อนมือบางลูบไล้กล้ามเนื้ออกไล้ไปหน้าท้องเป็นมัด ๆ ก่อนที่มือหนาจะจับไว้แล้วดึงออก
“ไว้วันหลัง” ภาคภูมิใส่เสื้อเชิ๊ตแต่งตัวต่อ
“นาน ๆ ทีคุณจะนัดเจอ ขอให้มินนี่ ปรนเปรอให้คุณทั้งวันทั้งคืนไม่ได้เหรอคะ”
“เสร็จธุระจะมาหาอีกก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่มจุ๊บปากบางแล้วเดินผละออกไป มินนี่มองตามเขาแล้วยิ้มดีใจ
ณ สวนสาธารณะ
ภาคภูมิมาถึงเก้าอี้ประจำริมบึงน้ำ ตามเวลานัดแต่เขาไม่เห็นหญิงสาวมานั่งเหมือนเดิม ชายหนุ่มกังวลว่าเธอจะเป็นอะไรระหว่างทางจึงรีบเดินตามหาเธอจนถึงหอพักก็ไม่มีวี่แวว เลยถามยามที่จำได้ว่าชายหนุ่มเดินมาส่งหญิงสาวตาบอดเป็นประจำ
“มาหาหนูฟ้าเหรอคุณ”
“ครับ ผมไม่เจอเลยเป็นห่วง”
“วันนี้วงดนตรีคนตาบอดมารับไปงานแสดงที่ต่างจังหวัด หนูฟ้าฝากบอกคุณว่าเจอกันอีกทีอาทิตย์หน้า”
“ไปหลายวันขนาดนั้นเลย”
“ปกติก็อาทิตย์บางทีก็เป็นเดือน”
“พอรู้ไหมครับว่าไปที่ไหน”
“ไม่รู้สิ คุณลองโทรไปถามที่วงเสียงสวรรค์ดูแล้วกัน” ลุงยามบอกได้แค่นี้แล้วเดินไปเฝ้ายามต่อ ด้านชายหนุ่มลังเลว่าจะโทรศัพท์ไปถามดีหรือไม่แต่ก็ตัดใจเพราะอาทิตย์หน้าเธอก็กลับมาแล้วเขาจะห่วงอะไรเธอนักหนา จึงเดินทางกลับคอนโด ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องกับมินนี่แทนที่จะมีเซ็กส์กัน เขากลับนั่งดูเฟสบุ๊คของวงเสียงสวรรค์ที่ไปทำงานตามสถานที่ต่าง ๆ และภาพไปแสดงหลายจังหวัด เขาเห็นหญิงสาวสีไวโอลิน บางทีก็เป็นคนร้องเพลง ในวงมีทั้งผู้หญิง ผู้ชายและผู้จัดการวงเป็นผู้ชายสายตาปกติ
“ไอ้หมอนี่มีลูกเมียหรือยัง” ใบหน้าคมนั่งเพ่งมองผู้จัดการวงดนตรี นิ้วมือหนาดีดขึ้นลงบนโต๊ะเวลาที่เขาใช้ความคิดภาคภูมิจะดีดนิ้วขึ้นลงตลอด สักพักเขาก็กดโทรศัพท์ไปวงดนตรีเสียงสวรรค์ ด้านมินนี่นั่งมองเขาอย่างงอน ๆ ที่เขาไม่สนใจเธอเลย จนเมื่อเขาวางโทรศัพท์ภาคภูมิก็เดินออกจากห้องทันที ทำให้มินนี่มึน อึน ๆ ที่เขาทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน
ณ หอพัก จ.ชลบุรี
ทุกคนในวงดนตรีลงมานั่งทานข้าวพร้อมกันที่โต๊ะหน้าหอพัก มีคนตาบอดและทีมงานรวม 8 คน ผู้จัดการวงและคนขับรถเป็นผู้ชายสายตาปกติ นั่งอยู่ใกล้อิงฟ้า ผู้จัดการวงชื่อชีวาชอบอิงฟ้าอยู่แต่ไม่กล้าบอกเขาคอยดูแลเธอและให้เกียรติเธอมาตลอด เมื่อทานอาหารเสร็จทุกคนกำลังเดินกลับเข้าห้องอิงฟ้าเดินสะดุดทางเดินที่ไม่สม่ำเสมอ ชีวาเห็นจึงรีบวิ่งเข้ามาดูแลและจับแขนอิงฟ้าพยุงเธอไปส่ง แต่กลับโดนมือหนามากระชากแขนของเขาออก
“อะไรของคุณ” ชีวามอง งง ๆ
“จะทำอะไร” ภาคภูมิถามสีหน้าเอาเรื่อง
“คุณ มาได้ยังไงคะ” อิงฟ้าได้ยินเสียงก็จำได้ รีบเอ่ยทักด้วยความดีใจ ชายทั้งสองหันมองอิงฟ้ายืนยิ้มสดใสดีใจที่ภาคภูมิอยู่ตรงนี้ ภาคภูมิเดินไปหาหญิงสาวแล้วพาไปนั่งคุย ชีวามองไม่พอใจ ด้านภาคภูมิมองกลับกวน ๆ จนชีวาถอนใจไม่อยากมีเรื่องเลยเดินเลี่ยงไปที่อื่น
“จะไปไหนไม่บอกกันเลย” ภาคภูมินั่งงอน ทำตึงใส่ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนั้นเธอมองไม่เห็น
“ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ ฉันก็เพิ่งรู้ว่าต้องมางานเมื่อเช้า ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของคุณเลยไม่ได้โทรบอก” หญิงสาวหน้าเศร้า คิดว่าเขาคงโกรธที่ไปรอนาน
“ช่างเถอะ”
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
“ลุงยามให้โทรถามวงดนตรีก็เลยรู้”
“แล้วคุณมาที่นี่ทำไมคะ มีธุระแถวนี้เหรอ” หญิงสาวถามเสียงใสแปลกใจว่าเขามาทำอะไรที่ต่างจังหวัด
“ก็เป็นห่วงไงถามได้ มาดูให้รู้ว่าไม่เป็นอะไรเดี๋ยวก็กลับแล้ว” ชายหนุ่มยังไม่เลิกทำหน้าตึงใส่
“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวดีใจที่เขาเป็นห่วงจึงยิ้มสดใสสะกดใจเขาให้หลงใหลเธออีกแล้ว ใบหน้าคมมองความน่ารักตรงหน้าเหมือนเคลิ้มไป
“อย่ายิ้มแบบนี้ให้คนอื่นนะ”
“ฉันไม่รู้หรอกคะว่าตัวเองยิ้มแบบไหน”
“ก็แบบที่ยิ้มให้ผมไง ผมไม่อยากให้ใครเห็นว่าคุณยิ้มน่ารักขนาดไหน” ภาคภูมิเขยิบเข้ามาใกล้อมยิ้มกับสิ่งที่ตัวเองพูดไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงหวงสาวตาบอดคนนี้นัก
“ฉันต้องทำหน้านิ่งตลอดเหรอคะ”
“ใช่ ยิ้มแค่เวลาอยู่กับผม”
“ยากจังฉันชอบยิ้มซะด้วย ถ้ายังไงจะยิ้มให้น้อยลงแล้วกันนะคะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้กับเขาทำให้ชายหนุ่มอดใจไม่ไหวจุ๊บริมฝีปากบาง แล้วผละออกมามองหน้าหญิงสาวที่นั่งนิ่งสักพักก็มีน้ำตาคลอเบ้า
“คุณไม่ควรทำแบบนี้ ถึงจะตาบอดฉันก็มีศักดิ์ศรีไม่ใช่จะให้ใครมาทำอะไรก็ได้”
“ผมขอโทษ ไม่ได้คิดจะดูถูก ผมไม่ได้ตั้งใจ” ชายหนุ่มรีบขอโทษไม่คิดว่าจะทำให้เธอไม่พอใจ ปกติหญิงสาวคนอื่นจะชอบให้เขาทำเกินเลยแม้จะรู้จักกันไม่ถึงชั่วโมงก็พาขึ้นเตียงได้ เขาคิดน้อยเกินไปที่คิดว่าเธอจะเหมือนผู้หญิงที่เคยผ่านมา ด้านหญิงสาวไม่พูดต่อลุกขึ้นเดินเร็ว ๆ จนสะดุดกับท่อนหินล้มลงไปนั่งกับพื้น ภาคภูมิตกใจรีบวิ่งไปประคองแต่เธอสะบัดตัว มือไม้ปัดป่ายไม่ให้เขาแตะต้อง
“ได้ ๆ ผมปล่อยแล้ว” ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวก้มหน้างุด เสียงร้องไห้ลอดออกมาจนเขาใจหาย มือหนาจึงจับแก้มเนียนให้เธอเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อเห็นน้ำตาอาบแก้มเขายิ่งรู้สึกผิด
“ฉันอยากเป็นเพื่อนกับคุณ ไม่อยากทะเลาะกัน ขอร้องอย่าดูถูกฉันแบบนี้อีกได้ไหม” เสียงหวานสั่นเครือน้ำตานองหน้า
“ได้สิ ผมจะไม่ล่วงเกินคุณอีก เรามาดีกันนะ ผมขอโทษ” สายตาคมมองหญิงสาวอย่างกังวล กลัวว่าเธอจะไม่ยอมยกโทษให้ ก่อนที่นิ้วก้อยน้อยของเธอจะยกขึ้นมาให้เขา ชายหนุ่มยิ้มดีใจเกี่ยวก้อยดีกันกับเธอ มือหนาลูบหน้าเช็ดน้ำตาให้หญิงสาว ทั้งสองยิ้มให้กัน
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว