พิษร้ายพ่ายไฟรัก (18+)-บทที่ 22 แต่งงานกันนะ

โดย  เพาะฝัน

พิษร้ายพ่ายไฟรัก (18+)

บทที่ 22 แต่งงานกันนะ

ก่อนนอนตอนที่เสร็จกิจทุกอย่างแล้ว อัสมายอมรับว่ารู้สึกอ่อนเพลียไม่น้อย ทว่าก็ตั้งใจไว้ว่าจะตื่นให้เช้าหน่อยด้วยมานอนที่บ้านใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรก ซึ่งมีทั้งคุณปู่และคุณย่า หากตื่นสายเกรงว่าจะถูกมองไม่ดี อย่างไรเสียเธอก็ถือเป็นแคนดิเดตหลานสะใภ้ของเหมราช ไม่มีคู่แข่งเสียด้วย

ถึงกระนั้นตอนที่เธอลืมตาขึ้นมาก็เก้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว อัสมาตาลีตาเหลือกรีบรุดจากที่นอน พับมันให้เรียบร้อยก็ตรงไปเข้าห้องน้ำอย่างไม่รอช้า ใช้เวลาแค่ครู่สั้นๆ ในการจัดการธุระส่วนตัวแล้วจึงใช้ผ้าขนหนูพันรอบกายออกมาด้านนอก เมื่อกี้ก็ลนจนรีบไม่ทันได้คิดว่าไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเผื่อสำหรับวันนี้ ตอนนี้เธอไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่แล้ว จึงเดินไปหวังคว้าโทรศัพท์มือถือมาติดต่อหาใครบางคน

ประตูถูกเปิดจังหวะเดียวกันกับที่เธอจะแตะหน้าจอเพื่อโทร. ออก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม “ไปไหนมาเหรอคะ”

ชายหนุ่มในชุดลำลองส่งถุงผ้าในมือให้คนตัวเล็กที่แม้จะไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ก็ยื่นมือไปรับไว้ทันที “ออกไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ ไม่มีแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ค่ะ หนูกำลังจะโทร. ไปหาอี้ให้น้องเอาเข้ามาให้ยืมสักชุด”

“ยืมทำไม ไม่ให้ใส่ของคนอื่น”

อัสมายู่หน้า “คนอื่นอะไรคะ น้องสาวหนูทั้งนั้น”

“ให้ใส่ได้แค่ของตัวเองกับของฉัน”

คนฟังได้แต่ยิ้มแหยกับความขี้หวงไม่เข้าท่า แต่เธอสายแล้ว ถ้ามัวแต่เถียงกันคงได้ลงไปช้ากว่าเดิม เท่าที่ตื่นเก้าโมงกว่าก็ทำให้อัสมารู้สึกกังวลมากแล้ว ระหว่างเดินเข้าห้องน้ำ ปากก็เอ่ยถาม “หนูตื่นสายแบบนี้คุณย่าว่าอะไรไหมคะ ตั้งใจจะตื่นให้เช้ากว่านี้แล้วเชียว”

ประตูห้องน้ำปิดลง แต่ปราชญาธิปยังปักหลักในห้องนอนไม่ไปไหน เลือกจะเดินไปนั่งที่เตียงเพื่อรอลงไปพร้อมอีกฝ่าย

“ไม่ว่าอะไรหรอก บอกไปแล้วว่านอนดึก”

เสียงแห้วดังขึ้นจากในห้องน้ำ ตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนรอ

“นิสัยไม่ดี” เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังออกมาให้ได้ยิน ทว่าเขาไม่คิดเถียง จนกระทั่งคนที่รอเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดที่เขาเพิ่งออกไปซื้อให้เมื่อตอนตื่นนอน ทุกอย่างพอดีตัวอัสมาไปเสียหมด ทั้งเดรสสีฟ้าอ่อนที่สั้นเหนือเข่าพอน่ารัก ทั้งเสื้อคลุมที่มาคู่กัน รวมไปถึง “คุณซื้อมาพอดีตัวหนูไปหมดทุกอย่างได้ยังไงคะเนี่ย เก่งจัง”

เขาระบายยิ้ม “ก็จับมาหมดแล้ว”

อัสมาเสียอาการประมาณหนึ่ง ด้วยรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เสื้อชั้นในตัวใหม่ที่เขาซื้อให้นั้นเธอใส่ได้พอดีประหนึ่งตนเองเป็นคนเลือกมากับมือ ก่อนจะพยายามกลบเกลื่อนความเขินแล้วเสเปลี่ยนเรื่อง “จะไปนครนายกเลยไหมคะ”

“ไปเลย บอกย่าไปแล้วว่าจะมาใหม่ตอนย่าได้ฤกษ์”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงเลยค่ะ”

“ทำไม” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมตบไปที่หน้าตักของตน อัสมาที่จัดแจงแต่งตัวอะไรเสร็จสรรพแล้วจึงเดินไปหาอย่างว่าง่าย ทิ้งตัวนั่งลงบนตักแกร่งก่อนจะออดอ้อนออเซาะชายหนุ่มด้วยการซบไปที่อก มือบางก็โอบกอดคนตัวใหญ่ไว้หลวมๆ เช่นเดียวกับที่เขาทำ “ไม่อยากเชื่อที่ว่านี่ดีหรือไม่ดี”

“ดีค่ะ ดีมากๆ แค่มันดูเหลือเชื่อสำหรับชีวิตหนูน่ะ ย้อนกลับไปไม่กี่เดือนที่แล้วที่เราเจอกันครั้งแรก วันนั้นหนูยังเป็นแค่เด็กเสิร์ฟที่ทำให้คุณไม่ชอบหน้าอยู่เลย แต่มาวันนี้” เธอหยุดพูดแล้วอมยิ้มให้กับสถานะใหม่ของตัวเอง แต่สุดท้ายก็พูดออกมาจนได้ “ได้เป็นว่าที่เจ้าสาวของคุณแล้ว มันอึ้งน่ะค่ะ”

คิดไปถึงวันนั้น เขาก็นึกขำขันกับมันพอสมควร “วันนั้นยอมรับว่าไม่พอใจละนะ แต่ก็ขอบคุณความใจกล้าของเธอเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นฉันก็จำเธอไม่ได้ และไม่คิดจะจำหรือสนใจ แต่มันก็ไม่แน่นัก”

“ยังไงคะ” สาวเจ้าผละออกจากอกเพื่อมองหน้าชายหนุ่ม

“ถ้าฉันจะต้องชอบเธอจริงๆ ไม่ว่าจะเจอกันแบบไหน ฉันก็คงชอบแหละ” พูดเอง คนมีมาดก็เขินเอง “เธออยู่ที่นี่นานรึยัง”

หญิงสาวฉงนที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ทว่ายอมตอบกลับไป “ตั้งแต่เกิดค่ะ”

“ไม่สิ หมายถึงกลับมาอยู่ที่บ้านนานหรือยัง หลังจากไปทำงานที่กรุงเทพฯ”

“อ๋อ” ว่าหลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ก็มาช่วงปลายเดือนพฤษภาฯ ค่ะ พ่อกับแม่เกิดอุบัติเหตุตอนนั้น หนูก็เลยต้องย้ายกลับมาที่บ้าน ว่าแต่ถามทำไมเหรอคะ”

“ฉันซื้อบ้านหลังนั้นพร้อมๆ กับหลังของผักกาดตอนที่ท้องปาเก๋ากับปาโก๋ได้หกเจ็ดเดือน ระหว่างนั้นก็ไปๆ มาๆกรุงเทพฯ นครนายกอยู่เรื่อย มีบ้างที่ไปทำธุระที่อื่น แต่หลักๆ แล้วก็อยู่แค่สองที่ แต่ฉันไม่เคยเจอเธอเลย”

อัสมานิ่งไปชั่วครู่ “นั่นสิคะ หนูก็ไม่เคยเจอคุณโปรดเหมือนกัน วันแรกที่เจอยังคิดอยู่เลยว่าคุณน่าจะไม่ใช่คนแถวนี้ หรือถึงใช่ก็ไม่คิดว่าหลังจากวันนั้นจะได้เจอกันอีก หลงดีใจไปเลยค่ะตอนคิดแบบนั้น”

เขานิ่วหน้าใส่ เธอแค่ระบายยิ้ม

“ก็หนูอายนี่ พอคิดว่ายังไงก็คงเจอกันแค่วันนั้นวันเดียว เลยโล่งใจ ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่ร้านเสี่ยพลุอีก ไหนยังมีอะไรดลใจให้ไปสมัครงานที่ร่ำเมรัย มารถล้มวันนั้น ไปวัดในป่าในเขายังได้เจอคุณเลยค่ะ หนูแสนงง”

“วัดนั้นบ้านไอ้ส.ส. มันบริจาคอยู่ตลอดน่ะ” อัสมาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นถึงได้เจอคนกลุ่มนี้ “ฉันก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอบ่อยๆ แบบนั้น จนบางครั้งเวลาที่ฉันไปไหนยังเผลอคิดไปว่าจะเจอเธอไหมน่ะ บางทีอาจจะชอบเธอตั้งแต่ตอนที่เห็นผ่านตาบ่อยๆ ก็ได้ เพราะงั้นจะเริ่มยังไงไม่สำคัญหรอก ถ้าจะชอบ ยังไงก็ชอบ”

คนตัวเล็กยิ้มร่าด้วยใบหน้าซุกซน “วันนี้คุณเป็นอะไรคะเนี่ย พูดจาน่ารักจัง”

“แล้วที่ผ่านมาไม่น่ารักเหรอ”

“น่ารักค่ะ ไม่งั้นหนูไม่รักหรอก”

“เธอก็พูดจาน่ารักเหมือนกันนั่นแหละ” ว่าจบก็หอมไปที่แก้มนุ่มฟอดใหญ่ โดยไม่ปล่อยให้อีกข้างน้อยใจ “หอมจัง”

อัสมายิ้มกริ่ม กดริมฝีปากที่แก้มทั้งสองข้างของเขาแล้วยอกย้อนกลับไปว่า “หอมจัง”

ใจปราชญาธิปตอนนี้นั้นคงมีสภาพไม่ต่างอะไรจากขี้ผึ้งที่ถูกไฟลน เขาอยากฟัดเธอทั้งวันจนไม่อยากทำอะไรนอกจากนี้ แต่ก็รู้ดีว่าทำเช่นนั้นไม่ได้ อันที่จริงปู่กับย่าและน้องๆ ก็รออยู่ แต่เขาไม่อยากเร่งอัสมา ไหนยังมาลีลาหยอกเอินกันอีก จึงได้แต่หวังว่าคนอื่นจะทำความเข้าใจและไม่ติเตียนอะไร

ก็เขารักของเขา พอรักแล้วก็อยากน้วยอยากอ้อน คนเพิ่งเคยจะมีสาวให้ทำเช่นนี้จะเห่อนิดเห่อหน่อยไม่ได้เชียวหรือ

“ไปเถอะ ได้กลับบ้านกัน”

ถ้าอยู่บ้านเขาคงไม่ต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจใคร จะฟัดอัสมาให้จม

นัยน์ตาเรียวเล็กเบิกโต “โอ๊ะ! หนูลืมไปเลยค่ะว่าต้องรีบลงไป” ว่าจบก็ผละออกจากตัก ปราชญาธิปหยัดยืนเต็มความสูงก่อนจูงมือคนตัวเล็กให้เดินลงไปด้านล่าง สัมภาระของเธอและเขาถูกยกไปเก็บไว้ในรถเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นว่าหนึ่งในสองแฝดช่างจ้อกำลังคุยกับย่าอย่างออกรส ย่าของเขาเป็นพวกขี้เหงา ชอบพูดชอบคุย แต่หลังๆ มานี้ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน นานๆ ทีจะมา ปู่ก็ไม่ใช่พวกชอบพูดมาก แต่เป็นคนที่ฟังย่าพูดเสมอ พอได้เจอคนคอเดียวกันเช่นอาภาสินีจึงดูเหมือนจะถูกอกถูกใจ

หางตาของแฝดน้องเหลือบมาเห็นคนมาใหม่จึงรีบเอ่ยทัก บทสนทนาระหว่างคนต่างวัยจึงถูกหยุดก่อนสายตาทุกคู่จะหันมาทางคู่รัก อัสมายกมือไหว้คุณย่าสายน้ำผึ้งที่พอเห็นว่าที่หลานสะใภ้ก็ส่งยิ้มพิมพ์ใจให้ทันที มือข้างหนึ่งตบลงที่ว่างข้างตัว เห็นอย่างนั้นสองขาก็เดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ญาติผู้ใหญ่แล้วทิ้งตัวนั่งลง

เมื่อวานมีโอกาสได้พูดคุยกันอยู่นานสองนาน สายน้ำผึ้งทลายความประหม่าของอัสมาเสียอยู่หมัด

“หลับสบายดีไหมลูก”

คนเด็กกว่าพยักหน้าให้คู่สนทนา “สบายมากค่ะ สบายจนหนูเผลอตื่นสายเลย ขอโทษนะคะ”

มือเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาของสายน้ำผึ้งรีบโบกเพื่อปฏิเสธคำพูดของเด็กสาว “ขอโทษอะไรกันล่ะลูก จะตื่นตอนไหนก็ไม่มีใครว่า สำคัญคือพักผ่อนให้เต็มที่ก็พอ”

“ค่ะ”

“เดี๋ยวย่ากับปู่ไปสู่ขอนะ ย่ารู้เรื่องแม่หนูแล้ว เอื้อบอกย่าหมดละ ถึงอย่างนั้นย่าก็จะไปบอกให้แม่หนูรู้ เรื่องสินสอดทองหมั้นย่าทุ่มไม่อั้น หนูห้ามเปลี่ยนใจนะ”

เธอไม่คิดว่าหญิงชราจะพูดตรงประเด็นหลังพูดคุยด้วยหัวข้อทั่วๆ ไปได้แค่ไม่กี่ประโยค แต่ก็พอจะตั้งรับทัน เพราะพอท่านพูดเช่นนั้น อัสมาก็ตอบออกมาทันทีโดยไม่ทิ้งช่องว่างให้ความลังเลเข้าแทรก

“ไม่เปลี่ยนแน่ค่ะ”

ได้คำตอบที่น่าพึงพอใจก็เผยยิ้มออกมา “พรุ่งนี้ย่าจะไปดูฤกษ์ดูยามให้นะ โน่น พระเขาอยู่ที่ขอนแก่นโน่นล่ะ ได้ฤกษ์เมื่อไร่เดี๋ยวย่าจะรีบบอก หนูเตรียมตัวไว้เลยนะ”

ปราชญาธิปที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลได้แต่หรี่ตามองผู้เป็นย่า ทีไปหาเขาแค่นครนายกบอกตนแก่ ไม่อยากเดินทางไกลๆ แต่ขอนแก่นไปได้ ต่อไปนี้ย่าพูดอะไรเขาจะได้รู้ว่าต้องหาร

“ขอนแก่นเดี๋ยวนี้ก็เจริญแล้วนะคะ ที่เที่ยวก็เยอะ” อาภาสินีเอ่ยขึ้น

“เอื้ออยากไปไหมล่ะลูก ไปเป็นเพื่อนย่าหน่อย” หญิงชราเริ่มหาแนวร่วม ถามพลางพยักหน้าถี่ๆ หวังให้แฝดผู้พี่ใจอ่อน

ด้านคนไม่ค่อยได้ไปเปิดหูเปิดตานั้นแสดงความดีใจอย่างไม่ปิดบัง “เอื้ออยากไปค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นให้สามคนเขากลับไปก่อน เอื้อนอนนี่อีกสักคืน พรุ่งนี้ค่อยไปขอนแก่น เสร็จธุระแล้วย่าจะแวะส่งที่บ้าน” พูดจบประโยคก็หันไปทางแฝดผู้น้อง “อี้อยากไปด้วยไหมลูก”

อภิชยาส่ายหน้าด้วยความเกรงใจ ใจนึกอยากบ่นฝาแฝดของตนแต่ก็รู้ดีว่าเวลานี้ไม่สมควร “อี้ขอกลับบ้านแล้วกันค่ะ”

หญิงชราไม่คิดดื้อดึง พยักหน้ารับคำด้วยท่าทีใจดีก่อนหันหน้ากลับมาทางหญิงสาวข้างกาย “ย่าขอยืมตัวน้องสาวหนูสักประเดี๋ยวนะลูก คุยกันถูกคอเหลือเกิน ย่านี่หายเหงาไปเยอะ”

อัสมาอยากจะบ่นน้องสาวอยู่เหมือนกัน แต่บ่นไปก็คงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อีกอย่างคุณย่าก็ออกปากพูดขนาดนี้แล้ว อาภาสินีเองก็อยากไปกับท่าน อัสมาจึงน้ำท่วมปากตอบออกไปได้แค่ตกลงให้เจ้าตัวได้อยู่ที่อีกหนึ่งคืน ปราชญาธิปก็ไม่คิดคัดค้าน ด้วยรู้ว่าย่าของตนเป็นคนขี้เหงา ก็ให้เจอกับคนเช่นอาภาสินีไป

มวยถูกคู่ เอาให้รู้ซึ้งว่าอยู่เหงาๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่นัก

อัสมาไม่ลืมย้ำน้องสาวตอนที่เจ้าหล่อนเดินออกมาส่ง เพราะถึงจะรู้ว่าคุณย่าสายน้ำผึ้งใจดี แต่ท่านก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ การปล่อยให้อาภาสินีอยู่กันตามลำพังเกรงว่าจะไม่มีใครคอยห้ามเวลาน้องพูดไปเรื่อย เกรงว่าบางครั้งอาจจะพูดไม่เข้าหูแล้วทำให้ท่านไม่สบอารมณ์เข้า

“เอื้อต้องคิดให้มากๆ นะเวลาพูดอะ-” เธอหยุดประโยคไว้เท่านั้น สั่นหน้าไปมาแล้วเริ่มต้นพูดใหม่ “เอื้ออย่าคิดอะไรให้มันลึกซึ้งเกินคนปกตินะ พูดอะไรก็เกรงใจคุณย่าให้มากๆ คุณย่าไม่ใช่พี่หรืออี้ที่จะฟังเอื้อพูดแล้วทำความเข้าใจยอมรับได้ว่า เออ ก็เอื้ออะ ก็เอื้อไง อะไรแบบนี้ พอจะนึกออกไหม”

“ฮะ เอื้อแล้วมันทำไม”

อัสมาลอบถอนหายใจ หากเวลานั้นมาถึงเธอก็พร้อมจะขอโทษคุณย่าและหวังว่าท่านจะอภัยให้กับความไปเรื่อยของน้องสาว ปราชญาธิปบอกว่าคุณย่าใจดี ท่านคงไม่ใจร้ายถึงขนาดจะไม่ให้โอกาสเธอได้แก้ตัว เพราะเธอก็จนปัญญาเหลือเกินที่น้องสาวคนนี้เป็นคนเช่นนั้น

อัสมาส่ายหน้า “ถึงเวลาแล้วอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พี่ไปนะ”

“แล้วอะไรจะเกิดที่ว่านี่คืออะไรล่ะ”

เธอทิ้งให้น้องสาวอยู่กับความฉงนก่อนหมุนตัวกลับไปขึ้นรถ หันไปมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยอย่างปลงตก

รถของพี่เขยแล่นออกไปแล้ว ทว่าอาภาสินียังไม่ก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่ เด็กสาวครุ่นคิดถึงประโยคบอกเล่าไร้ที่มาที่ไปของพี่สาวอยู่ครู่ใหญ่ เหตุใดต้องพูดเช่นนั้น มันจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ อะไรกันที่ถึงเวลาจะเกิดก็ต้องเกิด

ลูก… “หืม?”

เกิดลูก ลูกเกิด? ก็อะไรจะเกิดได้ถ้าไม่ใช่ลูก

“พระเจ้าช่วย เรื่องจริงไหมเนี่ย”

ความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวเป็นอันดับแรก ความคิดที่สอง สามและสี่จึงไม่ถูกคิดต่อเพราะปักใจเชื่อไปแล้ว

ดวงตาเบิกโตด้วยความตกใจ รีบปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด หล่อนจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้คุยกับพี่เขยนั้นถือเป็นเวลาเช้ามาก แปลว่าทั้งสองคนนอนด้วยกันที่บ้านใครสักคนซึ่งมีแนวโน้มว่าเป็นบ้านฝ่ายชายถึงได้อยู่ด้วยกันในช่วงเวลาเช่นนั้นได้ ระหว่างทางกลับพี่สาวก็เล่าให้ฟังถึงความเป็นไปในครอบครัว ทั้งเรื่องที่ย้ายไปอยู่บ้านพี่เขย ทั้งเรื่องหนี้สิ้นพะรุงพะรังจากอุบัติเหตุครั้งนั้นว่าพี่เขยใจป้ำชำระให้หมดทุกบาททุกสตางค์ เรื่องนั้นสำคัญแต่ไม่ใช่ประเด็นหลักในหัวของอาภาสินีในตอนนี้ ที่จับใจความได้คือพี่สาวของหล่อนอยู่บ้านพี่เขยมานานพอสมควร รวมถึงเมื่อคืนที่บ้านหลังนี้ หรือคืนก่อนที่ลำปาง

ขาเรียวเล็กรีบก้าวเข้าไปในบ้าน เด็กสาวหน้าตาตื่นนั่งลงตำแหน่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประมุขของบ้าน

“คุณย่าคะ เอื้อคิดว่าพี่อัสน่าจะกำลังท้องค่ะ”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว