‘Side Arena 5E 8.00 PM Good luck’
Side arena เธอรู้จัก... ร้านอาหารจีนเขตนอกเมือง แถบมารีน่า เธอเคยทานครั้งหนึ่งตอนที่นัดทานข้าวเย็นหลังเลิกงานกันสามคนกับหมิงลู่และเหม่ยเซียน แต่เธอไม่ถูกใจเลยไม่ได้ไปอีกเลย
ร้าน Side Arena โต๊ะ5E ตอนสองทุ่ม? มีอะไรนะ... ต้องการจะนัดเธอ?
ลี่ฮวาหันมองนาฬิกา ตอนนี้ 6 โมง มีเวลาสองชั่วโมงก่อนถึงเวลาในข้อความ ขับรถไปร้านอาหาร 45 นาที..
เธอลุกขึ้นล้างหน้าอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำขายาวพอดีตัว และกลิ่นน้ำหอมสดชื่นประจำตัวของเธอตามความเคยชินของเธอ ในกระจกมีสาวน้อยผิวขาวซีดดูผอม มีนัยน์ตาเฉี่ยว ดูช้ำแดงเล็กน้อยจากการร้องไห้อย่างหนัก เธอพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้ในหัวจะคิดอะไรไม่ออกเลยก็ตาม แต่ความจริงสามารถพิสูจน์ได้ เธอต้องรู้ให้ได้ว่ามันจะใช่อย่างที่เธอคิดรึเปล่า และคนที่ส่งซองนี้มาต้องการอะไร
ลี่ฮวาหยิบโทรศัพท์ส่งข้อความหาหมิงลู่ “หมิงลู่ วันนี้คุณจะเข้ามาทานข้าวที่บ้านรึเปล่าคะ? ”
“ขอโทษนะครับคนดี วันนี้ผมคงต้องอยู่เคลียงานที่บริษัทคงจะดึกแน่ๆ ไม่ต้องรอผมแวะเข้าไป ทานข้าวพักผ่อนเลยนะครับหรือว่าให้ผมสั่งให้ส่งไปที่บ้านคุณเหมือนเดิมมั้ย”
ข้อความปกติของหมิงลู่ที่ตอบกลับมาหากเป็นเมื่อก่อนลี่ฮวาคงไม่รู้สึกแต่ครั้งนี้เธอกลับรู้สึกจุก เหมือนถูกบีบรัดยังไงไม่ทราบ แต่ไม่เป็นไร เธอก็มีนัดเหมือนกัน หากเป็นปกติเขาคงไม่คิดว่าวันนี้เธอจะออกจากบ้านแน่ๆ ดวงตาของลี่ฮวาหรี่ลง จ้องข้อความอ่านทวนซ้ำอีกครั้ง และตอบกลับไปเหมือนทุกๆวัน
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกัน คงจะนอนเร็ว คุณอย่าทำงานจนลืมทานข้าวนะคะ”
ตลอดที่คบกันหมิงลู่ไม่เคยล้ำเส้นหรืออกนอกลู่นอกทางกับเธอเลย ทำให้เธอยิ่งวางใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของเขา มากสุดอาจแค่เคยกอดถึงแม้ว่าคบกันมาหลายปี เขาพร้อมอดทนและรอเธอเสมอ สมัยเรียนก็ไม่เคยเห็นสนิทกับสาวคนไหนเป็นพิเศษ แม้สาวๆจะมาสารภาพรักยาวเป็นแถวแต่ก็ใจสลายกันไปตามๆกัน
ลี่ฮวาหยิบกุญแจ ขับรถมุ่งหน้าไปตามเส้นทาง เปิดประตูเข้าไปในร้าน ทั้งๆที่ในใจกำลังหวั่น
ร้านอาหารจีนนี้แบ่งที่เป็นสัดส่วน เน้นไปที่ความกว้างและความสงบมาก เสียงเพลงคลอ และไฟสลัวทำให้โต๊ะแต่ละโต๊ะที่มีผนังกั้นสูงครึ่งลำตัวยิ่งดูส่วนตัวมากขึ้น นักธุรกิจหลายคนจึงมักมาคุยงานที่นี่ ร้านนี้ถึงจะเงียบแต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาโดยที่ไม่ได้จองโต๊ะล่วงหน้า
เอาล่ะ ถึงร้านแล้ว จะทำไงต่อดีล่ะทีนี้เธอทำตัวไม่ถูกจริงๆนะ “เอ่อ..โต๊ะ5E…”
บริกรหนุ่มเงยหน้ามองเธอกับสมุดเล่มเล็กในมือ แล้วผายมือตอบ
“สักครู่นะครับ อ้อ... คุณลี่ฮวาที่จองไว้ตอน 2 ทุ่มสินะครับเชิญทางนี้ได้เลย”
พนักงานนำเธอขึ้นไปชั้นสองของร้าน เธอไม่เคยขึ้นมาบริเวณนี้ ยิ่งเห็นว่าชั้นบนนี้จะดูหรูกว่าโต๊ะด้านล่างอีก ที่กั้นทุกโต๊ะจะมีต้นไผ่บางๆ ปลูกไว้สวยงาม ส่วนตัวมากกว่าเดิม โต๊ะ5E เป็นโต๊ะด้านมุมในสุด คนที่ส่งซองมา แล้วยังนัดเธอ ต้องการอะไรกันแน่ เรียกค่าไถ่ ข่มขู่ หรือจะโดนฆาตกรรมรึเปล่า
ฮือ... อยู่ในที่ไม่รู้จัก ภาวะแวดระวังของเธอและสมองของเธอตื่นตัวเต็มที่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเธอยังนั่งคิดแต่เรื่องของพ่ออยู่เลย ถึงแบบนั้นภายนอกก็ยิ่งต้องดูสงบ เธอเดินด้วยท่วงท่าเด็ดขาดของนักธุรกิจสาวเข้าไปนั่งที่โต๊ะและสั่งเพียงน้ำกับอาหารเล็กน้อย แล้วบริกรก็เดินจากไป ตอนนี้เหลือแค่รออีกฝ่ายมาสินะ
เวลานั้นบริกรก็วางถ้วยขนมหวานและน้ำแข็งไสในจานคริสตัลเล็กน้อย ถ้วยขนมหวานจานนี้ดูระยิบระยับมากๆ
ได้ยินว่าร้านนี้มีของขึ้นชื่อเป็นขนมหวาน แต่เธอไม่ได้สั่งนี่
“ไม่ทราบว่าจานนี้..?”
“อ๋อ จานนี้สั่งไว้พร้อมกับตอนโทรมาจองโต๊ะน่ะครับคุณผู้หญิง ยังมี หูฉลาม ซุปรังนก ไข่ปลา บลาๆๆ...”
ชื่อที่ร่ายมายาวเป็นหางว่าว ตอนนี้เธอดูเป็นคนมีอารมณ์มานั่งละเมียดชิมขนมอาหารของโปรดอะไรแบบนั้นรึไง! คิดแง่ดี ‘ใครคนนั้น’ อาจจะสั่งมาทานเองก็ได้ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้วนี่นะ
หลังจากสงบใจได้แล้ว เธอก็ทานอาหารบนโต๊ะ ที่วางมาเรื่อยๆแบบไม่มีทีท่าจะหยุด จานนั้นนิดจานนั้นหน่อย ขนมหวานที่ชอบอีกนิด ทานรอแบบนี้ก็ไม่เลว... วันนี้เธอยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลยนี่นา จนกระทั่งเวลาล่วงเกือบ 3 ทุ่ม
นี่เธอทานคนเดียวจะหมดโต๊ะแล้วนะ! ขนมหวานนี่จานที่ 4 แล้ว บริกรเห็นเธอกินหมดก็จะสั่งถ้วยใหม่มาทันทีแบบนี้เรื่อยๆ ต่อให้เธอชอบขนาดไหน กินรอมาเกือบชั่วโมงแบบนี้ก็ไม่ไหวมั้ง ยังไม่นับค่าอาหารที่ดูฟุ่มเฟือยขนาดนี้ จานนึงดูแล้วย่อมไม่ถูก ขนมหวานที่เธอทานเข้าไปมีกลิ่นหอม รสชาติละมุนมากยิ่งแล้วใหญ่ เธอมีเงินแต่ก็ไม่เคยสั่งกินทิ้งกินขว้างอะไรขนาดนี้ ‘ใครคนนั้น’ จะมากี่โมงกันเนี่ย?
“น้ำแข็งไสนี่พอแล้วนะคะ... คนที่จองเขาสั่งไว้กี่ถ้วยคะ”
“คุณผู้ชายบอกว่า ให้เสิร์ฟจานใหม่ได้เรื่อยๆ จนกว่าคุณผู้หญิงจะทานอิ่มครับ ค่าอาหารทั้งหมดคุณผู้ชายชำระไว้ล่วงหน้าแล้ว คุณผู้หญิงต้องการอะไรเพิ่มรึเปล่าครับ” บริกรยิ้มแย้มท่าทีดูดีนอบน้อมมาก
คุณผู้ชาย อืม... ข้อมูลใหม่ สรุปคือ ดีนะที่เธอไม่ได้ทานต่อไปเรื่อยๆ เพราะไม่งั้นคงทานไม่มีหมดท้องต้องอืดก่อนแน่ๆเลย แถมยังจ่ายให้เรียบร้อยแล้วอีก เฮ้อ ความหวาดระแวงผุดขึ้นในหัวเธอทุกที ในวงการนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก...
“พอดีว่าฉันให้เพื่อนโทรมาจองไว้ แต่ตอนนี้ทำเบอร์ของเพื่อนหาย รบกวนจดเบอร์ของเพื่อนฉันทีได้รึเปล่าคะ ติดต่อเพื่อนไม่ได้แบบนี้ฉันต้องแย่แน่ๆเลย” ลี่ฮวาตัดสินงัดแผนหญิงงามขึ้นมา ริมฝีปากชุ่มฉ่ำ ดวงตาเฉี่ยวจ้องมองบริกรจนลนลาน ชั่วแวบนึงที่ใจลอย ไม่ได้คิดถึงความผิกปกติ ตอบตกลงไป “ครับ...ได้ครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอยิ้มหวานเล็กน้อย นี่คือรอยยิ้มการค้าของเธอเลยล่ะ หลังจากนั้นพนักงานก็จดเบอร์มาให้ เธอจำเอาไว้ หวังว่าวันนี้คงคุยกันรู้เรื่องว่าเค้าต้องการอะไร ระหว่างที่กำลังคิด ลี่ฮวาได้ยินเสียงผู้หญิงอันคุ้นเคยเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“ที่รักคะ วันนี้เหนื่อยมากไหม ทานข้าวเสร็จแล้วไปพักกับเหม่ยเหมยดีมั้ย”
“เหม่ยเหมย ตอนนี้เราอยู่ข้างนอกนะครับ หากใครได้ยินเข้าจะว่ายังไง”
เสียงผู้หญิงเบา อ่อนหวาน ออดอ้อน งุ้งงิ้ง กับฝ่ายชายอีกซักพักจึงลงไปนั่งโต๊ะด้านหน้าของลี่ฮวา ด้วยความที่มีไม้ไผ่กั้นอย่างดี จึงเห็นเพียงช่องลอดนิดหน่อย และไฟของโต๊ะลี่ฮวาสลัวมาก หากไม่สังเกตจ้องมองคงดูไม่ออก
จะอะไรซะอีก... เสียงชายหญิง นั่นก็เสียงเพื่อนรักของเธอ อิ่นเหม่ยเซียน! กับแฟนตัวดีของเธอไง จางหมิงลู่ ที่กำลังจะแต่งงานกับเธอในปีหน้า! รู้จักกันมากี่ปี เธอไม่มีทางลืม... เสียงเบา หวานนุ่มที่ตอนนี้เหมือนมีดที่กำลังกรีดลงบนใจของเธอ เธอไม่มีทางจำผิด ทั้งสองมือค่อยๆกำโดยไม่รู้ตัว เล็บทั้ง 5 จิกลงบนมือจนแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บในตอนนี้เหมือนเครื่องเตือนสติให้เธอใจเย็น เพื่อจะไม่ลุกไปทำให้เสียเรื่อง
แต่... กับภาพตรงหน้า มันเกินที่ลี่ฮวาคิดไว้จริงๆ เหม่ยเซียนในเดรสเกาะอกสีชมพูพาสเทล กระโปรงเป็นผ้าบางเบาระบายดูสวยหวาน มวยปลายผม แต่งหน้าเนียน ขนตาเป็นแพ ริมฝีปากแดงระเรื่อ นั่งชิดซบไหล่ ทานข้าวป้อนข้าวกับหมิงลู่ พอยิ่งคิดว่าเคยห่วงหญิงตรงหน้า เคยไว้ใจผู้ชายตรงหน้า ความโกรธยิ่งพุ่งสูงขึ้น ปากของลี่ฮวาเม้มจนแดง ฟันบนกัดริมฝีปากล่างจนเลือดออกเล็กน้อย
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สองคนนี้ใช่คนที่เธอเคยรู้จักจริงๆหรือ?
ระหว่างที่กำลังคิด เสียงของฝ่ายหญิงก็ดังขึ้น เสียงเบากระอ้อมกระแอ้ม
“หมิงหมิงคะ เอ่อ... เรื่องงานแต่งของคุณ คุณ”
หมิงลู่ยกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ทราบทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไร
“ที่รัก คุณก็รู้ว่าผมต้องแต่งกับลี่ฮวา เราเคยคุยกันแล้วนี่ครับ เราเดินมาขนาดนี้ อีกไม่นานหลังจากแต่งงานสมบัติทั้งหมด เงินทอง และบริษัทเครือตระกูลจิวก็จะเป็นของผม ผมก็จะกลายเป็นประธานบริหารที่เหมาะสมกับคุณที่สุดไงครับ เพื่อที่คุณจะได้เป็นคุณนายจาง ใช้ชีวิตสุขสบายไม่ต้องลำบากอีก”
“แต่ตอนนี้คุณก็เป็นเจ้าของสาขาบริษัทจิวตั้งหลายที่แล้วไม่ใช่หรือคะ ฉันไม่รังเกียจคุณหรอก แค่อยากให้ทุกคนรู้เสียทีว่าเราเป็นอะไรกัน เพื่อนที่ทำงานของฉันน่ะ ชอบแกล้งหาว่าฉันโกหกว่ามีแฟน ฉันอึดอัดจะแย่แล้ว หลายปีนี้คุณสัญญาว่าจะเปิดตัวฉันแล้วเฉดหัวลี่ฮวาไปตั้งนานแล้วนี่นา ฉันน้อยใจเหลือเกิน...”
น้ำเสียงฝ่ายหญิงทั้งเบา ดูตัดพ้อน้อยใจ กระเง้ากระงอดเล็กน้อย
น้อยใจงั้นเหรอ... เยี่ยม! ดี! ดี! ดีเหลือเกิน! น้อยใจที่หมิงลู่ไม่ยอมยกเธอขึ้นให้ใครต่อรู้ว่าเป็นชู้ แล้วบอกว่า เฮ้ เราสองคนกำลังคบกันนะ ผมคบกับลี่ฮวาและเพื่อนสนิทของเธอทั้งคู่พร้อมกันมาหลายปีเลย ผมเก่งไหมงั้นเหรอ...!
ตีลังกาคิดก็รู้ว่าทำไม่ได้ เพื่อนๆ ต่างรู้กันหมดว่าหมิงลู่หมั้นกับลี่ฮวา ถ้าประกาศว่าคบเพื่อนสนิทของคู่หมั้นตัวเอง หลังจากเฉดหัวคู่หมั้นที่คบมาหลายปีทิ้ง แน่นอนว่า ไม่ใช่แค่หน้ากากเทพบุตรของหมิงลู่ที่ทำมาหลายปี แต่หน้าตาทางสังคมของทั้งคู่ล่ะจะเหลืออะไร ได้โดนเหยียดหยามเป็นที่เม้าท์กันทั้งคู่แน่!
ดี น้อยใจไปเลย อิ่นเหม่ยเซียน น้อยใจให้ข้าวติดคอตาย น้อยใจมันทั้งตระกูลให้หมด!
หากเส้นเลือดของลี่ฮวาวิ่งออกมาได้ก็วิ่งแล้ว เพราะตอนนี้จะผุดขึ้นมารอมร่อ บริกรเห็นสาวสวยใจดีทีแรก ตอนนี้แปรงร่างเป็นนางมารหน้าเครียด นั่งหน้าหมองหน้าดำไม่พูดไม่จาอยู่คนเดียว สงสัยแฟนที่นัดกันจะผิดนัดรึเปล่านะ โดนทิ้งรึเปล่า... คิดได้ดังนั้น จึงหันหน้ามองทางอื่น บริกรตัวเล็กๆ อย่างเขายิ่งไม่ควรยุ่งหรือรู้เห็นอะไร... ลูกค้าในร้านนี้แต่ละท่านไม่ควรล่วงเกินเป็นอย่างสูง
ลี่ฮวาดื่มน้ำชาเย็นๆ อึกๆ นั่งฟังบทสนทนาของทั้งคู่
“คุณเป็นถึงนางฟ้า ผมในตอนนี้ยังไม่คู่ควรกับคุณหรอกเหม่ยเหมย เข้าใจผมนะครับ ผมรักคุณคนเดียว ความรู้สึกทั้งหมดของผมอยู่ที่คุณคนเดียว หากผมได้บริษัทมาเราทั้งคู่ก็จะอยู่ข้างกันได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องดูสีหน้าใครอีก ส่วนคุณอีกไม่นานก็จะประกาศได้รับสืบทอดบริษัทหลินนี่ครับ ถึงตอนนั้นเราทั้งคู่ก็จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก ใครๆ ต่างก็จะพากันอิจฉา หนุ่มหล่อสาวสวยเหมือนสมัยมหาวิทยาลัยที่เราได้เป็นดาวเด่นคณะคู่กันไงครับ”
“ก็คุณแม่ท่านถามหาถึงคุณแล้วนี่นา ว่าเมื่อไหร่เราจะแต่งงานกัน อายุอานามเราเริ่มไม่น้อยแล้วนะคะ ฉันเชื่อคุณนะหมิงหมิง อย่าปล่อยให้ฉันรอนาน”
คุณแม่ของเหม่ยเซียนก็รู้เรื่อง? ท่านรู้รึเปล่าว่าลูกของตนคบกับคู่หมั้นของเพื่อนสนิทตัวเอง
“ไม่น้อยใจผมนะครับ พรุ่งนี้ผมอยากทานข้าวเช้าฝีมือคุณอีกจัง”
กับฉันคุณบอกว่าไม่อยากให้มือของฉันต้องลำบาก จะทำให้ทานเอง...
พอตอนนี้ถึงกับมือพิการเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุยเชียวหรือหมิงลู่?
“แหม คุณก็ชอบให้ฉันไปเสิร์ฟถึงเตียง คราวก่อนฉันปวดตัวไปหมดเลยนะคะ คิก.. ” หน้าของเหม่ยเซียนแดงแจ๋ แก้มดูชมพูระเรื่อ เขินอายอย่างเป็นธรรมชาติ สายตาหลุ่บก้มต่ำ ดูน่าทะนุถนอม หยอกล้อเสียงหวานชวนจับใจ จนซักพักเสียงของทั้งคู่ก็เบาไป คาดว่ากำลังเช็คบิลเตรียมกลับ
เธอรู้สึกอยากอาเจียนชอบกล นี่เพื่อนของเธอจริงๆหรือ ก่อนหน้านี้เราคบกันได้ยังไงนะ เธอห่วงผู้หญิงคนนี้เข้าไปได้ยังไง ระหว่างที่หยอกล้อเขินอายกับคู่หมั้นของเพื่อนสนิทตัวเอง โดยไม่มีความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาในใจ ตอนนี้เป็นเวลาที่เธอรู้สึกสงสัยในมันสมองของตัวเองมากๆ หรือสมองมันหดไหลไปกับน้ำตาของเธอแล้ว ถึงเพิ่งมารู้เรื่องอะไรแบบนี้?
เฮ้อ การอดทนครั้งนี้ของลี่ฮวาต้องใช้พลังใจสูงมากทีเดียว การต้องนั่งฟังบทสนทนานี้นิ่งๆ โดยที่ไม่วิ่งเข้าไปฉีกหน้ากากของทั้งคู่ เธอรู้สึกเศร้า จุก โกรธ แค้น ปนเปในอกเต็มไปหมด แต่ตอนนี้เธอต้องมีสติ เหตุผลที่เธอมาครั้งนี้เพราะมีคนนัดไว้ ถึงได้เห็นละครงิ้วหนึ่งฉากนี้
เอ๋ หรือว่า ‘เขา’ ต้องการให้เธอมาเห็น…
ตอนนี้เธอรู้สึกเสียเวลามาก จึงคิดว่าควรกลับดีกว่า พอเรียกบริกรมาเช็คแล้วลุกขึ้นเตรียมกลับ เวลายังมี... ข้อเท็จจริงทุกอย่างหลังจากนี้เธอต้องสืบด้วยตัวเองให้ได้ ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างที่เอกสารว่าจริงๆ บริษัทเครือจิวก็วิกฤตแล้วล่ะ แต่เธอยังไม่อยากให้บริษัทที่พ่อใช้เวลามานมนาน ต้องมาหายไปหรือตกในมือคนอื่นเพราะเธอเป็นต้นเหตุแบบนี้
แถมยังชายที่บอกเรื่องนี้กับเธออีก...
ลี่ฮวาเหลือบไปเห็นหมิงลู่และเหม่ยเซียน ยืนหลบอยู่มุมริมทางหน้าร้านที่ไฟส่องไม่ถึง ชายหนุ่มกำลังจับมือของหญิงสาวเพื่อขึ้นรถ น่าจะกำลังคุยอะไรซักอย่าง ที่เธอไม่ได้ยิน อาจจะเถียงอะไรซักอย่าง ลี่ฮวาจับใจความไม่ได้ แถมเธอยังต้องเดินผ่านไปทางนั้นนะ รถของเธอจอดอยู่ซอยถัดไป จึงรีบกระชับเสื้อนอกดึงฮู้ดขึ้น เดินก้มหน้าหันหลังหลบมุมผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เหม่ยเซียนกำลังใจจดจ่ออยู่กับการหยอกล้อ ง้องอนหมิงลู่ไหนเลยจะสังเกต ด้านหมิงลู่กำลังเร่งฝีเท้าเพื่อให้เหม่ยเซียนขึ้นรถ เขายังไม่อยากให้ใครได้ยินหรือเห็นว่าเหม่ยเซียนควงเขาตรงนี้ ยังไงนี่ก็ริมถนน ขณะที่กำลังเปิดประตูรถยนต์ พลันได้กลิ่นน้ำหอมอันคุ้นเคยเข้าจมูกจางๆ กลิ่นเฟรช สดชื่นจากด้านหลัง หันกลับไปเห็นเพียงด้านหลัง น่าจะเป็นวัยรุ่นใส่ฮู้ดเดินออกไปไกล... เขาคิดไปเองรึเปล่า? อาจจะบังเอิญกลิ่นคล้ายกัน? ดึกป่านนี้เธอจะมาทำอะไรนอกเมือง?
หึ...
ลี่ฮวาคงไม่มีทางไปไหนโดยไม่บอกเขา ร้านนี้เป็นร้านที่เธอเคยบอกว่าไม่ชอบมา และข้อสุดท้ายเธอคงยังไม่มีแรงใจจะไปไหนต่อไหนแน่นอน พรุ่งนี้เขาคงต้องไปถามไถ่เธอแต่เช้าว่าทานอะไรหรือยัง เธอมักจะไม่ทานข้าวถ้าหากไม่อร่อยแต่ถ้าเป็นฝีมือเขา เธอมักจะเต็มใจทานด้วยรอยยิ้มเสมอ คิดแล้วชายหนุ่มก็ยกยิ้ม หันไปมองเหม่ยเซียน
อา... เขาต้องเผลอแสดงมานานหลายปีจนเคยชินเกินไปแล้วสินะ ถึงจะสวยเหมือนกัน แต่ระหว่างผู้หญิงบ้างานแถมยังหัวโบราณหรือจะสู้ผู้หญิงตรงหน้าเขา รู้จักเอาใจเล่นตัวรักสนุก ไม่ต้องฉลาดรู้ทันเขามาก ว่านอนสอนง่าย ออดอ้อนใช้เงินเก่ง กลิ่นน้ำหอมดอกไม้ของเธอตรงหน้าเขาจะต้องเย้ายวนกว่า กลิ่นเฟรชเย็นๆ แน่นอน...
“หมิงหมิง เหม่ออะไรคะ” เหม่ยเซียนเงยหน้ามอง
“เปล่าครับ เรากลับกันเถอะ”
ลี่ฮวาขับรถตามเส้นทางเพื่อกลับบ้าน ถึงเธอจะทำเป็นใจเย็นแค่ไหนก็อดเสียความรู้สึกไม่ได้
ใช่ เธอรู้...เธอไม่ควรเข้าไปด่าทอต่อหน้า วีนใส่ ตบหน้า ร้องห่มร้องไห้ ตัดพ้อต่อว่าใส่พวกเขาในตอนนั้น ถึงแม้อีกใจจะบีบรัดแค่ไหนเธอก็ต้องแสร้งเป็นนิ่งเฉย การทำแบบนั้นเหมือนแหวกหญ้าให้งูตื่น นอกจากความสะใจแล้วเธอไม่ได้อะไรเลย ตอนนี้หมิงลู่ไม่ใช่แค่ชายที่หักหลังเธอ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องของบริษัทจิว เธอต้องระมัดระวังมาก คนของหมิงลู่ภายในบริษัทน่าจะไม่น้อย เพราะว่าการที่ไม่มีใครพยายามแจ้งหรือเตือนเธอเลย นั่นแหละคือหลักฐานอย่างดี
คิดได้แต่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ตอนนี้คนที่รักเธอ ห่วงเธอจริงๆจะยังมีรึเปล่า เรื่องที่เธอได้รับรู้มันเกินที่เธอจะคิดจริงๆ น้ำตาของเธอเริ่มไหล ผ่านผิวแก้มเนียนทีละหยด ทีละหยด
เธอโกรธ โกรธตัวเองที่โง่ หลงเชื่อมาหลายปี หลอกตัวเองว่านี่คือรักแท้ เพื่อนแท้ คิดว่าตัวเองฉลาดงั้นเหรอ หลงดีใจว่าชีวิตที่แสนจะโชคดี หลงวาดฝันความรักที่สวยงาม หลายปีในชีวิตเธอไม่เคยโกรธเกลียดใครในชีวิตขนาดนี้ อย่างน้อยๆเธอไม่เคยมุ่งร้ายกับใคร โกรธทั้งแค้นที่คนเหล่านั้นคิดแต่จะหลอกใช้เธอเพื่อเสพสุข
ลับหลังคอยจ้องแต่สมบัติของเธอ!
น้ำเสียงหวานของเหม่ยเซียนเหมือนมีดที่ค่อยๆ กรีดเธอช้าๆ ยามที่พูดชื่อเธอกับหมิงลู่ น้ำเสียงทั้งเหยียดหยามและรังเกียจ ผิดกับเวลาต่อหน้าที่ขี้อายเกิดเรื่องอะไรก็มาหลบหลังให้เธอปกป้อง แท้จริงคงหัวเราะเยาะเธออยู่สินะ ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นลับหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ 1 ปี 2 ปี หรืออาจจะตั้งแต่สมัยเรียน?
หมิงลู่ชายที่เคยเชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษ แท้จริงคือพวกเจ้าเล่ห์ ทะเยอทะยาน เหยียบได้ทุกคนเพื่อก้าวขึ้นไป...
น้ำเสียงของชายหนุ่มที่เปลี่ยนเรื่องกับเหม่ยเซียน ถ้าคิดไม่ผิด เขาก็ไม่ได้คิดจะแต่งงานกับเหม่ยเซียนหรอก
คนแบบนี้ รักใครไม่เป็นนอกจากตัวเอง
ลี่ฮวา หากเธอเอะใจบ้างซักนิด รู้สึกแปลกใจถึงความสนิทสนมกันของสองคนนั้น หรือเธอรู้จักระแวงคนรัก หรือเพื่อนของตัวเองเหมือนที่ระแวงผู้คนในสังคมธุรกิจบ้าง หากเธอลองวิเคราะห์ซักนิด เรื่องคงไม่มาถึงขนาดนี้ อีกนิดเธอกำลังจะแต่งงาน นอกจากสมบัติที่พ่อให้ไว้ เธอไม่รู้ว่าเธอยังเหลืออะไรบ้าง เธอจะไว้ใจใครได้อีก เธอจะพูดเรื่องนี้กับใครได้
รถค่อยๆ ช้าลงและจอดอยู่ข้างทาง มือที่จับพวงมาลัยกำแน่นขึ้น
หญิงสาวปล่อยโฮตรงนั้น น้ำตาไหลเป็นทางหยดแล้วหยดเล่า ใบหน้างามฟุบกับพวงมาลัย
คำตอบง่ายมากว่าทำไมเธอถึงไม่เคยเอะใจ
เพราะเชื่อใจมาก ถึงไม่เคยสงสัยอะไรเลย…
“ฮึก คนโง่ โง่ จิวลี่ฮวาเธอมันโง่ที่สุด”
หลังจากร้องไห้ได้ซักพักใหญ่ หญิงสาวเริ่มตั้งสติ ใจเย็นลง ดวงตาแดงก่ำมองตรงไปข้างหน้า ใช้ความคิด เธอคิดถึงพ่อ.. สมบัติของเธอ เธอไม่ยอม! ใครจะให้คนพวกนั้นใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ความเสียใจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความโกรธและแค้น ต้องชดใช้… เธอจะไม่หนีเด็ดขาด ครั้งนี้เธอไม่อยากเป็นคนดีให้คนอื่นหลอกใช้แล้ว
ในที่สุดลี่ฮวาก็รู้สึกตัวว่าตอนนี้ตนจอดรถอยู่ริมทางบริเวณหน้าสะพานข้ามแม่น้ำสายใหญ่ก่อนเข้าตัวเมือง รถที่ผ่านไปมาค่อนข้างน้อย เธอเหม่อมองจนเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนึง กำลังค่อยๆถอดรองเท้าปีนขึ้นบนสะพานสูง ตอนนี้หน้าฝน อากาศเริ่มเย็นแล้ว ลมค่อนข้างแรง เด็กคนนั้นไม่หนาวรึไง ขึ้นไปรับลมแบบนั้นเดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก...เดี๋ยว เฮ้ย!
ลี่ฮวาแทบลืมเรื่องที่เธอคิดก่อนหน้า เปิดประตูรถวิ่งออกไป พยายามคว้ากอดตัวเด็กสาวที่กำลังจะหล่นลงไป..ไม่สิ เธอกระโดดลงไปเองนี่นา! ลี่ฮวาจับได้เพียงแขนของเด็กสาวสภาพห้อยต้องแต่ง ส่วนเธอแขนสองข้างของเธอปวดไปหมดแล้วพยายามกำไว้แน่น
“อึก...จับมือพี่ไว้แน่นๆนะ พี่จะ...ดึง..เราขึ้นมา”
ลี่ฮวาเอ่ยด้วยความยากลำบาก ทำไมก่อนหน้าเธอถึงไม่เคยยกดัมเบลฝึกพลังแขนไว้บ้างนะ ตอนนี้เกร็งจนกล้ามจะขึ้นแล้ว “พี่สาว พี่ปล่อยหนูเถอะ”
ลี่ฮวาเหลือบมองเด็กด้านล่าง แม้แสงไฟจากถนนจะอมส้ม ไม่ได้สว่างมาก แต่ก็สะท้อนเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตากลมโตแดงก่ำ อายุน่าจะราวๆ 17 ปี แน่นอนว่าเด็กคนนี้จะต้องเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่งแน่ๆ อาจมากกว่าเธอหรือเหม่ยเซียนด้วยซ้ำ ดวงตาของเด็กคนนี้ดูเศร้าหมอง ท้อแท้ เหมือนเธอก่อนหน้าไม่มีผิด...
“เราขึ้นมา..คุยกับพี่ก่อน...ถ้าเจอเรื่องแย่ๆอะ..ไรจะต้องมีทางออกแน่ๆ..” ลี่ฮวาพยายามโน้มน้าวและปลอบ
“...”
“ความรักไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตนะ...”
“....”
เธอเคยปลอบใครที่ไหนล่ะ! ก่อนหน้าเธอก็เพิ่งร้องไห้มาเหมือนกันนะ! กำลังคิดชั่วอยู่ดีๆ ยังไม่ทันทำอะไรก็ต้องมาทำดีช่วยคนซะแล้ว ฮือ...แขนชาหมดแล้วแต่เธอจะปล่อยไปได้ยังไงล่ะ
“พี่..น่ะ ก็เจอแต่คนแย่ๆ..มาเหมือนกัน ...ถ้า...ยังไม่ทันได้กระทืบซักทีพี่คงไม่หายแค้นแน่ๆ เราก็เหมือนกัน...ต้องเอาคืนสิ อย่าปล่อยให้ใครเอาเปรียบ...อึก..พี่ไม่ไหวแล้ว จะดึงเราขึ้นมารวดเดียวนะ จับแน่นๆ... ” ลี่ฮวาพูดไปกัดฟันไป เธอกลั้นใจดึงเด็กสาวขึ้นรวดเดียว จนเด็กสาวขึ้นมาได้สำเร็จ
ลี่ฮวานั่งหอบบนที่กั้นสะพานเมื่อครู่ กำลังหายใจไม่ทัน เงยหน้ามา เห็นเด็กสาวตรงหน้ากำลังน้ำตาไหล กำลังอ้าปากพูดอะไรซักอย่าง... แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองหน้ามืดไป
น่าจะเป็นคำว่า ขอบคุณ รึเปล่า? ทำไมเธอไม่ได้ยินนะ
เหมือนเห็นหน้าเด็กคนนั้นไกลขึ้นเรื่อยๆ จนเล็กลงไป เหมือนเด็กสาวกำลังพยายามเอื้อมมือคว้า?
ภาพตรงหน้าค่อยๆดำมืดลงไป
อืม หนาวจริงๆแฮะ เย็นทั้งตัวเลย หูก็อื้อ มองไม่เห็นอะไรเลย...
วินาทีสุดท้ายของชีวิตคือแบบนี้รึเปล่า...