เกิดใหม่ทั้งทีดันมีหนุ่มหล่อให้เลือกตั้งเจ็ดคน(ปู้ยี่ปู้ยำ)-ไมโครเวฟ

โดย  ฉินที่เจ็ด

เกิดใหม่ทั้งทีดันมีหนุ่มหล่อให้เลือกตั้งเจ็ดคน(ปู้ยี่ปู้ยำ)

ไมโครเวฟ

ฝนเริ่มลงเม็ดเมื่อย่างเข้าบ่ายแก่ มองเห็นเมฆฝนครึ้มปกคลุมย้อมเมืองท่าจนมืดสลัว ราวกับความเศร้าหมองได้กลืนกินสีสันแห่งชีวิตที่เคยมีจนหมดสิ้น

บรรยากาศการประท้วงหน้าอาคารสภาเมืองปะทุขึ้น ชาวเมืองโห่ร้องอย่างดุดัน ต่อต้านภาษีที่สูงจนไม่อาจแบกรับ ภาระอันหนักหน่วงกำลังบีบคั้นพวกเขาจนเกินทน เสียงตะโกนกึกก้องสะท้อนทั่วลานกว้าง เสมือนการท้าทายต่ออำนาจที่ล้นฟ้าภายในกำแพงอาคาร แต่เพียงไม่นาน เมื่อฝนเม็ดแรกเริ่มโปรยปราย ตามมาด้วยสายฝนหนักหน่วง เสียงตะโกนอันทรงพลังก็ค่อย ๆ เบาลงเรื่อย ๆ จนจางไป ราวกับถูกบีบคอด้วยมือที่มองไม่เห็น อารมณ์อันร้อนแรงซึ่งโหมกระพือเมื่อครู่ มอดดับลงในทันใด

ผู้คนต่างล่าถอยไปหลบฝนใต้ชายคา หลายคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ทิ้งไว้เพียงสายตาขุ่นมัวจ้องไปยังอาคารสภา สัญลักษณ์แห่งความยุติธรรมที่บัดนี้กลับเงียบงัน ไม่แม้แต่จะรับรู้เสียงร้องของพวกเขา เสมือนเป็นกำแพงที่ไร้หูและตา



“สมเป็นชาวบูล็องต์จริง ๆ วางแผนปลุกระดมแทบตาย แต่สุดท้ายออกมากันแค่หยิบมือ ซ้ำยังถูกไล่กลับบ้านได้ง่าย ๆ แค่เม็ดฝน”

เฟโรสที่นั่งอยู่บนหลังม้าในสภาพเปียกปอน เพียงแค่นหัวเราะในลำคอ ดวงตาเหนื่อยหน่ายซ่อนอยู่ใต้เงามืดของฮูด ลดกล้องส่องทางไกลลง ยื่นส่งต่อให้ปัสกาลรับไปดูต่อ

เส้นทางหินเลียบแนวผาสูงชันทอดยาวเหมือนเป็นปราการธรรมชาติ จากจุดนี้ หากมองไปทางซ้ายจะเห็นเกาะขนาดย่อมอันเป็นที่ตั้งของเมืองท่าเก่าแก่ ซึ่งอดีตเคยเป็นเป้าหมายให้โจรสลัดบุกปล้นสะดม แต่บัดนี้กลับกลายเป็นนครการค้าที่คึกคักที่สุดในทะเลฮาซาป

“ครั้งนี้ข้าเห็นด้วยกับเจ้า” โคราลีเสริม ดวงตาคมกริบมองตรงไปยังทิศทางเดียวกับปัสกาล โดยไม่ต้องพึ่งกล้องส่องทางไกลก็จินตนาการภาพในเมืองได้ชัดเจน

ในใจนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้าที่ปัสกาล เฟโรส ไอชา และโทมัส จะเดินทางมาถึงที่นี่ เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเคยเกิดขึ้นมาก่อน ชาวเมืองถูกปลุกระดมโดยคหบดีฝ่ายซ้าย แต่เพียงโคราลีนำกองอัศวินควบม้าเข้าเมือง พวกเขาก็ถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ ยอมล่าถอยอย่างง่ายดาย ไม่มีใครคิดต่อต้านแม้สักคน

“ข้ากลับคิดว่าแผนของเราไปได้สวยทีเดียว”

ปัสกาลบอกหลังลดกล้องส่องทางไกลลง แสดงความมั่นใจสวนทางกับความกังวลของอีกฝ่าย

“อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ยอมออกมากันแล้ว ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น และมันจะลุกลามประหนึ่งไฟลามทุ่ง”

“ขอให้เป็นอย่างนั้น อย่าให้ต้องรอนานนักล่ะ” เฟโรสกระตุกยิ้ม

พวกเขายังคงเดินทางต่อไป ไม่ยี่หระต่อฟ้าที่แลบแปลบปลาบ และลมแรงที่กรรโชกจนรถม้าโคลงเคลง ดันให้ล้อเหล็กกระเด้งขึ้นจากพื้นเป็นระยะ ปลายทางคือสิ่งปลูกสร้างขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านริมผา อวดศักดาเยี่ยงผู้พิทักษ์ยักษ์ใหญ่ เฝ้าดูและปกป้องเมืองท่าบูล็องต์มาตลอดหลายร้อยปี ‘เอลล์ เดอ บูล็องต์’ ป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนหมู่เกาะแห่งนี้



กำแพงสูงตระหง่านชิดขอบผามองเห็นได้จากระยะไกล แผ่ขยายโอบล้อมป้อมปราการอันมั่นคงไว้ภายใน กินพื้นที่กว้างขวางไม่แพ้เมืองท่าเบื้องล่าง ภายในกำแพงเต็มไปด้วยความหลากหลาย มีเขตฝึกทหารทั้งบนดินและใต้ดินที่ถูกจัดสรรเป็นสัดส่วน

ได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังมาจากลานฝึกใหญ่ มองเห็นอัศวินกลุ่มหนึ่งควบม้าสวนกันไปตามเส้นทางหินเรียบ ท่ามกลางพ่อค้าแม่ค้าจัดเรียงสินค้าอยู่ใต้ร่มผ้าใบ

พื้นที่อีกครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนเรียงราย บางหลังเป็นโรงตีเหล็ก บ้างเป็นร้านขายของชำ มีทั้งขนมปังสดใหม่ และเครื่องประดับที่นำเข้าจากเมืองท่า ใจกลางป้อมยังมีตลาดขนาดเล็กที่เป็นศูนย์กลางของการค้า แม้ฝนตกแต่ผู้คนยังเดินจับจ่ายกันหนาตา จากภาพลักษณ์ที่เห็น อาจเรียกได้ว่าป้อมปราการนี้เป็นนครเศรษฐกิจอีกแห่งหนึ่ง รองจากเมืองท่าบูล็องต์ก็ว่าได้

“เจ้ามาช้าจริง ข้าตากฝนหนาวจนจะตายอยู่แล้ว!” โทมัสมารอรับถึงหน้าประตูป้อม ตระเตรียมข้อมูลข่าวสารมาป้อนให้ตามที่เฟโรสขอเอาไว้

ดวงตาสีดำขลับมองผ่านหน้าต่าง จับจ้องสองหนุ่มที่แยกตัวไปด้วยกัน นึกจินตนาการว่าพวกเขาคงไปยืนหลบฝนแถวมุมหนึ่ง แล้วพูดคุยกันถึงข้อมูลข่าวสาร รวมถึงความคืบหน้าของงานที่เฟโรสฝากฝังไว้เมื่อก่อนหน้านี้

“เจ้ากำลังอิจฉาโทมัส” วิโอล่าที่นั่งเบียดอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น

“ทำไมข้าต้องอิจฉาเขา?”

“เพราะเจ้าไม่พอใจที่โทมัสครอบครองเฟโรสเอาไว้”

สาวน้อยผู้มีเรือนผมสีแดงสดส่งสายตาซุกซน ริมฝีปากสีชมพูอ่อนแต้มด้วยยิ้ม ถ้อยคำที่เอ่ยช่างชวนให้อยากหยิกพวงแก้มเนียนคู่นั้นเหลือเกิน ยิ่งเมื่อเห็นไอชาตีหน้ายักษ์ใส่ วิโอล่ากลับยิ่งสนุกสนาน

“ผู้ชายคนนั้นขโมยคำพูดที่เฟโรสมักหยิบยื่นให้กับเจ้า จนช่วงหลังมานี้เจ้ากับเขาแทบไม่ได้คุยกัน เจ้ากำลังหวงแหนสิ่งที่เคยเป็นของเจ้า”

“เพ้อเจ้อ สติสตังของเจ้าแย่แล้ว”

“เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเจ้าน่ะ…”

“เงียบไปเลย”

พอดีกับรถม้าเคลื่อนมาถึงอาคารที่พักหลังโตของผู้ปกครองป้อมปราการ หรือที่เรียกกันว่า ‘จวน’

สองสาวก้าวลงจากรถม้า มีปัสกาลกางร่มให้ระหว่างทาง เดินไปด้วยกันจนถึงประตูทางเข้า ส่วนโคราลียังไม่ลงจากหลังม้า สายตาระแวดระวังสอดส่ายไปรอบ ๆ อย่างตื่นตัว

ดวงตาสีมรกตจดจ้องชายสองคนที่ยืนรอต้อนรับ คนหนึ่งเป็นหัวหน้าอัศวินแห่งป้อมปราการเอลล์ ส่วนอัศวินอีกคนเป็นคนสนิทของเขา ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมสีเลือดหมู ปักสัญลักษณ์เดียวกับที่อยู่บนอกของปัสกาล


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว