เพชรยอดขุนพล (ซีรี่ส์โฉมงามบรรณาการ)-ปฐมบท 2 วิวาห์ผิดตัว(1)

โดย  Hongsamut

เพชรยอดขุนพล (ซีรี่ส์โฉมงามบรรณาการ)

ปฐมบท 2 วิวาห์ผิดตัว(1)

เฉียนจิงที่จะไปอยู่แล้วเมื่อฟังถึงตรงนี้ จึงพ่นลมเบาๆ ตอบอย่างลำพองใจ “ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ทางการจะจัดการได้ ไม่อย่างนั้นผู้คนจะแห่มาขอความช่วยเหลือจากข้าทำไม”

โหลวซี่เหยียนเลิกคิ้วขึ้น เหลือบมองไปทางร่างสูงที่เจือกลิ่นอายประหนึ่งคุณชายเจ้าสำราญด้านนอกประตูอีกครั้ง สกุลฉีดำเนินกิจการบ่อนพนันอยู่เมืองหลวง นับว่าเป็นคหบดีที่ร่ำรวยมากตระกูลหนึ่ง คนที่ขนาดพวกเขาต้องมาอ้อนวอนขอให้ช่วยเป็นคนประเภทใดกัน?

อีกอย่าง...เจ้าเฉียนจิงผู้นี้ ดูเหมือนจะเคยรู้จักกับชิงเฟิงมาก่อนด้วย

ดูท่าเฉียนจิงก็ไม่ได้ต้องการปิดบังฐานะตัวเอง โหลวซี่เหยียนก็มีท่าทีสนใจ ฉีเทียนหยูจึงแก้ความอึดอัดด้วยการแนะนำเขาทั้งสองให้รู้จักกันโดยละเอียด “ท่านเฉียนเป็นนักล่าค่าหัวที่ชื่อดังที่สุดในฉงเยว่ คนมากมายที่ทางการจับไม่ได้ ล้วนถูกลากตัวมาดำเนินคดีโดยท่านเฉียน เขาเก่งมากในเรื่องควานหาคนและจับตัวผู้ร้าย”

นักล่าค่าหัว?

ฉงเยว่มีนักล่าค่าหัวจำนวนไม่น้อย คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นผู้เก่งวรยุทธในแผ่นดิน แต่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วนั้น มีเพียงสองคนคือ ‘เย่เม่ย’ กับ ‘เอ้าเทียน’ ไม่เคยได้ยินเฉียนจิง หรือว่าเขาคือหนึ่งในสองผู้เลื่องชื่อปลอมตัวมา?

โหลวซี่เหยียนยังคงอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตน พลันมีเสียงผู้หญิงใสกังวานหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมา “เก่งมากจริงๆ นั่นแหละ จับผู้ร้ายแล้วยังปล่อยให้หนีไปได้ เก่งจริงๆ” จั๋วฉิงตบๆ ปัดๆ เศษขนมในมือ ทำสีหน้าไร้ความสนใจโดยสิ้นเชิง

ใบหน้าฉายแววร่าเริงของเฉียนจิงแข็งกระด้างในบัดดล เขาจ้องจั๋วฉิงเขม็งแล้วพูดอย่างโมโห “แม่นาง เจ้าอย่าโอหังให้มากนัก จำได้ไหมว่ายังติดเงินข้าอยู่ เอาคืนมาเลย”

เธอเกือบสำลักเพราะกลั้นหัวเราะแล้วนะเนี่ย! “เจ้านี่มันเฉียนจิงจริงๆ คิดแต่เงินจนแทบบ้า ไม่ทราบว่าข้าชิงเฟิงเป็นหนี้เจ้าตั้งแต่เมื่อใด หรือว่าโรคอัลไซเมอร์เจ้ากำเริบ?”

โรคอัลไซเมอร์คืออะไร? ช่างเถอะ รู้เพียงแต่ว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่ เฉียนจิงก้าวเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง ชายตามองโหลวซี่เหยียนทีหนึ่ง ก่อนเปิดปากหาเรื่องคน “ครั้งที่แล้วเจ้าบาดเจ็บ ข้าให้ยาเม็ดเทวดาที่มีราคาถึงห้าสิบตำลึงกับเจ้า ตั้งห้าสิบตำลึงเชียวนะ! ตอนนี้เจ้าคืนค่ายามาได้แล้ว เจ้าเป็นถึงผู้หญิงของอัครเสนาบดี แค่ห้าสิบตำลึงคงมีคืนกระมัง”

“ใครว่าข้าไปเป็นผู้หญิงของ---”

จั๋วฉิงยังพูดไม่ทันจบ เสียงทุ้มกังวานของโหลวซี่เหยียนก็ดังขึ้นในทันใด “ขอบคุณคุณชายเฉียนที่ช่วยนางไว้ในตอนนั้น เงินพวกนี้ขอให้ท่านถือว่าเป็นค่ายาของชิงเฟิงเถอะนะ” โหลวซี่เหยียนเพิ่งจะพูดจบ โม่ไป๋ก็ควักปึกตั๋วแลกเงินฟ่อนหนึ่งออกมายื่นให้เฉียนจิงแล้ว คนเห็นแก่เงินในความคิดของจั๋วฉิงเงยหน้ามองอย่างไม่สบอารมณ์นัก เป็นตั๋วแลกเงินปึกใหญ่มากจริงๆ ในฟ่อนนั้นไม่ต่ำกว่าสองร้อยตำลึงเป็นแน่

เฉียนจิงยังไม่ทันยื่นมือไปรับ มือเรียวขาว อ่อนบางราวไร้กระดูกก็ชิงตัดหน้าคว้าเงินฟ่อนนั้นไปจากมือโม่ไป๋

ถ้ามีเงินแต่ไม่มีที่ให้ใช้ก็เอาให้เธอก็แล้วกัน ทำไมต้องเอามาอวดร่ำอวดรวยอย่างนี้ด้วยเล่า จั๋วฉิงยักคิ้วทีหนึ่ง ก่อนพับเงินแล้วเก็บเข้าชายเสื้อต่อหน้าเฉียนจิง เอ่ยอย่างคนเหนือกว่า “เจ้ากล้าพูดเรื่องบาดเจ็บกับข้า เช่นนั้นข้าจะมาคำนวณให้เจ้าดู”

จั๋วฉิงเงยหน้าขึ้น รอยมีดบนคอยังคงเห็นได้ชัดเจน หญิงสาวเริ่มเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าจับคนร้ายแต่กลับทำให้ข้าบาดเจ็บ ตอนนี้ยังคงปวดแสบปวดร้อนอยู่ด้วยซ้ำ ทำให้ร่างกายและจิตใจข้าได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง แล้วแผลนี่ยังอาจทิ้งผลข้างเคียงไว้ ดังนั้นเจ้าสมควรจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยการขาดรายได้ ค่าโภชนาการ ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดจากความเสียหายครั้งนี้ แต่เนื่องจากเจ้ามีเจตนาเยียวยาหลังเกิดเหตุ ข้าคิดแค่เจ้าร้อยตำลึงก็แล้วกัน หักค่ายาที่เจ้าพูดถึงออก เจ้าเหลือต้องให้ข้าอีกห้าสิบตำลึง แล้วข้าจะไม่เรียกร้องใดๆ กับเจ้าอีก”

คุณหมอสาวยืนนิ่งอยู่หน้าเฉียนจิง ยื่นมือมาตรงหน้าเขา ปลายนิ้วกวักน้อยๆ “เร็วสิ ห้าสิบตำลึง คืนข้ามา”

ค่ารักษาพยาบาล? ค่าชดเชยขาดรายได้? ค่าโภชนาการ? ค่าสินไหมทดแทน? เฉียนจิงเกือบจะเคลิ้มตามนางไปเสียแล้ว แต่พอได้ยินว่าห้าสิบตำลึง สติของเขาก็คืนกลับมาในทันที ร้องว่า “ห้าสิบตำลึง เจ้าจะ

ต้มตุ๋นข้ารึไง”

จั๋วฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ยาประหลาดเม็ดหนึ่งที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหน เจ้ากลับเรียกเงินถึงห้าสิบตำลึง ใครต้มตุ๋นใครกันแน่?”

“ยาประหลาดอะไรกัน นั่นคือยาของซีมู่หมอเทวดา ห้าสิบตำลึงยังถือว่าถูกไปด้วยซ้ำ” จริงอย่างที่ว่าพูดเหตุผลกับผู้หญิงไม่มีทางเข้าใจ เฉียนจิงทำไม้ทำมือวุ่นวาย สุดท้ายรู้สึกปวดศีรษะจนต้องตอบกลับอย่างหมดอารมณ์ “ช่างเถอะๆ ข้าขี้เกียจวุ่นวายกับเด็กหญิงไร้การอบรมอย่างเจ้า”

เด็กหญิงไร้การอบรม? ดีมาก จั๋วฉิงหยักยกมุมปากอย่างอารมณ์ดียิ่ง “ต่อให้ยาประหลาดของเจ้ามีค่าห้าสิบตำลึงจริง แต่เจ้าก็ยังติดค้างค่าทำขวัญข้าอีกห้าสิบตำลึง คืนเงินมา”

“เจ้า!” เขาอุตส่าห์ไม่เรียกร้องจากนาง แต่นางกลับยังไม่ยอมจบอีก เฉียนจิงถลึงตาไปทางร่างบอบบางอ้อนแอ้น โมโหจนเกือบจะกลายเป็นขำขัน “ถือว่าข้าซวยเอง แม่นาง อย่าให้ข้าได้เห็นเจ้าอีก!” ครั้งหน้าต่อให้นางขอร้อง...แม้จะคุกเข่าลง เขาก็จะไม่ช่วยนางอีกแล้ว ไม่มีทาง!

เฉียนจิงสบถเสียงต่ำ พุ่งตัวออกไปจากห้องโถงโดยไม่หันกลับมา จั๋วฉิงยกสองมือกอดอกด้วยกิริยาชดช้อย ไม่ลืมตะโกนตามแผ่นหลังที่หนีไปอย่างเร่งรีบ “พี่ชาย...คราวหน้าอย่าลืมคืนเงินข้าด้วยล่ะ”

เสียงนางมารยังวนเวียนอยู่ในหู เฉียนจิงสบถซ้ำไปซ้ำมา ไม่มีคราวหน้า ไม่มีแน่นอน เขาไม่อยากเจอผู้หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้อีกแล้ว!

โหลวซี่เหยียนมองดูใบหน้าของชิงเฟิงที่หัวเราะลั่น ดวงตาพลันดำมืด

นางกับเฉียนจิงมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?

ยามที่นางอยู่ต่อหน้าเฉียนจิง แม้ว่าจะมีท่าทางยโสโอหัง คำพูดคำจาเสียดแทงจิตใจ แต่กลับไร้ซึ่งความสงบนิ่ง ความสูงส่งคล้ายเทพผู้หลุดพ้นยากจะเข้าถึงที่มักฉาบหน้าอยู่บ่อยๆ ปลิวหายหลุดลอย

เขาผู้นั้นทำให้นางถึงกับลดกำแพงปิดกั้นผู้คนลงได้

เฉียนจิง...เขาจดจำชื่อนี้ไว้ในบัญชีดำแล้ว

หลีกไป ข้าไม่กินเสียงกรีดร้องปะปนมากับเสียงจานชามร่วงหล่นแตกกระจาย

สาวใช้ตัวน้อยที่ส่งสำรับยืนตัวสั่นงันงกอยู่ด้านข้าง ดูก็รู้ว่าไม่เคยรับมือกับเรื่องแบบนี้ คุณหมอสาวโบกมือเป็นเชิงอนุญาตให้นางออกไปได้ จั๋วฉิงก้าวเข้ามา กวาดตามองทั่วเรือนเล็กที่มีแต่เศษกับข้าวกระจายเต็มพื้น หญิงสาวกอดอกส่ายหน้า น้ำเสียงที่ใช้ยังคงเย็นชาราบเรียบ “หากเจ้าคิดว่าอดตายแล้วพี่จิ่งสุดหล่อจะปวดใจรู้สึกผิด งั้นเจ้าก็ต้องพยายามอีกหน่อย แค่ไม่กินอาหารอย่างเดียวมันไม่ตายหรอก ทางที่ดีน้ำก็ไม่ควรดื่ม ยืนหยัดสักห้าหกวัน แค่นี้ก็ใกล้ปรโลกแล้ว”

โหลวซี่หวู่ทำลายข้าวของกองใหญ่ หอบหายใจพลางด่า “เจ้ามันเป็นผู้หญิงชั่วช้า ต่อให้ไม่มีข้า เขาก็ไม่มีทางชอบเจ้าแน่”

ไม่เลว ไม่กินข้าววันหนึ่ง นางยังมีแรงด่า

จั๋วฉิงยกชายกระโปรงเดินอ้อมผ่านข้าวของกระจัดกระจาย แล้วจึงทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังไม่ถูกผลักจนล้ม น้ำเสียงดูถูก “ข้าจะบอกอะไรให้นะ สุดที่รักในสายตาเจ้า ก็เป็นแค่เศษหญ้าในสายตาคนอื่น เจ้าลืมแล้วหรือว่าตัวเองเป็นถึงคุณหนูสกุลโหลว หากเขากล้าปฏิเสธเจ้า ทำให้เจ้าเสียหน้า เจ้าสามารถแกล้งเขาให้ตายทั้งเป็นได้ด้วยซ้ำ เจ้าเป็นนายเขาเป็นบ่าว เจ้าจะทำยังไงก็ย่อมได้ มาโมโหอยู่ตรงนี้ทำไมให้เสียเวลา”

“พอแล้ว” โหลวซี่หวู่กรีดเสียงเศร้าสลด น้ำตาพรั่งพรูดุจสายฝนพรำ “นายบ่าวอะไรกัน ข้าไม่เคยเห็นเขาเป็นบ่าวเลย เขาเองก็ใช้ข้ออ้างนี้ปฏิเสธข้า”

จั๋วฉิงใช้มือปิดหูแน่นกั้นเสียงกรี๊ดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกขณะ เอ่ยตอบกลับอย่างอดไม่ได้ “บางทีที่เขาไม่กล้ายอมรับเจ้าก็เพราะฐานะของตัวเองนั่นแหละ เจ้าสามารถทดสอบความจริงใจของเขาได้นี่ มาร่ำร้องตะโกนตรงนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา”

“ทดสอบอย่างไร?” โหลวซี่หวู่หยุดตะโกน ร้องไห้มาทั้งคืน ดวงตานางบวมโต ทั้งแดงดุจกระต่าย แต่ก็ยังจ้องเขม็งตรงไปยังจั๋วฉิงอย่างไม่ลดละ

หญิงสาวจากอนาคตกลอกตาขึ้นฟ้า อะไรจะขนาดนั้นหือแม่คุณ น้ำตานี่ประหนึ่งน้ำประปาคิดจะปิดก็ปิดคิดจะเปิดก็เปิด ควบคุมน้ำตาได้ตามใจชอบเกินไปแล้ว จั๋วฉิงลองใคร่ครวญดูแล้วตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนัก “ปกติก็สังเกตหน่อยว่าเขามีท่าทีกังวลไปกับเจ้า ใส่ใจไยดีเจ้าหรือเปล่า โดยเฉพาะยามเจ้าเป็นอันตรายหรือไม่สบายหนักๆ อย่างคำที่บอกว่าพบรักแท้ยามมีภัยนั่นแหละ”

โหลวซี่หวู่ฟังจบศีรษะพลันก้มต่ำ พูดพึมพำเลื่อนลอย นางมีความตั้งใจแต่ไร้เรี่ยวแรงเสียแล้ว “ต่อให้รู้ว่าเขาชอบข้าแล้วจะทำยังไงได้? เขามันเป็นก้อนหินไร้ความรู้สึกก้อนใหญ่เบ้อเริ่ม หากเขายืนยันว่าฐานะไม่เหมาะสมกับข้า ต่อให้ข้าพยายามเท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมรับว่าชอบข้าหรอก”

มันก็ใช่นะ ขนาดเธอไม่ค่อยรู้จักจิ่งซานักยังพอดูออกว่าเขามันหินขัดส้วมชัดๆ ลองคิดดูอีกทีหนึ่ง คุณหมอสาวเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก “ถ้าจำเป็นมาก ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกเสียก็ใช้ได้แล้ว”

ข้าวสาร...ใบหน้านวลแอร่มของโหลวซี่หวู่แดงก่ำตั้งแต่คอจรดหน้าผาก ดวงตากลมโตจ้องนิ่งค้างมายังเธอ ราวกับว่าเธอเป็นตัวประหลาด ลิ้นที่เคยเอ่ยได้อย่างคล่องแคล่วกลับเกิดพันกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น “เจ้าพูดบ้าอะไร บ้าๆๆๆ นี่มัน ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก”

แค่นี้ก็ไร้ยางอายละ? เธอคิดว่าตัวเองใช้คำที่ดูดีที่สุดแล้วนะ

พอมองเห็นว่าหน้าโหลวซี่หวู่แดงจนแทบจะไหม้อยู่แล้ว ดวงตาก็เหมือนอยากจะจ้องเธอซะให้ทะลุเป็นรูไปเลย จั๋วฉิงก็ลุกขึ้นถอยออกนอกประตูเสีย เอ่ยด้วยน้ำเสียงระอา “ได้ ข้าไร้ยางอาย งั้นเจ้าก็ร้องไห้ต่อไปเถอะ อย่าเผลอดื่มน้ำล่ะ เจ้าร้องไห้จนตายโลกนี้ก็สงบสุขแล้ว”

“ชิงเฟิง เจ้าไปเลยนะ!” พลันเกิดเสียงดังโครมคราม ก่อนที่แก้วกระเบื้องเคลือบจะถูกโยนมาทางจั๋วฉิง เมื่อกระทบพื้นก็แตกกระจายไปทั่ว ฮู้ว์...ยังดีที่เธอหลบทัน ไม่อย่างนั้นถึงเลือดออกไม่มากแต่ผิวหนังต้องถลอกปอกเปิกแน่

กิริยาของคุณหนูบ้านรวยนี่เป็นอย่างนี้กันหมดเลยรึไง? อารมณ์ขึ้นลงรุนแรงอะไรขนาดนั้น จั๋วฉิงส่ายหน้า ตัดสินใจเดินไปหาฉีเทียนหยูเพื่อขอเปลี่ยนเรือน ในเมื่อยั่วไม่ขึ้นงั้นก็ขอหลบก่อนก็แล้วกัน

เดินไปเดินมาจนจะวนครบรอบสวนอยู่แล้ว หญิงสาวจึงค่อยพบว่าเรือนน้ำพุร้อนนี่ก็ใหญ่โตพอดู ทั้งยังสวยงามละเมียดละไม โดยเฉพาะสวนตรงหน้านี้ มีสายน้ำรินไหล กุหลาบพันปีสีชมพูขึ้นเป็นกอๆ ดูแล้วพาให้หัวใจเบิกบานยิ่ง สายน้ำยิ่งขับเน้นให้ดอกไม้ดูคล้ายสาวน้อยแรกรุ่นกำลังเอียงอาย พอหรี่ตามองไปเบื้องหน้า ก็จะเป็นสวนของโหลวซี่เหยียนแล้ว

ไม่รู้ว่าอาการหอบของเขาดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง

เธอกำลังคิดอยู่เพลินๆ น้ำเสียงกังวานใสแต่ทุ้มต่ำเฉพาะตัวของโหลวซี่เหยียนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “เจ้ามาแล้ว”

เพิ่งคิดถึงได้แป๊บเดียวเท่านั้นก็เจอเลยเรอะ!

เขาเป็นอัครเสนาบดีปีศาจรึไง?

จั๋วฉิงรีบหันมอง ท่าทางเก้อกระดากอย่างที่เห็นได้น้อยครั้ง “เอ่อ…ร่างกายท่านเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง?”

“ดีขึ้นมากแล้ว” โหลวซี่เหยียนเดินมาหยุดอยู่ใต้แสงแดดอบอุ่น

ชายเสื้อยาวสะบัดเล็กน้อย แววตาฉาบไปด้วยรอยยิ้มแฝงท่าทีเกียจคร้าน เขาเดินมาตรงหน้าจั๋วฉิง เอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี “มาหาข้ามีอะไรรึ?”

มีอะไรหรือ? ช่างเถอะ จั๋วฉิงพยักหน้าน้อยๆ พูดว่า “ข้าไม่ได้อยากจะเร่งรัดท่าน”

“เร่งรัด?” เขาขมวดคิ้ว พลันใจเต้น

“เรื่องพี่น้องข้า”

“อ้อ” แล้วไป

“คือ…ข้าเพียงแต่อยากเจอพี่น้องข้าให้เร็วที่สุด ข้า...คิดถึงพวกนางมาก” เธอกับกู้อวิ๋นเป็นลมพร้อมกันหลังเห็นจานยันต์แปดทิศแปลกประหลาดนั่น ตามหลักแล้ว กู้อวิ๋นต้องมาที่โลกนี้แน่ พวกเธออยู่ห่างกันได้ครึ่งเดือน เธออยากจะหาข้อพิสูจน์เร็วๆ ว่าในพี่น้องสกุลชิงนั้นมีกู้อวิ๋นอยู่หรือเปล่า

แต่ถ้าไม่มี แล้วเธอจะตามหากู้อวิ๋นได้ยังไง? พวกเธอล้วนหน้าตาเปลี่ยนไปกันหมด

คงยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเลยล่ะมั้ง

เมื่อวานแม้จะเห็นไม่ชัดว่าอักษรบนเนินอกของนางใช่คำว่า ‘เฟิง’ หรือไม่ แต่ในใจโหลวซี่เหยียนเชื่อแล้วว่านางก็คือชิงเฟิง ให้อย่างไรใต้หล้านี้คนที่จะปรากฏอักษรรอยสักบนหน้าอกเพราะอุณหภูมิกายสูงขึ้นก็มีไม่กี่คน พอนึกถึงท่าทางเมื่อคืนนางที่เร่งรีบช่วยเขาขนาดนั้น โหลวซี่เหยียนรู้สึกอบอุ่นในใจ เขาเอ่ยตอบเสียงนุ่มลึก “ข้าจะหาวิธี ติดตรงที่ข้ากับแม่ทัพซู่แบ่งแยกกันดูแลบุ๋นบู๊ ปกติไม่ค่อยได้ติดต่อกันมากนัก... แต่ในวังน่ะข้าเข้าออกเป็นประจำ เอาอย่างนี้ ข้าจะหาวิธีให้เจ้าได้พบพี่สาวก่อนก็แล้วกัน”

“ก็ดี” เจอคนหนึ่งก็ยังดี ไม่แน่พี่สาวคนนั้นอาจเป็นกู้อวิ๋นก็ได้ จู่ๆ จั๋วฉิงก็นึกถึงสายตาคมกริบดุจพญาอินทรีของฮ่องเต้ฉงเยว่ ในใจก็เริ่มกังวลขึ้นมา ฮ่องเต้คนนั้นไม่ใช่คนประเภทที่ควรจะยั่วยุ แต่ตอนที่กู้อวิ๋นโมโหนั้นยิ่งกว่าคำว่ายั่วยุมาก... เรียกได้ว่าเป็นระเบิดเดินได้ชัดๆ

สาธุ… ขอให้ไม่ใช่คนที่อยู่กับฮ่องเต้เถอะนะ

วันนี้นางสวมชุดกระโปรงสีเหลือง ผมยาวก็ถักเปียอย่างลวกๆ นางในตอนนี้ยืนนิ่งอยู่กลางดงกุหลาบพันปี ทั้งงดงามทั้งอ่อนหวาน ตรงหว่างคิ้วแฝงด้วยความเย็นชาเจือรอยหมองเศร้าบางเบา ดูงดงามอย่างประหลาด

คุณหมอสาวคืนสติมา เริ่มรู้สึกว่าสายตาของโหลวซี่เหยียนนั้นเร่าร้อนเกินไปแล้ว สองคนสี่ตาจ้องประสาน หญิงสาวจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดถึงกับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย พอนึกถึงโหลวซี่หวู่ที่ยังโมโหร้ายอยู่ที่ห้อง เธอก็ถามว่า “จิ่งซาอายุแค่นี้ก็ได้เป็นพ่อบ้านจวนอัครเสนาบดีแล้ว เขาอยู่กับท่านตั้งแต่เด็กเลยหรือ?”

โหลวซี่เหยียนชะงักนิ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมชิงเฟิงจึงถามถึงจิ่งซา แต่ก็ยังตอบเจือรอยยิ้ม “ใช่ บิดาเขาเคยเป็นพ่อบ้านตระกูลข้า”

อ้อ...เข้าใจ งั้นก็หมายความว่า มีความเป็นไปได้สูงที่โหลวซี่หวู่กับจิ่งซาจะเป็นคู่ชายหญิงที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ถ้างั้นโหลวซี่เหยียนรู้ไหมว่าโหลวซี่หวู่แอบชอบจิ่งซาอยู่ หรือว่าจิ่งซาเองก็ชอบโหลวซี่หวู่ด้วย? เธอพลันรู้สึกสงสัยขึ้นมา ไหนๆ ก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำแล้ว จั๋วฉิงจึงเอ่ยถาม “เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าเขามีใครที่ชอบหรือเปล่า?”

ชายหนุ่มฟังชิงเฟิงพูดถึงชายอื่นต่อหน้า พลันรู้สึกไม่พอใจนิดๆ ทว่ารอยยิ้มคงเดิม มีแต่น้ำเสียงที่สูงขึ้นเล็กน้อย “เฟิงเอ๋อสนใจเขามากเลยหรือ?”

จั๋วฉิงขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง น้ำเสียงก็เย็นจนเป็นน้ำแข็ง “เรามาคุยกันก่อน ท่านอย่าเรียกข้าว่าเฟิงเอ๋อได้หรือไม่”

โหลวซี่เหยียนหัวเราะเสียงต่ำ ท่าทางคล้ายไม่เข้าใจ “เจ้าไม่ชอบชื่อนี้รึ? ข้าว่าเพราะดีออก”

แต่เธอรู้สึกว่ามันฟังดูน่าเกลียดมาก...ขณะที่จั๋วฉิงกำลังจะคุยกับโหลวซี่เหยียนอย่างเคร่งเครียด เตรียมจะเจาะลึกถึงความสำคัญของประเด็นปัญหานี้ ร่างกายกำยำของจิ่งซาก็โผล่มาที่สวน น้ำเสียงรีบเร่งอย่างผิดปกติ “นายท่าน คุณหนูทิ้งจดหมายไว้ หนีไปแล้วขอรับ” แม้เขาจะพยายามปิดบังเต็มที่ โหลวซี่เหยียนกับจั๋วฉิงก็ดูออกว่าในดวงตาเขาฉายแววลนลานที่มิอาจปิดได้มิด

ด...เดี๋ยวนะ? จั๋วฉิงปากอ้าตาค้าง ถามว่า “ทิ้งจดหมายไว้แล้วหนีไป? นางเขียนว่ายังไง?”

จิ่งซานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ล้วงจดหมายฉบับน้อยออกมาจากชายเสื้อ จั๋วฉิงรีบรับจดหมายมาอ่านไป ในนั้นเขียนไว้ไม่กี่คำ

‘ข้าไปแล้ว เราจะได้ไม่ต้องเจอกันอีก ข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีกแล้ว’

พระเจ้าช่วย! เมื่อกี้เธอแค่พูดเล่นๆ หวังว่าโหลวซี่หวู่จะมีความคิดพอ ไม่ได้พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์อันตรายจริงๆ ให้จิ่งซาตกใจหรอกนะ ยัยเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่

จั๋วฉิงยัดจดหมายฉบับนั้นใส่มือโหลวซี่เหยียน พูดพลางถอนใจยาว “น้องสาวท่านเป็นคนใจร้อน เรารีบแยกกันไปหาเถอะ” ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่านางจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก

โหลวซี่เหยียนกวาดตามองกระดาษในมือแล้วก็กำแน่น หันมาพูด กับจั๋วฉิงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าอยู่ที่เรือนนี่แหละ ซี่หวู่อาจจะซ่อนตัวแกล้งพวกเรา ข้ากับเทียนหยูจะส่งคนไปหาละแวกนี้”

ดูจากท่าทางกระวนกระวายใจของจิ่งซาแล้ว ต้องหาทั่วบริเวณนี้ก่อนแล้วอย่างแน่นอนจึงค่อยมารายงาน โหลวซี่หวู่ไม่มีทางยังอยู่ในเรือนน้ำพุร้อนแน่ จั๋วฉิงรู้ว่าโหลวซี่เหยียนไม่อยากให้เธอออกไปด้วย เธอจึงตามน้ำไปว่า “ดี งั้นพวกท่านไปเถอะ”

โหลวซี่เหยียนพาจิ่งซารีบด่วนจากไป ทิ้งให้คุณหมอสาวครุ่นคิดเพียงลำพัง

โหลวซี่หวู่จะไปที่ไหนนะ?

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว