ผัวน้ามันแซ่บ!

บทนำ

ลำธารอยู่ด้านหน้าไม่ไกล
เผยเหวินเซวียนและหลี่หรงใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับการทุ่มเถียงกันจนหมดแรง ทั้งสองจึงไม่สนทนาใดๆ กันอีก หลี่หรงเดินลงเนินไปก่อน ตรงไปยังลำธารที่อยู่ด้านล่าง นางเลือกจุดที่มีหญ้าขึ้นประปรายห่างจากริมตลิ่งไม่มากแล้วนั่งลงโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้นางหมดแรงแล้วจริงๆ
เผยเหวินเซวียนก้าวตามลงมา ระหว่างทางที่เดินมาที่นี่เขาเก็บกิ่งไม้แห้งเพื่อใช้ทำฟืนไปด้วย เมื่อมาถึงริมน้ำก็เห็นหลี่หรงนั่งอยู่บนกอหญ้า แม้จะไร้เรี่ยวแรงแต่นางก็ยังนั่งเหยียดหลังตรง คนที่ปกติมักแสดงท่าทางโอหังอวดดียามนี้กลับดูสงบและโดดเดี่ยว นางนั่งกอดเข่าตัวเอง วางใบหน้าไว้บนเข่าไม่พูดไม่จา มองแล้วน่าสงสารอยู่หลายส่วน
เผยเหวินเซวียนเคยชินกับการที่โดนนางเรียกใช้ เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้จึงรู้สึกไม่คุ้นเคย เขาวางฟืนลงบนพื้น กวาดหญ้าออกและก่อไฟ
เปลวไฟลุกโชติช่วง หลี่หรงเหลือบมองแหล่งกำเนิดความอบอุ่น
ยามนี้นางทั้งเหนื่อยทั้งง่วงแต่พื้นดินบริเวณนี้แฉะ หากนอนลงไปเสื้อผ้าต้องเปียกอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงไม่ยอมนอนลงไป แต่หากต้องทนนั่งเช่นนี้ทั้งคืนก็รู้สึกไม่ค่อยสบายนัก
นางได้ยินเสียงเผยเหวินเซวียนเดินกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง ไม่นานชายหนุ่มก็เดินกลับมา หลี่หรงปรายตามองก็เห็นว่าเขาใช้เสื้อตัวนอกหอบใบไม้แห้งมากองใหญ่
ชายหนุ่มนำใบไม้มาสุ่มกองไว้เป็นชั้นหนาๆ จากนั้นปูเสื้อตัวนอกทับด้านบนอีกชั้น เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วจึงเรียกหลี่หรง “ท่านช่วยนอนทับไว้หน่อย อย่าให้ใบไม้โดนลมพัดปลิวไปล่ะ”
พูดจบเผยเหวินเซวียนก็หมุนตัว พับขากางเกงขึ้นมาจนถึงเข่า หยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วเดินไปยังริมลำธาร
ใช่ว่าหลี่หรงจะไม่รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย นางลุกขึ้นและเดินไปที่กองใบไม้แห้งนั้นแล้วล้มตัวลงนอน รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก เสียงน้ำไหลทำให้หญิงสาวนอนไม่หลับ นางพลิกตัวไปมาแล้วยันตัวลุกขึ้น มองไปยังเผยเหวินเซวียนที่อยู่ไม่ไกล
ยามนี้เผยเหวินเซวียนยืนอยู่กลางลำธาร มือถือกระบี่นิ่ง
เขามีความอดทนเป็นเลิศ หลี่หรงจ้องเขาอยู่นานก็ไม่เห็นเขาขยับตัวไปไหน วางท่าคล้ายกำลังซุ่มจับศัตรูในท้องพระโรง
หลี่หรงเท้าคาง มองชายหนุ่มที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นกลางลำน้ำ จู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็ฉายชัดขึ้น
เผยเหวินเซวียนผู้นี้ถ้าอยู่นิ่งๆ ไม่อ้าปากพูด ทั้งเมืองหัวจิงหน้าตาเช่นนี้ย่อมนับว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง หล่อเหลาแต่แฝงด้วยความสง่างาม อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงแต่มิได้ทำให้คนรู้สึกเดียดฉันท์ ภายใต้แสงจันทร์ร่างสูงในอาภรณ์สีขาวถือกระบี่ยาว ยืนนิ่งท่ามกลางกระแสน้ำราวกับเทพเซียน
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีอะไรดียกเว้นใบหน้านี้ที่หลี่หรงไม่รู้ว่าจะติตรงส่วนไหน โดยเฉพาะช่วงที่เขาอยู่ในวัยยี่สิบปีเช่นนี้ ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวัยหนุ่ม เมื่อเทียบกับเผยเหวินเซวียนที่อยู่ในวัยกลางคน หลี่หรงชื่นชอบเขาในตอนนี้มากกว่า
หลี่หรงจ้องมองเผยเหวินเซวียนสักพักก็เห็นเขาแทงกระบี่ลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมาปลาตัวหนึ่งก็ถูกแทงติดขึ้นมา
เขาโยนปลาขึ้นฝั่งจากนั้นก็หันกลับไปทำแบบเดิม ไม่นานก็ได้ปลามาอีกหนึ่งตัว
ชายหนุ่มย่อตัวลงริมตลิ่ง จัดการล้างทำความสะอาดปลา ก่อนจะนำกิ่งไม้ที่เหลาไว้ก่อนหน้านี้มาเสียบตัวปลา แล้วนำไปย่างเหนือกองไฟ
เผยเหวินเซวียนรู้ว่าหลี่หรงยังไม่หลับ เขาก้าวเข้ามาใกล้แล้วยื่นปลาสดให้นาง กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ย่างเองก็แล้วกัน”
ความจริงแล้วถ้าจะให้หลี่หรงย่างปลาด้วยตัวเองย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่เมื่อนางได้ยินคำสั่งที่ฟังไม่รื่นหูนี้จึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “ข้าย่างปลาไม่เป็น”
“ดี ไม่เป็นก็ไม่ต้องกิน”
“แต่ข้าชอบกินปลา” หลี่หรงยิ้มตาเป็นประกาย “ถ้าท่านไม่ย่างให้ ข้าก็จะแย่งปลาของท่าน!”
เผยเหวินเซวียนจนคำพูด เขาเถียงไม่ทันและไม่อยากจะเถียงนางด้วย สุดท้ายก็นั่งลงก่อกองหิน เอาปลาไปวางพาดเพื่อย่างบนกองไฟ
รอบด้านมีเสียงน้ำไหล เสียงน้ำมันจากตัวปลาหยดลงบนเปลวไฟดัง “ฉี่ๆ” ทั้งสองต่างนั่งนิ่งๆ ไม่มีใครเปิดบทสนทนา ผ่านไปพักใหญ่หลี่หรงก็เอ่ยขึ้น “กลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”
“เดือนกว่าแล้ว” เผยเหวินเซวียนเหลือบมองหญิงสาว “ท่านล่ะ?”
“พอๆ กัน”
กล่าวจบก็เกิดความเงียบระหว่างคนทั้งสอง ครู่ต่อมาหลี่หรงก็อดถามไม่ได้ “ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะพูดความจริงกับข้า”
“มีอะไรน่าปิดบังกัน?” เผยเหวินเซวียนเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านก็ไม่ได้ปิดบังข้ามิใช่หรือ?”
“ข้าไม่เหมือนกับท่าน” หลี่หรงตอบเสียงเนิบ “ข้าเป็นคนกล้าทำก็กล้ารับ จะปิดบังท่านไปเพื่ออะไร? แต่ท่านไม่เหมือนข้า” หลี่หรงพูดพร้อมถลึงตาใส่เขา “ท่านมันต่ำทราม”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนว่า ‘ต่ำทราม’ เผยเหวินเซวียนก็กระตุกมุมปากยิ้มเย็นชา “ยังกล้ากล่าวหาว่าข้าต่ำทรามอีกรึ? ใครกันแน่ที่ฉีกสัญญาพันธมิตรระหว่างเราก่อน ถึงกับกล้าลงมือกับข้า”
“ฮ่าๆ” หลี่หรงได้ยินคำกล่าวนี้ก็ลุกขึ้น ปรบมือพลางเอ่ย “ซูหรงชิงสังหารท่านได้จริงๆ? ทำได้ดี เยี่ยมจริงๆ!” กล่าวจบหลี่หรงก็ปรายตามองเผยเหวินเซวียน กล่าวอย่างมีความสุข “คนที่ตระบัดสัตย์ หักหลังผู้มีพระคุณเช่นท่าน ถูกแล้วที่ไม่ตายดี”
“นี่ยังกล้าพูดอีกรึ?!” เผยเหวินเซวียนได้ฟังคำของนางก็โกรธสุดขีด เขาบีบท่อนไม้ที่ใช้เขี่ยกองไฟแน่น พยายามข่มวาจาของตัวเองที่กำลังจะพ่นออกไป ดวงตาจ้องหลี่หรงเขม็ง “หลี่หรง ข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ผิดต่อท่าน แม้ว่าท่านและข้าจะทะเลาะกันบ่อยครั้ง จนบางครั้งถึงขั้นปะทะกัน แต่หลายปีที่ผ่านมาข้าก็ไม่เคยทำผิดต่อท่านมิใช่หรือ? เพื่อจะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท ท่านกลับให้ซูหรงชิงลงมือ...”
“แล้วท่านไม่ได้ทำหรือไร?” หลี่หรงกล่าวเสียงเย็น “เพื่อตำแหน่งรัชทายาท กลับลืมคำสาบานพันธมิตรระหว่างเรา ท่านสังหารข้าได้แล้วข้าไม่มีสิทธิ์ลงมือรึ? ที่ข้าสังหารท่าน ก็แค่ทำตามคำสาบานระหว่างเราเท่านั้น”
เมื่อฟังถึงตรงนี้เผยเหวินเซวียนก็นิ่งงัน เขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง รีบถามอย่างรีบร้อน “ใครกันแน่ที่ตระบัดสัตย์ ชิงลงมือทำร้ายฝ่ายตรงข้ามก่อน?”
หลี่หรงได้ยินคำถามของเผยเหวินเซวียนแล้วก็รู้สึกเอะใจเช่นกัน สีหน้าเปลี่ยนทันควัน “ไม่ใช่ว่าท่านวางยาพิษข้าก่อนรึ?” ว่าแล้วก็รีบอธิบายต่อ “ท่านมาหาข้าและเตือนเชิงข่มขู่ให้ข้าระวังตัว วันนั้นบนตัวท่านเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่แปลกประหลาด หลังท่านกลับไปไม่นานข้าดื่มยาถ้วยหนึ่งพิษก็กำเริบ นั่นไม่ใช่ยาพิษที่ท่านวางไว้หรือ?”
“ไม่ใช่” เผยเหวินเซวียนตื่นตะลึง เขารีบเรียบเรียงเหตุการณ์ในชาติที่แล้ว ก่อนจะอธิบาย “ข้าส่งคนไปแฝงตัวในตำหนักของท่านจริง แต่ก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ข้าสั่งให้คนวางยาท่านหลังจากที่ท่านส่งคนมาสังหารข้าแล้ว”
“ท่านตายตอนไหน?” หลี่หรงถามพลางขมวดคิ้ว
เผยเหวินเซวียนครุ่นคิดแล้วตอบ “ตอนกลับจากตำหนักองค์หญิง ระหว่างทางก็ถูกซูหรงชิงนำทหารมาไล่สังหาร”
“นั่นเป็นคนของข้าจริง” หลี่หรงหลุบตาลง ทั้งสองนิ่งเงียบ ต่างคนต่างใช้ความคิด
เผยเหวินเซวียนคิดแล้วก็สรุปออกมา “หมายความว่าชาติที่แล้ว ท่านไม่เคยมีความคิดที่จะสังหารข้า แต่เพราะมีคนทำให้ท่านเข้าใจผิดคิดว่าข้าวางยาพิษ ก่อนตายท่านจึงส่งคนไปสังหารข้าใช่หรือไม่?”
“ท่านพูดไม่ผิด” หลี่หรงรับคำเสียงเบา
เผยเหวินเซวียนมองหญิงสาวเงียบๆ หลังจากสงบสติอามรณ์ครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงเย็น เขาอยากพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ ขณะเดียวกันก็ใช้มือตบต้นขาตัวเองสองสามครั้งก่อนจะถอนใจแล้วเอ่ย “นับว่าเป็นแผนการที่ล้ำลึก เพราะฉลาดเกินจึงพลาดท่าเสียที หลี่หรง...สุดท้ายท่านก็ไม่เคยเชื่อใจข้า”
“แล้วท่านเชื่อใจข้ามากนักหรือ?” หลี่หรงเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยประกายตาเยือกเย็น
หากเชื่อใจในตัวอีกฝ่าย นางคงไม่ตราหน้าว่าเขาเป็นคนร้ายตั้งแต่แรก ถึงขนาดยอมมอบอำนาจบัญชาการทหารองครักษ์ให้ซูหรงชิง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังหารเขาให้จงได้
ส่วนเขาก็คงไม่ส่งสายลับเข้ามาแฝงตัวอยู่ในตำหนักของนาง เตรียมพร้อมที่จะลอบสังหารนางได้ตลอดเวลา
“ท่านพูดไม่ผิด” เผยเหวินเซวียนพยักหน้า “ขนาดสามีภรรยาจริงๆ ยังยากที่จะเชื่อกันได้อย่างสนิทใจ นับประสาอะไรกับพวกเรา แต่ข้าสงสัยบางอย่าง ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือข้า?”
“ข้าตายเพราะพิษเซียงเหม่ยเหริน” หลี่หรงทบทวนความจำก่อนสิ้นใจ “ตอนท่านมาหาข้า บนร่างมีกลิ่นหอมโชยออกมา ปกติท่านแทบจะไม่พกถุงหอม แต่วันนั้นท่านกลับพกติดตัวไปด้วย จากนั้นท่านก็ยกประเด็นรัชทายาทขึ้นมาพูด ทั้งยังทิ้งข้อความไว้ว่าหากข้าไม่ยอมตกลงท่านจะสังหารข้าเสีย หลังจากท่านกลับไปแล้วข้าก็ดื่มยาและถูกพิษในเวลาต่อมา”
เผยเหวินเซวียนฟังหลี่หรงเล่าเหตุการณ์ก่อนที่นางจะเสียชีวิตแล้วแววตาก็ดำดิ่ง หลี่หรงเล่าต่อ “แม้หลักฐานจะไม่ชัดเจน แต่ท่านมีแรงจูงใจและมีความสามารถมากพอที่จะทำเรื่องนี้ ที่สำคัญ หลักฐานทุกอย่างล้วนชี้ไปที่ท่าน...”
“ท่านจึงสรุปว่าเป็นฝีมือของข้า” เผยเหวินเซวียนพยักหน้ารับรู้ หลี่หรงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เผยเหวินเซวียนเกือบหลุดขำออกมา เขาก้มมองปลาย่าง แววตาคล้ายกำลังเยาะเย้ยตัวเอง
หลี่หรงรู้ตัวว่าผิดจึงไม่กล้าพูดอีก ผ่านไปหลายอึดใจนางจึงกล่าวเสียงเบา “แล้วกลิ่นหอมบนตัวท่านมาจากไหน?”
“หากข้าพูดเกรงว่าท่านจะไม่พอใจ” ดวงตาเผยเหวินเซวียนฉายแววพอใจระคนเย้ยหยัน
หลี่หรงครุ่นคิด ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ซูหรงชิง?”
“ใช่”
เผยเหวินเซวียนดึงปลาออกมาจากกองไฟแล้วพลิกซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าเนื้อปลาสุกได้ที่แล้วก็ส่งให้หลี่หรงตัวหนึ่ง หลี่หรงรับปลามาและนำกลับไปย่างต่อ
เผยเหวินเซวียนเล่าต่อเสียงเนิบ “ตอนที่ข้าไปหาท่าน ซูหรงชิงแจ้งว่าท่านกำลังป่วยหนัก หากมาจากข้างนอกต้องพกถุงหอมเข้าไปด้วย มิเช่นนั้นจะทำให้อาการไอของท่านกำเริบ ข้าให้คนตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในถุงหอมนั่นแล้ว พบว่าไม่มีส่วนประกอบใดที่เป็นพิษ ข้าจึงนำมันติดตัวเข้าไปด้วย ที่สำคัญคนของตำหนักองค์หญิงต่างพกถุงหอมแบบนี้ แต่เพราะถุงหอมของข้าค่อนข้างใหม่ กลิ่นหอมจึงยังเข้มข้น”
หลี่หรงชะงักงัน เผยเหวินเซวียนเห็นหญิงสาวนั่งนิ่งก็คิดว่านางคงไม่เชื่อเขาโดยง่าย จึงกล่าวต่อ “ท่านไม่ต้องเชื่อข้าก็ได้ ไม่เป็นไร แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่ฝีมือของซูหรงชิง แต่มันก็ไม่ใช่ฝีมือข้าแน่ อย่าเอากระดูกชิ้นนี้มาขว้างใส่ข้าเป็นอันขาด”
หลี่หรงนิ่งเงียบ นางนั่งจ้องงกองไฟนิ่งๆ เผยเหวินเซวียนย่างปลาในมือพร้อมจับจ้องหญิงสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับมีความสุข
หลี่หรงเห็นเผยเหวินเซวียนเล่าเรื่องเหล่านี้ประหนึ่งกำลังดูละครงิ้ว ก็อดรู้สึกร้อนรนไม่ได้
นางเชื่อคำพูดของเผยเหวินเซวียนอย่างสนิทใจ แต่ซูหรงชิงคือคนที่นางช่วยมากับมือ
ปีนั้นซู่อ๋องก่อการกบฏ พี่ชายของซูหรงชิงช่วยออกหน้าแทนซู่อ๋อง ต่อมาจึงถูกคนป้ายสีว่าร่วมมือกับซู่อ๋อง กล่าวหาว่าตระกูลซูร่วมมือกับซู่อ๋องก่อการกบฏ ตอนนั้นหลี่ชวนโมโหมาก สั่งลงโทษคนตระกูลซูทั้งหมดโดยที่ไม่มีการไต่สวนเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง บุรุษตระกูลซูต้องโทษประหารชีวิต ส่วนสตรีถูกส่งไปเป็นทาสใช้แรงงาน
หลี่หรงไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินนี้ ก่อนที่คนตระกูลซูจะถูกลงทัณฑ์ตามราชโองการนางรีบไปขอร้องหลี่ชวนจนถูกโบยไปทั้งสิ้นสิบไม้ ต่อมาเผยเหวินเซวียนก็ออกหน้าช่วยเกลี้ยกล่อมหลี่ชวน โทษทัณฑ์ของตระกูซูจึงเหลือเพียงกึ่งหนึ่ง
โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากจะหลบเลี่ยง แม้จะรักษาลมหายใจเอาไว้ได้ แต่บุรุษตระกูลซูทั้งหมดก็ต้องรับโทษทัณฑ์ของวังหลวง ผู้ที่ไม่อาจทนโดนลบหลู่เกียรติได้จึงพากันฆ่าตัวตาย ตอนที่นางไปถึงก็พบว่าในจำนวนสมาชิกบุรุษทั้งหมดของตระกูลซู มีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว นั่นก็คือซูหรงชิง
ยามนั้นนางบอกกับซูหรงชิงว่าจะหาทางช่วยเขาออกมา นางยินดีช่วยเหลือเขาโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จะมอบเงินและหางานให้เขาเพื่อจะได้ดำเนินชีวิตต่อไปได้
ยามนั้นนางยังไม่มีความรู้สึกพิเศษให้ซูหรงชิง แต่เพราะเขาเคยช่วยเหลือและดูแลนางในช่วงระยะสั้นๆ นางจึงรู้สึกซาบซึ้งและประทับใจในตัวเขา แต่เหตุผลหลักที่นางช่วยตระกูลซูก็เพราะตระหนักถึงศีลธรรมในใจ
ตระกูลซูเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อโดนใส่ร้ายโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนเช่นนี้นางจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้
ทว่าตอนนั้นซูหรงชิงไม่ยอมจาก เขาคุกเข่าต่อหน้านางแล้วเอ่ยขอร้อง “ตอนนี้ชีวิตกระหม่อมเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย มีอันตรายอยู่รอบตัว ชาตินี้คงดำเนินชีวิตเรียบง่ายอย่างคนทั่วไปไม่ได้ มีแค่ตำหนักขององค์หญิงเท่านั้นที่พอจะเป็นที่หลบภัยให้แก่กระหม่อมได้ กระหม่อมยินดีรับใช้องค์หญิง ใช้ชีวิตที่เหลือตอบแทนบุญคุณขององค์หญิง”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ นางจึงรับเขาไว้ ตระกูลซูมีศัตรูอยู่ไม่น้อยจริงๆ ชั่วชีวิตนี้ซูหรงชิงมิอาจเข้ารับราชการได้อีก และด้วยสภาพร่างกายของเขาทำให้ยากที่จะหางาน นางไม่อาจทนเห็นซูหรงชิงโดนลบหลู่ได้
เพราะเคยต้องโทษมาก่อน ดังนั้นการให้ซูหรงชิงอยู่ในตำหนักองค์หญิงจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ต่อมาทั้งสองจึงเกิดความรู้สึกที่ต่อกัน ถึงแม้เผยเหวินเซวียนจะจับความผิดปกตินี้ได้แต่ก็ไม่สามารถพูดหรือห้ามปราม ส่วนหลี่ชวนและขุนนางคนอื่นๆ นั้นไม่สนใจที่จะสังเกตเรื่องพวกนี้ เผยเหวินเซวียนจึงเหมือนถูกสวมหมวกเขียว ให้แบบครึ่งๆ กลางๆ
ไม่ใช่ว่าหลี่หรงไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งซูหรงชิงอาจจะล้างแค้น ในเมื่อหลี่ชวนเป็นคนออกราชโองการให้สังหารบุรุษตระกูลซูทั้งหมดและส่งสตรีไปเป็นทาส ไม่ว่าใครก็คงไม่อาจลืมความแค้นอันยิ่งใหญ่ของตระกูลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ได้รับชื่อว่าเป็นคุณชายอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอย่างเขา ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานางจึงไม่กล้ามอบอำนาจให้ซูหรงชิง ด้านหนึ่งก็คอยตรวจสอบ แต่อีกด้านก็พยายามให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น
ศีลธรรมในใจนางทำให้นางสังหารเขาไม่ลง แต่ก็ไม่วางใจที่จะมอบอำนาจให้เขา
ทว่าสุดท้ายเขาก็ลงมือ ซูหรงชิงสังหารนางก่อนแล้วใช้โอกาสนี้ทำลายชื่อเสียงของเผยเหวินเซวียน ใช่เล่ห์เหลี่ยมช่วงชิงอำนาจในมือนางมาได้อย่างราบรื่น หากนางเดาไม่ผิดเขาจะต้องเฝ้าสุสานของนางไม่ยอมจากไปอย่างแน่นอน แล้วให้เหตุผลว่าเขาจะล้างแค้นให้นางเพื่อซื้อใจบริวารของนาง ร่วมมือกับฮองเฮาผลักดันหลี่ซิ่นขึ้นครองบัลลังก์ เปิดศึกข้าอยู่เจ้าม้วยกับคนของเผยเหวินเซวียน
ต้องทำเช่นนี้เขาถึงจะสามารถซื้อใจคนของนางได้ และมีอำนาจที่แท้จริงในมือ หลายปีมานี้หลี่ชวนสนใจแต่เรื่องทางธรรม อำนาจและบารมีของฮ่องเต้สั่นคลอนมานานแล้ว บวกกับสุขภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีในระยะนี้ ซูหรงชิงอาจจะฉวยโอกาสสังหารหลี่ชวนด้วยตัวเองก็เป็นได้
ความจริงเรื่องเหล่านี้นางก็เคยคาดการณ์เอาไว้บ้างแล้วตั้งแต่ตอนที่เพิ่งรับซูหรงชิงเข้ามา แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ หลี่หรงก็อดเสียใจไม่ได้
หากตระกูลซูไม่ประสบเคราะห์ บางทีนางกับซูหรงชิงอาจไม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้
หลี่หรงสูดลมหายใจเช้าลึกๆ เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของเผยเหวินเซวียนก็กล่าวอย่างอดไม่อยู่ “ท่านดีใจอะไร?”
เผยเหวินเซวียนยังคงย่างปลาต่อ ตอบเสียงเนิบ “ข้าเคยเตือนตั้งนานแล้วว่าคนผู้นี้ไม่สมควรเก็บไว้ แต่ท่านก็ไม่ฟัง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า?” ขณะพูดเขาก็ยิ้มจนตากลายเป็นเส้นโค้ง “ขาดทุนเลยสิ?”
“ข้าขาดทุน ท่านดีใจถึงเพียงนี้เลยรึ?” หลี่หรงกล่าวเสียงเย็น
“ไม่ผิด” เผยเหวินเซวียนกล่าวอย่างมีความสุข “องค์หญิงใหญ่ของพวกเราพลาดท่าเสียทีให้คนอื่น ช่างเป็นเรื่องที่หาดูได้ยาก” เผยเหวินเซวียนยกมือข้างหนึ่งวางลงบนอกของตัวเอง “ใจข้าพลันรู้สึกสงบ”
“ใต้เท้าเผยเข้าใจผิดแล้ว” แม้จะถูกยั่วโทสะ แต่หลี่หรงก็ยังคงตอบโต้กลับไป “อย่างน้อยเขาก็รับใช้ข้ามาตั้งยี่สิบห้าปี โดนเขาสังหารข้าก็ยินดี แต่ท่านสิ ไม่ได้กินเนื้อแพะแต่กลับมีกลิ่นสาบกรุ่นไปทั้งตัว ท่านจะลำพองตนไปทำไม?”
“ซูหรงชิงวางแผนสังหารท่าน แต่ท่านก็ยังยินดีงั้นรึ?” เผยเหวินเซวียนยิ้มเย็น
หลี่หรงปรายตามองเขา “ทำไมเล่า หรือใต้เท้าเผยไม่อนุญาต?”
“เรื่องนี้จำเป็นต้องขออนุญาตจากข้าด้วยรึ?” เผยเหวินเซวียนหัวเราะเยาะ “องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ รักจะทำสิ่งใดก็เชิญ แต่ข้าขอเตือนท่านสักคำ”
เผยเหวินเซวียนหันไปมองกองไฟที่กำลังลุกโชติ กล่าวเสียงเย็นเฉียบ “ชาติที่แล้ว ท่านหาเรื่องใส่ตัวเองด้วยการพัวพันกับเขา หากชาตินี้ยังคิดจะผูกสัมพันธ์กับเขาซ้ำสอง ถ้าโชคดีก็ได้หมั้นหมาย แต่หากโชคร้าย เกรงว่าชีวิตนี้คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”


___________________________
โทษทัณฑ์ของวังหลวง ก็คือ : การลงโทษด้วยการตอน ส่งผลให้คนผู้นั้นไม่อาจมีทายาทได้อีก
สวมหมวกเขียว เป็นสำนวน : หมายถึง มีชู้ สวมเขาให้สามี
ไม่ได้กินเนื้อแพะแต่กลับมีกลิ่นสาบกรุ่นไปทั้งตัว เป็นสำนวน : หมายถึง ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้ผลประโยชน์ด้วยเลย แต่ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่ไม่ดี ทำให้ต้องพลอยรับเคราะห์และได้รับความเสียหายไปด้วย ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว