“มันหนาวนะ” ผมเอ่ยพร้อมกับค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้ร่างบางจนกระทั่งสามารถแตะมือลงบนราวกั้นได้ ได้ยินดังนั้นคนฟังก็หันมาถามพร้อมกับทำหน้าแปลกใจ
“พี่เคยไปตรงนั้นหรอคะ” คำถามซื่อๆ นั่นทำให้มุมปากผมกระตุกยิ้มอย่างลืมตัว
“ใครจะไปเคย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ และเธอก็หัวเราะตามน้อยๆ
ก็น่ารักดีนี่... เวลาที่ไม่ทำหน้าเศร้า
“ตรงนี้เย็น ตรงนั้นน่าจะเย็นกว่า” ผมอธิบายในสิ่งที่ตัวเองคิด ยิ่งฝนตกหนักแบบนี้... น้ำในแม่น้ำจะไม่เย็นได้ยังไง
“รินว่ารินทนได้” เด็กนี่พูดพร้อมกับยิ้มออกมาอีกแล้ว ยิ่งเห็นเธอแน่วแน่แบบนี้ผมก็ยิ่งสงสัยเหลือเกินว่าเธอไปเจอหรือต้องทนกับอะไรมา ความตายมันน่ากลัวน้อยกว่างั้นหรอ
“พี่คือคนที่ช่วยรินไว้เมื่อเย็นใช่มั้ยคะ” เธอถาม... และ ‘ ริน’ คงเป็นชื่อของเธอ
“ใช่” ผมพยักหน้าเล็กน้อย และกลืนคำถามที่อยากรู้มาตั้งแต่ตอนเจอเธอครั้งแรกไปจนหมด ยามนี้ผมรู้คำตอบแล้ว... คำตอบของคำถามที่ว่าทำไมเธอถึงดูเสียใจนักตอนที่ถูกผมช่วยเอาไว้ก่อนหน้านี้ ผมยังจำแววตาในตอนนั้นของเธอได้ เธอคงตั้งใจที่จะทำให้ตัวเองถูกรถชน
“จะมาช่วยอีกหรอคะ หรือว่าแค่มาคุยด้วยเฉยๆ” รินถามขึ้นอีก ผมมองมือเล็กๆ ที่กำราวกั้นอย่างสั่นระริก ใบหน้าหวานดูซีดเซียวหลังจากที่ต้องอยู่ท่ามกลางพายุฝนมาหลายชั่วโมง ผมคิดว่าเธอคงอยู่แบบนี้ต่อไปได้ไม่นานแน่
“คิดอยู่” เอ่ยจบผมก็เห็นว่าคนตัวเล็กเริ่มนั่งโงนเงน ทีแรกตอนที่มองเธอจากบนห้องก็ลังเลห้าสิบห้าสิบว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยดี แต่ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ไม่จมน้ำตายก็คงได้เป็นปอดบวมตายแน่ๆ
“ถ้าช่วย... ต้องช่วยยังไง” ผมเอ่ยก่อนจะผวาเข้าไปคว้าเอวของคนตรงหน้าทันที เพราะจู่ๆ เธอก็หงายหลังพรึ่บมาเหมือนประคองตัวเองไม่อยู่
“เธอ... เป็นไรมั้ย” ผมพยายามเรียกสติของรินให้กลับคืนมา พร้อมกับใช้แขนอีกข้างช้อนข้อพับขาเธอเพื่อให้หลุดออกจากราวกั้น ยามนี้รินอยู่ในอ้อมแขนของผม... ดวงตาคู่สวยยังคงปรือขึ้นบ้างเล็กน้อยแต่ดูเหมือนว่าเธอเองก็คงฝืนได้อีกไม่นานนัก
“ให้รินไปอยู่ด้วยได้มั้ยคะ” เสียงเล็กๆ นั่นแผ่วเบามาก เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้... แต่เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดนั่นพยายามจะกล่อมเธอให้หลับเสียมากกว่า
และเมื่อผมไม่ตอบ... มือเล็กๆ ข้างหนึ่งของคนในอ้อมแขนก็เอื้อมมาคว้าคอเสื้อผมอย่างสะเปะสะปะ
“หรือไม่... พี่ก็แค่เดินกลับไป เดี๋ยวรินหาทางเอง” จบประโยคที่เบาราวเสียงกระซิบ คนตัวเล็กก็ทิ้งตัวใส่ผมทันที เด็กนี่หมดสติไปแล้ว... อย่างนี้หรอจะหาทางเองได้
เห็นดังนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วส่ายศีรษะให้กับตัวเองเล็กน้อย แดกเหล้าอยู่ดีๆ เสือกหาเรื่องให้ตัวเองซะงั้น
[End of Akkee’s part]
[Darin’s part]
ฉันรู้สึกตัวอีกทีก็ไม่รู้ว่ากี่โมงเข้าไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน... แถมร่างกายยังรู้สึกไม่มีแรงเหมือนคนเป็นไข้อีก ถ้าจำไม่ผิดเมื่อคืนนี้ฉันได้คุยกับพี่คนนั้น... แล้วยังไงต่อนะ
อา... ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันปวดหัวมากเลย
ฉันค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ มันเป็นห้องนอนที่ดูรู้ทันทีเลยว่าเจ้าของห้องเป็นผู้ชาย ข้างๆ เตียงมีกระเป๋าเสื้อผ้าของฉันวางอยู่ด้วย พี่เขาช่วยชีวิตฉันเอาไว้อีกแล้วใช่มั้ย... นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ
กึก...
ฉันชะงักเล็กน้อยตอนที่ตัวเองเดินผ่านกระจกแล้วเห็นว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่มันไม่ใช่ชุดนักเรียนเหมือนเมื่อวาน แน่นอนว่าวินาทีแรกฉันตกใจมาก แต่ฉันพยายามคิดในแง่ดี... เมื่อคืนนี้ฉันเปียกฝนไปทั้งตัว พี่เขาคงให้แฟนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉันแน่ๆ ใช่... ต้องเป็นอย่างนั้นแน่
เมื่อหาเหตุผลจนสบายใจฉันจึงเปิดประตูออกไปด้านนอก มันเป็นห้องนั่งเล่นที่มีโทรทัศน์จอใหญ่มาก แถมเครื่องเสียงยังอลังการอีกต่างหาก ตอนแรกฉันคิดว่าไม่มีใครอยู่ แต่พอได้สังเกตดีๆ ฉันก็เห็นว่ามีขายาวๆ ของใครคนหนึ่งเหยียดออกมาจนเลยตัวโซฟา
พี่เขามานอนอยู่นี่นี่เอง...
ฉันคิดหลังจากที่ชะโงกหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ แถมตรงโต๊ะกระจกตัวเล็กก็ยังมีพวกห่อขนม ขวดเหล้า และขวดโซดาวางเกลื่อนเลยด้วย อย่าบอกนะว่าพี่เขากินคนเดียวหมดนี่เลยน่ะ
ด้วยความที่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร ฉันเลยนั่งลงบนพื้นแล้วจ้องคนตัวใหญ่ที่ยังนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา จะว่าไปแล้วฉันไม่เห็นใครอื่นอยู่ที่นี่เลยด้วย งั้นชุดที่ฉันใส่อยู่นี่เขาก็เป็นคนเปลี่ยนให้งั้นหรอ... น่าอายจัง
หลังจากนั้นฉันก็ได้แต่นั่งคิดอะไรเงียบๆ อยู่คนเดียวจนกระทั่งคนตัวโตเริ่มขยับตัว วินาทีแรกที่เขาลืมตาแล้วเห็นฉัน... เรียวคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีเหมือนงุนงง ฉันมองคนตรงหน้าตาปริบๆ หรือว่าพี่เขาเมาจนลืมไปกันนะ
“คือว่าเรื่องเมื่อคืน...” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองควรเริ่มจากตรงไหนดี แถมยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจบประโยคเลยด้วยซ้ำ... คนตรงหน้าก็ค้างนิ่งเป็นหินไปแล้ว
อา... หรือว่าฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่านะ
“บอกทีว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเธอ” เขาเอ่ยขัดขึ้นอย่างรัวเร็ว จนฉันต้องเลิ่กคิ้วแล้วส่งเสียงครางอย่างแปลกใจ
“หื้ม... ทำค่ะ” คำพูดของฉันทำให้คนฟังทำหน้าช็อกโลก อะไรอ่ะ... ทำไมพี่เขาต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น เมื่อคืนเขาเมาจนจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ หรอ
“พี่ช่วยรินไว้ไงคะ แล้วก็... เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ริน” ท้ายประโยคฉันเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับความรู้สึกร้อนผ่าวที่ข้างแก้ม ได้ยินดังนั้นคนตัวโตก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับโล่งอก เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างลวกๆ ราวกับเพิ่งผ่านพ้นนาทีระทึกขวัญมาอะไรแบบนั้น
“อันนี้รู้แล้ว... ไม่มีมากกว่านี้ใช่มั้ย” เขาถามกลับจนฉันได้แต่กระพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง มากกกว่านี้หรอ... หรือว่ามีเรื่องอะไรอีกนะ
“หมายถึงอะไรหรอคะ” ฉันถามไปตามที่คิด ก่อนที่คนตรงหน้าจะยกมือขึ้นโบกเล็กน้อย แล้วเอ่ยตัดประเด็นอย่างไม่ถือสาหาความอะไรนัก
“ไม่มีอะไรหรอก” จบประโยคฉันก็พยักหน้ารับคำพูดของเขา เราปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมอยู่สักพัก ดูเหมือนว่าพี่เขาจะยังง่วงอยู่ก็เลยนั่งมองฉันแบบมึนๆ น่ะ ส่วนฉันก็ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ เท่าไหร่หรอกเลยแกล้งทำเป็นมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย จนกระทั่ง...
แหมะ...
“ตัวไม่ร้อนแล้วนี่” คนตรงหน้าว่าหลังจากที่ขยับหลังมือมาแนบที่หน้าผากฉัน การกระทำนั้นทำให้ฉันตกใจจนผงะนิดหน่อย หรือว่า... เมื่อคืนฉันตัวร้อนหรอ
“ขึ้นมา นั่งคุยกันก่อน” เขาเอ่ยขึ้นอีกเป็นประโยคถัดมา พร้อมกับใช้มือตบลงบนผิวโซฟาเป็นเชิงสั่งให้ฉันขึ้นไปนั่งด้านบนกับเขา ดังนั้นฉันจึงต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้ ฉันขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟาโดยเว้นระยะห่างระหว่างเราไว้พอประมาณ
“เราชื่ออะไร” เจ้าของห้องซักถามด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังมากขึ้น ฉันจึงช้อนสายตาขึ้นสบกับคนตัวโตก่อนจะหลุบลงเพราะรู้สึกไม่กล้าสู้สายตากับเขา
“รินค่ะ... ชื่อดาริน” ฉันเอ่ยทั้งที่ยังก้มมองตักตัวเอง
“ปัญหาที่บ้านหนักมากเลยหรอ” คำถามนี้จากเขาทำให้ฉันยิ่งไม่กล้าเงยหน้าเขาไปใหญ่ พี่เขาโตกว่าฉันมาก... คงจะคิดว่าฉันเป็นพวกเด็กมีปัญหาสินะ แต่จะว่าไปตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนพวกนั้นเลยสักนิด... ฉันมีปัญหาจริงๆ
“พี่ไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นเรื่องอะไร แต่เราไม่ควรหนีออกมาแบบนี้... พ่อแม่เราจะเป็นห่วง” คนตรงหน้าเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และฉันก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งขอบตา พี่เขาไม่เข้าใจฉัน... ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย
“ไม่หรอกค่ะ ไม่มีใครห่วงรินจริงๆ หรอก” ฉันเอ่ยขึ้นเสียงเครือพร้อมกับที่หยาดน้ำใสหยดแรกไหลอาบแก้ม ฉันพูดจริงนะ... นั่นไม่ใช่การประชดเลย ทุกคนในบ้านนั้นทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตกนรก พวกเขาทุกคนทำให้ฉันรู้สึกแย่แม้กระทั่งแม่แท้ๆ ของฉันเอง
“มีอะไรที่พี่ช่วยได้มั้ย” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับที่ฉันถูกเขาใช้มือช้อนปลายคางขึ้น ฉันมองคนตรงหน้าด้วยสายตาพร่ามัว น้ำตาเริ่มไหลทะลักราวกับเขื่อนแตกจนเขาต้องใช้ปลายนิ้วโป้งช่วยเกลี่ยที่ผิวแก้ม
เขาเป็นคนแรกที่ถามแบบนี้... เขาเป็นคนแรกที่ยื่นความช่วยเหลือมาให้ฉัน นั่นจึงทำให้ฉันเริ่มรู้สึกมีความหวัง ฉันรู้สึกเหมือนมีทางอื่นให้เลือก
“ริน... ฮึก รินขออยู่ที่นี่สักพักได้รึเปล่าคะ รินจะไปหางานทำ” ฉันพูดขึ้นแกมขอร้อง... และเมื่อได้ยินดังนั้นคนฟังจึงนิ่งไป ฉันรู้ว่านี่มันแย่ ฉันรู้ว่าฉันอาจจะขอมากไป แต่ฉันกำลังให้โอกาสตัวเองอยู่ ถ้าเขาอนุญาตฉันก็จะรีบไปหางานแล้วเอาเงินมาเช่าห้องถูกๆ อยู่ในเดือนถัดไป แต่ถ้าไม่... ฉันก็คงต้องกลับไปใช้แผนเดิมของตัวเอง ซึ่งฉันไม่อยากทำ
“เรายังเรียนอยู่ไม่ใช่หรอ เรียนให้จบก่อน” คนตรงหน้าเอ่ยหลังจากที่เงียบไป หรือว่า... เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่งั้นหรอ เขาอนุญาตให้ฉันอยู่ที่นี่ได้หรอ
“แต่ว่า...” ฉันพูดขึ้นอย่างลังเล ก่อนจะถูกคนตัวโตเอ่ยขัดราวกับอ่านใจกันออก
“เรื่องอื่นไม่ต้องกังวล จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็อยู่ไป แล้วถ้าอยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็บอกพี่” นี่ฉัน... กำลังฝันอยู่รึเปล่านะ คนใจดีแบบนี้มีจริงๆ หรอ ฉันได้แต่คิดและปล่อยให้หยาดน้ำใสไหลอาบแก้ม... เขากำลังช่วยชีวิตฉันไว้เป็นครั้งที่สามแล้วนะ
“ทำไมพี่ถึงช่วยรินคะ” นั่นเป็นสิ่งที่ฉันสงสัย ก่อนที่ดวงตาคู่คมจะเลื่อนมาสบกับฉันอีกครั้งแล้วละไปมองที่อื่น
“ไม่รู้เหมือนกัน เป็นใครก็ต้องช่วยล่ะมั้ง” เอ่ยจบร่างสูงก็เดินหายเข้าไปในห้องที่ฉันเพิ่งออกมา จะว่าไปแล้ว... เหมือนที่นี่จะมีห้องนอนห้องเดียวสินะ
หลายวันต่อมา
สภาพจิตใจของฉันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ดาวน์และดำดิ่งจนคิดเรื่องน่ากลัวเหมือนในช่วงแรกแล้ว แต่ความรู้สึกแย่ที่มีก็ยังไม่เปลี่ยน รู้มั้ยว่าที่ผ่านมาฉันเอาแต่นอนแหละ... มันเป็นครั้งแรกที่ฉันนอนหลับได้สนิทหลังจากที่เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้น ฉันนอนเยอะมากจนพี่ ‘คี’ ต้องเข้ามาปลุกเลยล่ะเพราะเขากลัวว่าฉันจะนอนแล้วไม่ตื่น
อ้อ... พี่เขาชื่อ ‘คี’ นะ ชื่อจริงว่า ‘อัคคี’ ฉันรวบรวบความกล้าถามเขามาเมื่อหลายวันก่อนแหละ
“ตื่นเร็วนะวันนี้” พี่ ‘คิม’ เอ่ยทักขึ้นทันทีที่ฉันเปิดประตูห้องนอนออกไปด้านนอก เขาชื่อ ‘คิมหันต์’ เป็นเพื่อนสนิทของพี่คี มาดื่มเหล้าที่นี่เกือบทุกวันเลยเพราะเขาอาศัยอยู่คอนโดนี้เหมือนกัน ห้องเขาอยู่ถัดจากห้องพี่คีแหละ
“รินนอนมาหลายวันจนเต็มอิ่มแล้วค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับฉีกยิ้มเล็กน้อย ที่จริงฉันคุยกับพี่คิมบ่อยกว่าพี่คีอีกนะ พี่คีน่ะเป็นคนไม่ค่อยพูดเท่าไหร่
“ทำไมใส่ชุดนักเรียน” พี่คีที่นั่งอยู่บนโซฟาถามขึ้นหลังจากที่หันมามอง มันเป็นเพราะตอนแรกเขานั่งหันหลังให้อยู่น่ะ ก็เลยเพิ่งเห็นล่ะมั้ง
“รินว่าจะลองไปโรงเรียนดูค่ะ” ฉันเอ่ยก่อนจะก้มลงมองชุดนักเรียนของตัวเองที่ไม่ได้ใส่มาหลายวัน ฉันอยากเรียนให้จบนะ... และตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ไม่มีใครในบ้านนั้นออกตามหาฉัน
“มากินข้าวก่อน” พี่คีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากที่เขามีสีหน้าครุ่นคิด เขาตบพื้นที่ว่างบนเบาะโซฟาข้างๆ ตัวเองเป็นเชิงสั่งให้ฉันไปนั่งตรงนั้น ก่อนจะพยักพเยิดไปยังถุงใส่กล่องอาหารแบรนด์ดังที่เขาน่าจะซื้อติดกลับมาตั้งแต่เลิกงาน
ฉันลงมือจัดการอาหารพวกนั้นโดยไม่รอให้พี่คีต้องบอกซ้ำ พี่คีน่ะชอบซื้อของอร่อยๆ มาให้กินตลอดเลย
“ทำไมพวกพี่ดื่มเหล้าทุกวันเลยอ่ะคะ” ฉันเอ่ยขึ้นหลังจากที่ตักอาหารเข้าปากได้สองสามคำ พลางมองผู้ชายสองคนตรงนี้สลับกันไปมา
พี่คิมเป็นคนแรกที่หัวเราะ... ฉันเห็นเขามองเพื่อนตัวเองแล้วขำไม่หยุดเลย อะไรอ่ะ... พี่คีมีอะไรน่าขำหรอ ฉันคิดและได้แต่มองพี่คีที่ยังทำสีหน้านิ่งๆ เหมือนเดิมอย่างไม่เข้าใจ
“ดูแย่หรอ” พี่คีหันมาถามฉันที่นั่งมองเขาตาปริบๆ
“รินแค่สงสัยค่ะ” ฉันตอบพลางยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ หรือว่า... ฉันจะถามตรงเกินไปนะ คิดไปคิดมามันก็เป็นคำถามไปในเชิงลบได้เหมือนกันนี่เนอะ
“คลายเครียด อยากด้วยส่วนหนึ่ง” พี่คีตอบคำถามของฉันก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ได้ยินดังนั้นฉันจึงพยักหน้าหงึกหงักแล้วกินข้าวต่อ
ที่จริงฉันก็แค่ถามไว้เป็นความรู้เท่านั้นเอง เพราะตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ก็เห็นพวกพี่เขาดื่มกันทุกวันเลย ฉันเคยได้ยินเขาบอกกันว่าพวกเหล้าเบียร์มันขม ก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงชอบดื่มกันนัก
“รินถามได้มั้ยคะว่าพวกพี่ทำงานอะไรกัน... แบบว่าเห็นไปตอนกลางคืน” ฉันเอ่ยขึ้นอีกเพราะไม่ชอบให้บรรยากาศมันเงียบ แต่สิ่งที่ได้กลับมามันคือความเงียบที่มากกว่าเดิมจนฉันต้องแอบกลืนน้ำลาย หรือว่า... ฉันไปถามอะไรที่ไม่ควรเข้ารึเปล่านะ
“ไม่ต้องตอบก็ได้นะคะถ้าไม่อยาก รินแค่ถามเป็นความรู้” ฉันเอ่ยต่อพร้อมกับยิ้มแหยๆ ก่อนจะตักข้าวใส่ปากแล้วคิดว่าหลังจากนี้จะพยายามสงบปากสงบคำให้มากที่สุด
“ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก แค่ไม่รู้จะตอบว่าอะไร” เป็นพี่คิมที่เอ่ยขึ้น เขาฉีกยิ้มเล็กน้อยตอนที่ฉันเงยหน้าขึ้นมอง
“ทำหลายอย่าง... แล้วแต่เค้าจะสั่ง หลักๆ ก็คุมผับ” พี่คีที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันเอ่ยสมทบ ก่อนจะล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วใช้ริมฝีปากคาบเอาไว้ ดวงตาคู่คมกวาดหาไฟแช็กบนโต๊ะ ฉันที่เห็นก่อนจึงเอื้อมมือไปหยิบแล้วยื่นมันให้เขา
“โห... เท่” ฉันว่าพร้อมกับยิ้มแฉ่ง จนมือพี่คีที่กำลังขยับมาหยิบไฟแช็กหยุดชะงัก