[Fanfiction Harry Potter รุ่นลูก] เด็กหญิงผู้รอดชีวิต

ตอนที่ 8 บ้านใหม่ เพื่อนร่วมห้องใหม่

ตอนที่ 5 เพื่อนคนแรกของกันและกัน

รถไฟกำลังแล่นออกเดินทางไปตามเส้นอันยาวไกลที่จะไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้ ภายในรถมีเพียงเด็กและวัยรุ่นที่เตรียมกันไปยังสถานที่ที่พวกเขาต้องไป ตามทางเดินยังมีเด็กเดินไปตามทางเรื่อยเปื่อยกันพอกับอบิเกลที่กำลังมองหาตู้ที่ว่างพอที่เธอจะขอไปร่วมนั่งด้วย แต่ทว่าแต่ละตู้นั้นไม่มีที่ว่างเลยสักนิด ทำเอาเธอไม่ชอบใจเลยที่ไม่มีที่นั่งแบบนี้ ระหว่างที่อบิเกลกำลังเดินไปตามทางนั้นเด็กชายผมแดงเงยหน้ามาเห็นเด็กหญิงที่เขาเคยเจอกำลังเดินผ่านตู้ของเขา เขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออกพร้อมกับชะโงกหน้าออกไป


"เฮ้! ยัยลูกฆาตกร!!"

อบิเกลถึงกับหยุดชะงักกับคำเอ่ยเรียกที่เธอไม่เคยได้ยิน แต่เสียงตะโกนของอีกฝ่ายทำให้เด็กหลายคนที่อยู่แถวนั้นต่างตกใจว่าแถวนี้มีลูกของฆาตกรอยู่ด้วยเหรอ อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็แอบรู้สึกตกตะลึงที่มีคนกล้าเรียกเธอแบบนั้น แต่เธอไม่คิดจะหักไปให้เสียงอารมณ์ก่อนจะเดินต่อ เด็กชายที่เห็นแบบนั้นก็ตะโกนอีก

"นี่! ยัยผมดำ! ไม่ได้ยินที่ฉันเรียกหรือไง!"

อบิเกลรู้สึกว่าตอนที่เดินมาก็ไม่มีคนผมดำเลย มีก็มีแต่เธอทำให้ใบหน้าเธอขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่อีกฝ่ายกำลังเรียกเธอ

"นายเรียกใครว่าลูกฆาตกร!" อบิเกลหันหลังไปมองก็เห็นว่าคนที่เรียกเธอเป็นเด็กชายผมแดง

"ใครล่ะ ก็เธอไง! เธอเป็นลูกของคนคนนั้นไม่ใช่หรือไง? ชายที่เคยเป็นน้องชายของมือปราบมารที่เก่งที่สุดในทศวรรษนี้ อาของฉัน! แฮร์รี่ พอตเตอร์!"


เหล่าเด็กที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันฮือฮากันถึงชื่อที่ยังทรงอำนาจในโลกเวทมนตร์อยู่ ทำให้ทุกคนต่างซุบซิบกันว่าเด็กชายเป็นถึงหลานและลูกชายของรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ด้วย เสียงซุบซิบที่ได้ยินทำให้เธอนึกได้ว่าเคยเจออีกฝ่ายที่ไหน เธอเคยเจอกันที่ร้านไม้กายสิทธิ์ยิ่งนึกถึงตอนนั้นก็เคืองกับพ่ออีกฝ่ายสุด ๆ อบิเกลไม่สนใจว่าอีกฝ่ายมีฐานะหรือชื่อเสียงอะไร แต่กล้ามาพูดว่าเธอเป็นลูกฆาตกรก็ทำเอาเธอกำหมัดแน่นอย่างโกรธเคือง เพราะคำพูดอีกฝ่ายเหมือนกล่าวหาอาของเธออย่างอ้อม ๆ


"อา…พ่อฉันไม่ใช่ฆาตกร!!"

"เธอคิดเหรอว่าเขาไม่ใช่นะ!" เด็กชายพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ชอบใจอีกฝ่าย "แล้วเขาหายไปไหนตอนที่ครอบครัวอาพอตเตอร์ตายล่ะ!"

"เขาไปทำภารกิจ!"

"แต่แม่ฉันไม่ได้ออกคำสั่ง!!"

"เรื่องของแม่นายสิ! แต่พ่อฉันบอกว่ามีคนออกคำสั่ง เขาก็ทำ อย่ามาหาเรื่องฉัน นายวีสลีย์ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนนำไม้กายสิทธิ์ขึ้นมา”

"เด็กปี 1 ห้ามใช้ไม้กายสิทธิ์นะ…" เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น

อบิเกลหันไปมองเด็กที่พูดก่อนจะยิ้มออกมา "ฉันรู้ว่าปี 1 ห้าม แต่อาชีพฉันมันต้องใช้ตลอดล่ะนะ"

"เอ๋!?"

ทุกคนต่างมองอีกฝ่ายอย่างงุนงงว่าอีกฝ่ายมีงานทำแล้วเหรอ ก่อนที่อบิเกลจะยกมือชี้หน้าไปทางนายวีสลีย์

"จำไว้ละกัน นายเรียกฉันว่าลูกฆาตกร ตั้งแต่นี้ไปนายกับฉันเป็นศัตรูกัน!!"

คำพูดนั้นทำเอาทุกคนสะดุ้งแบบสุด ๆ ที่เด็กหญิงกล้าเป็นศัตรูกับลูกชายรัฐมนตรี เธอไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน แต่กล้าเรียกเธอแบบนั้น เธอก็ถือว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู พอพูดจบเธอกับสะบัดหน้าหมุนตัวกลับไปทางเดิมที่เธอจะเดินต่อโดยไม่แยแสใคร มีเพียงเด็กชายวีสลีย์ที่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจเขากำหมัดอย่างขุ่นเคืองใจกับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก


อบิเกลเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างโกรธเคืองตั้งแต่วันแรก เธออุตส่าห์อยากทำตัวเด่น ๆ จนคนสนใจแต่นี่เด่นไปทางด้านลบซะงั้น จนเธออยากใช้ไม้กายสิทธิ์เสกให้ไอ้ผมแดงนั้นเป็นกบเสียเลยแต่ถ้าเธอทำแบบนั้นอาเธอจะเดือดร้อนเอาได้เช่นกัน เธอเดินไปตามทางก็เห็นแต่ห้องเต็มไปหมดจนใกล้ถึงประตูทางเชื่อมก็มีห้องหนึ่งที่มีเด็กชายผมขาวอยู่คนเดียวในตู้นั้น อบิเกลเห็นก็รู้สึกดีใจที่ตู้นี้มีแค่คนเดียว เธอยิ้มอย่างดีใจก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในทันที


"ขอรบกวนด้วยค่ะ!!"

เด็กชายสะดุ้งกับเสียงตะโกนจนเขาหันไปมองอย่างตื่น ๆ ใบหน้าของเขานั้นขาวซีดอยู่แล้ว แต่พอหันมาหาอีกฝ่ายมันดูซีดกว่าเดิม

"มี…มีอะไรเหรอ…?”

"เอ่อ…ทุกตู้มันเต็มแล้ว ฉันเลยอยากขอนั่งด้วยนะ"

เด็กชายได้ยินแบบนั้น เขากับทำหน้าอมทุกข์พร้อมกับก้มหน้าลง "เธอไม่อยากมานั่งกับฉันหรอก…ถ้าเธอรู้ว่าฉันเป็นใครนะ…"

"หมายความว่าไง?" อบิเกลพูดพร้อมค่อย ๆ เดินมา

"ทุกคนพอได้ยินชื่อและนามสกุลของฉัน ทุกคนรู้และรังเกียจฉัน…เพราะครอบครัวฉัน เคยเป็น…ผู้เสกความตาย…"


อบิเกลได้ยินก็นิ่งไปชั่วครู่ สำหรับใครบางคนที่เคยมีคนในครอบครัวเป็นผู้เสกความตายก็จะมีแต่คนรังเกียจ แต่หลายปีมานี้มีการเปิดเผยชื่อผู้เสกความตายเยอะมาก เพื่อตามหาเพราะรู้สึกว่าเริ่มมีเยอะขึ้น แต่พวกนั้นก็หลบซ่อนในช่วงนี้ แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเขาเลยสักนิด ทุกอย่างมันเกี่ยวกับผู้ใหญ่ต่างหาก เธอฟังอีกฝ่ายพูดก็มานั่งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอีกฝ่ายเลย จนเด็กชายเงยหน้ามองอย่างตกใจ


"ช่างหัวเรื่องนามสกุลหรือว่าครอบครัวนายเคยเป็นอะไรมาก่อนสิ!!”

"เอ๋?" เด็กชายมองอีกฝ่ายอย่างงุนงงที่อีกฝ่ายดูเป็นพวกขวานผ่าซ่าสุด ๆ "แต่ว่า…"

อบิเกลยกนิ้วชี้มาข้างหน้าอีกฝ่ายทันที "ไม่มีแต่! นั้นมันเรื่องผู้ใหญ่ เราเป็นเด็กก็อยู่ส่วนเด็กสิ"

"แบบนั้นมันก็…ยังไงพวกเขาก็…"

"ช่างสิ เราทำตัวให้ดีที่สุดสิ! ใครไม่ชอบเราก็ช่าง อยากเป็นศัตรูกับเราก็จัดให้!!”

"ศัตรู…คงไม่มีขนาดนั้นมั้ง…"

"อ๋อ พึ่งได้ศัตรูเมื่อกี้เองนะ"

"ไวมาก!!"

"หึ แต่เราก็เป็นพวกประเภทเดียวกันล่ะนะ"

"ประเภทเดียวกัน.."

"ใช่ อ๋อ ฉันลืมแนะนำตัว ฉันชื่อ อบิเกล เมอร์รัล ยินดีที่ได้รู้จัก" อบิเกลยื่นมือมาตรงหน้าอีกฝ่าย

"อบิเกล เมอร์รัล…เด็กหญิงที่อยู่กับแผนกสัตว์วิเศษ…นะเหรอ?"

"นายรู้จักฉันด้วยเหรอ?" อบิเกลถามอย่างสงสัยรู้สึกจะมีคนรู้จักเยอะกว่าตัวเธออีก

"ก็…ก็แค่เห็นผ่านหนังสือพิมพ์นะ…"

"งั้นเหรอ ฉันไม่ค่อยได้อ่านด้วยสิ"

"เหรอ…เอ่อ…" เด็กชายมองอีกฝ่ายพร้อมกับยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย "ยินดีที่ได้รู้จัก…เมอร์รัล…ฉัน…ฉันชื่อ…สกอร์เปียส มัลฟอย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ...”

"ครอบครัวมัลฟอย…ถึงได้นายพูดแบบนั้น..."

"ใช่…ปู่ฉันเป็นผู้เสกความตาย…ปู่ฉันชักชวนพ่อฉันเข้าร่วม…แต่เขาก็…"

"เขาก็เกิดกลัวจนวินาทีสุดท้าย แล้วล้มเลิกและกลับตัว แต่ก็ยังมีคนไม่ชอบขี้หน้าเขาอยู่ดี!"

"เธอ…รู้ได้ไง?"

"อาของฉัน ไม่สิ ๆ พ่อฉันเล่าให้ฟังนะ"

"อา? พ่อ?" สกอร์เปียสมองอีกฝ่ายอย่างสงสัยอีกฝ่ายจะพูดถึงพ่อหรืออากันแน่

"โทษที ๆ พอดีฉันกำลังฝึกเรียกอาว่าพ่อนะ"

"เอ๋…อาเธอคือ…?"

"สก็อต เมอร์รัลนะ"

"ฉันนึกว่าเขาเป็นพ่อเธอซะอีก เห็นอยู่ใกล้ ๆ ตลอดนะ"

"ก็เขาเป็นผู้ปกครองของฉันนะ ก็เหมือนพ่อของฉันละนะ แต่เราสองคนไม่ใช่สายเลือดเดียวกันนะ"

"แล้วพ่อแม่เธอล่ะ?"

"ไม่รู้สิ…อาบอกแค่ว่า…พวกเขาเสียไปแล้วนะ"

"โอ้…ฉันเสียใจด้วย…"

อบิเกลส่ายหน้าเบา ๆ"ไม่เป็นไร ฉันไม่รู้สึกเศร้าหรอก…เพราะจำพวกเขาไม่ได้เลยนะ"

"จำไม่ได้? พ่อแม่เสียไปตั้งแต่เธอยังเด็กเหรอ?"

"ใช่...แล้วฉันมีอาการของคนความจำเสื่อมด้วย...เลยจำอะไรไม่ได้ตั้งแต่เด็กนะ"

"งั้นเหรอ…"

"อืม งั้นเราสองคนนั่งด้วยกันไปเลยนะ!"

สกอร์เปียสยิ้มแบบเจื่อนทันที "เธอพูดแบบนั้น แต่เธอก็นั่งแล้วนี่น่า"

"อ๊ะ จริงด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า" อบิเกลหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะมองอีกฝ่ายอีกครั้ง "งั้นฉันนั่งด้วยเลยนะ"

สกอร์เปียสมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางที่ดูร่าเริงเกินคน ก็ทำให้เขายิ้มมุมปากขึ้นมา "ตามสบายเลย"

ทั้งสองยิ้มให้แก่กันจนพวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อย อบิเกลได้เล่าเรื่องราวของเธอให้อีกฝ่ายฟังว่าเกิดอะไรขึ้นมั้ง ระหว่างการเดินทางไปทำภารกิจกับอาของเธอ สกอร์เปียสฟังก็รู้สึกชีวิตอีกฝ่ายนั้นเจอแต่เรื่องน่าตื่นเต้นจนเขาอยากจะเจอมั้งจริง ๆ เพราะชีวิตปกติของเขานั้นมีแค่อยู่แต่ในบ้านเรียนรู้เวทมนตร์ต่าง ๆ หรือความรู้เรื่องต่าง ๆ เท่านั้น

"ฟัง ๆ แล้วชักอยากเป็นเจ้าหน้าที่สัตว์วิเศษเลยนะ"

"ใช่ไหม ๆ ฉันก็อยากเป็นจนได้เป็นล่ะนะ!"

"จนได้เป็น? เมอร์รัลเป็นเจ้าหน้าที่แล้วเหรอ?"

"หึ หึ~" อบิเกลยิ้มกรุบกริบ ก่อนจะยกกระเป๋าสี่เหลี่ยมเล็กขึ้นมา แล้วหยิบสิ่งบางอย่างที่มีขนาดเท่าเอหกออกมาเปิดหน้าหนึ่งให้ดู "ทาด๊า~ เจ้าหน้าที่อายุน้อยที่สุดในทศวรรษจ้า!"

สกอร์เปียสถึงกับตะลึงเมื่อเห็นบัตรเจ้าหน้าที่ของอีกฝ่าย "สุดยอด! ทำได้ไงนะ!"

"ก็ไปสอบตามกฎของกระทรวง เพื่อสอบเอาไม้กายสิทธิ์นะ แต่กลายเป็นไปสอบเข้าทำงานจนมีตำแหน่งนะ"

"แบบนี้เธอก็อายุน้อยกว่าคนอื่น ๆ เลยสิ…แล้วแบบนี้มีงานเข้ามาล่ะ?”

"ก็ฉันกำลังพักงานอยู่นะ เขียนไว้ว่าพักงานเนื่องจากเข้าเรียนนะ ทางกระทรวงถึงจะให้ผ่านอย่างเต็มตัว แต่ที่จริงก็อยากเข้าเรียนมานานแล้วนะ เรียนจบก็ไม่ต้องสอบแล้วล่ะนะ สามารถไปทำงานได้เลย!”

"สุดยอด…แบบนี้ถ้าฉันเข้าทำงาน เมอร์รัลก็เป็นรุ่นพี่ฉันนะสิ"

"ถูกต้องแล้ว!"

"งั้นรอฉันเรียนให้จบเลยนะ"

"ฉันจะรอละกันว่านายจะทำตามที่พูดไหมนะ~"

"รอได้เลย" สกอร์เปียสยิ้มอย่างร่าเริงต่างจากตอนที่เจอกันครั้งแรกที่ดูอมทุกข์ตลอดเวลา "จริงสิ ขอบคุณที่เลี้ยงขนมฉันนะ"

"เรื่องเล็กนะ เป็นเพื่อนกันก็ต้องเลี้ยงกันเล็กน้อยนั้นล่ะนะ" อบิเกลหันไปมองกองขนมที่เธอสั่งกินตอนที่คุณย่าเข็นรถเข็นมาพอดีเลยซื้อมาเยอะเลย

"เพื่อน…"


พอนึกคำว่าเพื่อน ทำให้สกอร์เปียสนึกถึงเพื่อนเก่าที่ตอนแรก ๆ ก็ดีกับเขา แต่ลับหลังด่าทอและนินทาทำให้เขากลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายโดนเพื่อนรังเกียจ เขาไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงเกลียดเขาจนผู้ใหญ่มาพูดกับเขาอย่างไม่ปิดบัง เพียงเพราะเขาคือคนตระกูลมัลฟอยตระกูลที่ตั้งแต่รุ่นพ่อจนมาถึงรุ่นลูกก็ยังเป็นผู้เสกความตาย จนกระทั่งเขาเกิดมาทุกคนก็เอาแต่พูดว่ารุ่นหลานก็คงเป็นผู้เสกความตายเช่นกัน ตอนนั้นเขาเคยร้องไห้และเกลียดพ่อกับปู่ที่ทำให้ชีวิตเขาเกิดมาเป็นแบบนี้ แม่เอาแต่ปลอบเขาที่ต้องมาเจอผลกระทบแบบนั้น พ่อก็เสียใจที่ตัวเองทำผิดไว้เยอะจนรู้สึกว่าตนเองต้องแก้ไขชีวิตของเขาเช่นกัน ตอนนั้นเขาก็รู้สึกผิดต่อพ่อที่ไม่ได้คุยกันอีกเลยตั้งแต่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น อบิเกลเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปก็เอ่ยถามขึ้น


"เป็นอะไรหรือเปล่า? มัลฟอย"

"อ๊ะ! เปล่า ๆ แค่...นึกถึงสิ่งที่ไม่อยากนึกนะ...”

“อ๊ะ...เรื่องแย่ ๆ สินะ…”

“อืม...พอได้ยินว่าเพื่อน...ฉันก็นึกถึงช่วงนั้น...ช่วงที่ฉันยังเป็นแค่เด็กไร้เดียงสา...แต่เธอกลุ่มคนที่ไม่เป็นแบบที่ฉันคิด...แค่ยอมรับว่าเป็นเพื่อนแล้วจะเป็นเพื่อนแล้วจริง ๆ”

“อ๊ะ...หรือว่า...”

“อืม...พวกเขา...ลับหลังฉัน...นินทา ใส่ร้าย...หรือไม่ก็มีคนมารังแกฉัน...เพียงเพราะฉันเป็นมัลฟอย”

“แย่ที่สุด...เพราะพวกผู้ใหญ่เอาความคิดใส่หัวเด็ก ๆ !! พวกนี้ช่างไม่น่ามีบนโลกจริง ๆ”

“ช่างเถอะ...พวกเขาก็มีเหมือนความแสงสว่างที่กำลังโดนความมืดกลืนกิน เหมือนฉันที่เป็นความมืด...แล้วกลายเป็นแสงสว่าง...”

“หมายความว่าไงนะ?”

“ฉันมีคนที่เลี้ยงดูฉัน...จนไม่ให้ฉันต้องมีด้านลบ ๆ คนที่ถึงร่างกายจะอ่อนแอแค่ไหนก็ยังรักและทะนุถนอมฉันมากกว่าอะไร”

“หือ?” อบิเกลนึกอยู่สักพักก่อนจะนึกถึงสิ่งที่เป็นแบบนั้น "แม่นายเหรอ?”

“อ๊ะ...อืม แม่ของฉัน”

“ดีจังนะ...”


“เมอร์รัลไม่มีแม่เหรอ?”

“ก็...ฉันเหมือนเด็กกำพร้ามากกว่านะ...ฉันไม่มีพ่อแม่มีแต่อาที่ดูแลฉันนะ”

“ขอโทษนะ!!”

“ไม่เป็นไร...แค่อิจฉาที่นายมีพ่อแม่ที่ยังอยู่ข้าง ๆ”

“อืม...แต่ฉันไม่ได้คุยกับพ่อมาตั้งนานตั้งแต่เกิดเรื่องแล้วนะ...”

“ทำไมนะ?”

“เพราะว่าเรื่องนั้นเป็นเพราะเขากับปู่นะ...”

“แต่นายก็น่าจะรู้นะ...ว่าเขาเคยหันหลังให้พวกนั้นแล้วนะ...”

“ก็จริง...แต่ถ้าเขาไม่เข้าไปเกี่ยวข้องก็คงไม่เกิดเรื่องนี้...”

“ก็จริงนะ...แต่ว่าพ่อนายคงจะเสียใจเหมือนกันที่ตัวเองทำให้ลูกต้องมาเจอผลกระทบแบบนั้นนะ...ถ้าได้กลับบ้านก็ลองไปคุยกับท่านก็ดีนะ”

“ไปคุยเหรอ?”


สกอร์เปียสได้ยินแบบนั้นก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องไปคุยอะไร เขามองอีกฝ่ายที่ให้คำแนะนำเขาต่างกับเพื่อนเก่าที่เล่นด้วยก็ขอให้เขาเลี้ยงของกินหรือซื้ออะไรให้ ช่างเป็นเพื่อนที่เขาไม่อยากเจอ แต่อีกฝ่ายกลับทั้งเลี้ยงขนมและรับฟัง เขาจะเชื่อใจเธอได้ไหมกลัวที่จะเจอกับสิ่งที่เคยเจอ กลัวที่จะต้องผิดหวัง กลัวที่จะต้องมานั่งร้องไห้คนเดียว สกอร์เปียสนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะกำหมัดเขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับการตัดสินใจที่เขาจะเผชิญกับมัน


"เมอร์…เมอร์รัล!"

"ว่าไง?"

"คือ…คือ…ช่วย…"

"หือ?"

"ช่วย…ช่วย…ช่วยเป็นเพื่อนกับฉันหน่อยนะ!"

อบิเกลได้ยินแบบนั้นเธอก็ฉีกยิ้มออกมาพร้อมกับยื่นมือไปหาอีกฝ่ายทันที "ได้สิ ฉันจะเป็นเพื่อนกับมัลฟอยไปตลอดเลยล่ะนะ"

"..."


ประโยคนั้นของอีกฝ่ายทำให้สกอร์เปียสเขารู้สึกตื้นตันใจมาก ๆ ตลอดหลายปีที่เขาไม่เคยมีเพื่อนที่จริงใจเลยสักคน แต่ตอนนี้เขากำลังจะมีเพื่อนสนิทที่ไม่ต้องกังวลอะไรแบบนั้นอีก แต่ไม่รู้ทำไมความดีใจเปลี่ยนเป็นความเศร้าจนน้ำตาไหลออกมา อบิเกลเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนั้นเธอก็เข้ามาลูบปลอบหลังเบา ๆ พร้อมกับเอาผ้าให้อีกฝ่ายเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอยู่


‘ทำไมหมอนี้ดูน่ารักจริง ๆ ทั้งที่ดูอ่อนแอแต่ก็...ดูน่าเอ็นดูสุด ๆ' อบิเกลคิดทะเล้นหน่อย ๆ


หลังจากที่อบิเกลปลอบอีกฝ่ายจนหยุดร้องแล้วนั้นทั้งสองคนก็ต่างพากันพูดคุยถึงหลาย ๆ เรื่องเช่นแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจนพวกเขาลืมไปเลยว่าตัวเองสองคนพึ่งรู้จักกัน ระหว่างที่พูดคุยก็มีเสียงประกาศของกลุ่มรุ่นพี่ที่กำลังเดินมาแถวขบวนเด็กเข้าใหม่ว่าจะถึงโรงเรียนอีกไม่ช้าขอให้ทุกคนเปลี่ยนชุด อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็ถึงเวลาที่จะไปเปลี่ยนชุด เธอเตรียมหยิบกระเป๋าสะพายข้างหยิบเสื้อผ้าออกมาเปลี่ยน แต่พอโผล่หน้าออกไปก็เห็นผู้คนเยอะพอตัว และยิ่งไปห้องน้ำในรถไฟทุกคนก็ยืนแออัดเต็มไปหมด


“ตายล่ะ...คนเยอะเลย...เล่นมาบอกเวลานี้ ทุกคนเลยมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันหมดเลย...”


อบิเกลส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากตรงนั้นแล้วกลับไปตู้ขบวนของเธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายแต่งตัวเสร็จแล้วจนแปลกใจว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนที่ไหน แต่เครื่องแต่งกายอีกฝ่ายนั้นก็เหมือนกับนักเรียนฮอกวอตส์ที่ใส่เสื้อคลุมสีดำปกปิดเครื่องแต่งกายข้างใน แต่เห็นขากางเกงสแล็คสีเทากับรองเท้าสีดำเข้าคู่แต่พอมอง ๆ ก็ดูดีเหมือนกันก่อนที่เธอจะเปิดประตูเข้าไป อีกฝ่ายที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่นั้นก็หันมามองเธอที่กำลังเดินเข้ามาพอดี


“อ้าว? ไม่ได้ไปแต่งตัวเหรอ?”

“ทำไงได้ล่ะ...คนเยอะนะ...แล้วนายล่ะ? ไปเปลี่ยนที่ไหนมานะ?”

“ก็...เปลี่ยนเสื้อผ้าในนี่สิ ตามกันไปห้องน้ำก็เต็มพอดี”

“เอ๋~”

น้ำเสียงของอบิเกลดูจะเปลี่ยนไป จนสกอร์เปียสรู้สึกแปลก ๆ เขาค่อย ๆ เงยหน้ามองอีกฝ่ายก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

“มัลฟอยยยย~”

“อย่าบอกนะ!” สกอร์เปียสจ้องมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่เหงื่อตกไปหมด

“ช่ายยยย ก็อย่างที่นายกำ ลัง คิด ไง ล่ะ”

“อึ้ก!!”

เวลาต่อมาสกอร์เปียสถูกผลักออกมาจากขบวนอย่างรวดเร็ว แต่พอปิดประตูได้งั้นอบิเกลก็เอาผ้าห่มลายสก็อตสีแดงปิดคลุมทุกจุดที่เห็นได้ เธอเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างในนั้นทันที สกอร์เปียสที่อยู่ข้างนอกเอาเสื้อคลุมหัวตัวเองอย่างไม่ชอบใจก่อนจะบ่นอีกฝ่าย

“เธอนี่มันใจร้ายจริง ๆ เมอร์รัล อยากเปลี่ยนเสื้อก็ขอกันดี ๆ สิ”

“ทำไงได้ล่ะ ถ้าฉันไม่ลากนาย นายจะยอมออกไหม?”

“ก็ต้องออกสิ ถามบ้า ๆ” แก้มของสกอร์เปียสแดงเล็กน้อย

“คิก ๆ”

อบิเกลหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจไม่กี่นาที เธอก็แต่งตัวเสร็จแล้วเอาผ้าออกจากรอบ ๆ ห้องพร้อมกับเดินออกมาเปิดประตูให้อีกฝ่าย

“เอาล่ะ เข้ามาได้แล้ว”

“เฮ้อ...เร็วดีนี่น่า” สกอร์เปียสพูดพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน

“แค่เปลี่ยนเสื้อ ไม่ได้อะไรนักหนาสักหน่อย”

“เหรอ? แม่ฉันนะ แต่งตัวที ใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมง”

“งั้นเหรอ นานขนาดนั้นเชียว?”

“ใช่ นานมากเลยล่ะ” สกอร์เปียสพูดแล้วนั่งลงที่ของเขา

“นานจนพ่อนายบ่นไหมนะ?”

“พ่อไม่กล้าบ่นนะ ไม่งั้นเดียวไม่ได้ไปข้างนอกนะ”

“น่านนน ฮ่า ฮ่า นึกภาพออกเลยล่ะ”

อบิเกลนึกถึงเมื่อก่อนที่เดลล่าแต่งตัวนานจนพวกผู้ชายบ่นกันจนเธอบอกไม่ไปแล้ว ทำเอาทุกอย่างวุ่นไปหมด

“ใช่ไหมล่ะ~”


ทั้งสองคนต่างพากันสนทนากันอย่างสนุกต่อไปเรื่อย ๆ จนรอเวลาผ่านไปรถไฟเริ่มส่งเสียงดังเป็นการบอกว่าใกล้ถึงสถานีปลายทางแล้ว ทุกคนต่างพากันใจเต้นไปหมดว่าตอนนี้พวกเขากำลังมาถึงสถานที่ที่มีแต่พ่อมดแม่มดที่จะได้เข้าเรียนกัน เหล่าเด็ก ๆ ต่างมองออกมานอกหน้าต่างว่าข้างนอกเป็นไง แต่ข้างนอกนั้นมืดสนิทจนมองไม่เห็น ทำให้ทุกคนต่างเสียดายว่าไม่เห็นข้างนอกเลย อบิเกลกับสกอร์เปียสก็ลองมองดูก็ไม่เห็นอะไร แต่พวกเธอคิดว่าอีกเดียวไปถึงก็เห็นเอง พวกเขาเตรียมตัวลงจากรถไฟกันเมื่อเทียบท่าเป็นที่เรียบร้อย เหล่าเด็ก ๆ ที่สวมชุดนักเรียนต่างพากันลงมาเต็มชานชาลาไปหมด อบิเกลเดินลงมาพร้อมกับสกอร์เปียสก็ยังมีคนจะแซะเธออีก


“ดูสิ ยัยลูกฆาตกรอยู่กับลูกของคนทรยศซะงั้น!”

เสียงของเด็กชายตะโกนขึ้นอีกครั้ง ทำเอาเธอรู้สึกไม่ชอบใจเลยจริง ๆ ทำเอาเธอกำหมัดแน่นจนอยากจะชนอีกฝ่าย ก่อนที่สกอร์เปียสจะจับมือเธอ

“อย่าไปสนใจเลย พวกขาดความอบอุ่น!”

“แกว่าไงนะ! มัลฟอย”

“อะไร? ไม่รู้สินะ”


สกอร์เปียสทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะพาอบิเกลเดินไปข้างหน้า แต่ทว่าพวกเธอสองคนชนเข้ากับอะไรบางอย่างเข้า จนอบิเกลมองตรงหน้ามันมืด ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้ามองก็เห็นสิ่งที่สูงตระหง่าน ทั้งสองคนค่อย ๆ ถอยหลังช้า ๆ ก็เห็นสิ่งที่ชนคือชายชราตัวสูงที่ก้มเล็กน้อยก็เห็นพวกเธอที่ตัวเล็ก ๆ ชายชรามีหนวดเคราสีขาวสีดำจนผสมกันเป็นสีเทาที่บ่งบอกถึงอายุอีกฝ่ายที่น่าจะเกินหกสิบแล้ว


“คนอะไร...ตัวใหญ่จัง...” สกอร์เปียสจ้องมองชายตรงหน้าทำเอาตะลึงสุด ๆ

“ระวังหน่อย เด็ก ๆ เดินไม่ดูทางจะชนคนอื่นได้นะ” ชายชรากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ค่ะ/ครับ”

เด็กทั้งสองต่างพากันนิ่งเงียบ ก่อนที่เจ้าผมแดงจะรีบเดินขึ้นมาเบียดพวกเธอสองคนจนไปด้านข้างทันที

“!!”

“ปู่แฮกริด สวัสดีครับ”

“ไง เจ้าหนูวีสลีย์!” ชายที่ถูกเรียกว่าแฮกริดยิ้มอย่างยินดีกับเด็กน้อย “แหม ๆ มองกี่ครั้ง เธอก็เหมือนแม่จริง ๆ เลยนะ”

“แน่อยู่แล้วครับ ทุกคนก็บอกว่าผมเหมือนแม่ครับ”

อบิเกลกอดอกมองหน้าที่เย้ยหยอกที่ตนเองนั้นเหมือนแม่จนน่าหมั่นไส้ ก่อนที่เธอจะพูดลอย ๆ ออกมา

“น่าว่าเลิกไปวุ่นวายกับอาจารย์ดีกว่านะ เขาต้องนำทางให้นักเรียนใหม่อีกนะ”

“ว่าไงนะ!?” เด็กชายผมแดงมองอีกฝ่ายที่พูดแบบนั้นด้วยสายตาไม่ชอบใจ

แฮกริดที่ได้ยินแบบนั้นก็ประหลาดใจที่เด็กรู้ว่าเขาเป็นผู้นำทาง “หือ? หนูน้อยรู้จักฉันด้วยเหรอ?”

“พอรู้จักค่ะ เพราะพ่อหนูเคยบอกว่ามีผู้ดูแลกุญแจประตูฮอกวอตส์ เป็นชายร่างใหญ่ที่ดูมีอายุแถมเขาตอนนี้เป็นอาจารย์สอนวิชาสัตว์วิเศษด้วยจริงไหมคะ? อาจารย์ รูเบอัส แฮกริด”

“ฮ่า ๆ ถูกต้องเด็กน้อย ยินดีที่ได้รู้จักล่ะ เอาล่ะตอนนี้ฉันก็ต้องทำงานจริง ๆ แล้วล่ะ! เอาปีหนึ่งตามฉันมาเราจะนั่งเรือกัน!!”


จบตอนที่ 5 โปรดติดตามตอนที่ 6 ต่อไป

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว