MY GOOD GUY หลงกลรักนายแสนดี-ตอนที่ 2 ท้องฟ้า

โดย  แยมขนมปัง

MY GOOD GUY หลงกลรักนายแสนดี

ตอนที่ 2 ท้องฟ้า

ปราชญาธิปรักษาคำพูดของตน เช่นกับที่เธอก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่ไปไหน วันนี้เธอจึงไม่ได้ไปทำงานที่ร้านอาหาร ร้านเหล้าของคณพศและร่ำเมรัยก็โทร. ไปลาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงนิดๆ ปราชญาธิปก็มาถึงบ้านของเธอแล้ว หญิงสาวหอบสังขารที่ดีขึ้นจากเมื่อวานนิดหน่อยออกมาต้อนรับ คนมาใหม่หอบหิ้วของกินเข้ามาพะรุงพะรัง เป็นอรัณย์ที่ถือมา ส่วนตัวเจ้านายนั้นเดินตัวปลิว

เพียงก้าวแรกที่เข้ามาในบ้าน ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ชายหนุ่มชะงักเท้ากลางอากาศ เขามองหญิงวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียงหน้าทีวีก่อนจะลากสายตามามองคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า

อัสมาระบายยิ้มให้ “แม่หนูเองค่ะ ส่วนนั่นป้าติ๋ม เป็นคนที่มาอยู่ดูแลแม่แทนหนู ป้าติ๋มนี่คุณโปรด เจ้านายหนู ส่วนนั่นคุณอาร์ม ลูกน้องคุณโปรดค่ะ”

ป้าติ๋มยกมือไหว้คนอายุน้อยกว่าเมื่ออัสมาแนะนำว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านาย ปราชญาธิปรีบยกมือไหว้กลับเกือบไม่ทัน เขาไม่ใช่คนดีมาก แต่ก็ไม่ถือตัวขนาดนั้น อันที่จริงก็ถือตัวขนาดนั้นนั่นแหละ เพียงแต่เลือกสถานการณ์ และไม่ใช่กับที่นี่

ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ไม่มีโซฟา ไม่มีโต๊ะ บ้านหลังเล็กที่เข้ามาก็เจอกับเตียงที่มีผู้ป่วยนอนอยู่หน้าทีวี ตรงข้ามกันเป็นประตูห้อง มองเข้าไปด้านในก็เห็นเป็นอีกห้อง ลึกกว่านั้นเป็นห้องครัว ไม่มีที่ทีให้เขานั่งได้เลย เจ้านายจึงหันไปออกคำสั่งกับลูกน้อง “อาร์ม เอาของไปเก็บไว้ในครัวให้เรียบร้อย”

ให้หลังอรัณย์ เขาก็เดินไปหยุดอยู่ใกล้เตียงของคนที่อัสมาแนะนำว่าเป็นแม่ ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีครับคุณน้า” ด้านคนป่วยทำเพียงเหลือบสายตามอง หล่อนทำได้เท่านั้น

อัสมาเดินไปหยุดอยู่ข้างชายหนุ่ม โดยปกติเธอต้องนั่งลงบนเตียงแต่เพราะเกรงว่ามารดาจะติดไข้ไปด้วย เสียงหวานเอ่ยขึ้น “แม่ นี่คุณโปรด เจ้านายของหนูเอง ใจดีมากๆ แม่หายห่วงได้เลย”

คำว่าใจดีนั้นห่างจากความเป็นตัวเขาอยู่มาก นึกอย่างไรถึงพูดออกไปแบบนั้น ปราชญาธิปได้แต่นึกสงสัย เมื่อหญิงสาวหันมาจึงเอ่ยถาม ทว่าไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งพูดออกไป เรื่องนั้นเขาก็พอจะจับทางได้ ใครจะอยากให้แม่เป็นห่วง แต่เลือกจะถามถึงอาการป่วยของเธอมากกว่า “ไข้ลดบ้างหรือยัง” อัสมาพยักหน้าลงพี้อมกับที่ฝ่ามือหนายื่นมาอังที่หน้าผาก ทำเอาเธอนิ่งงันไปทันที “กินยาครบไหม”

เขามาทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าแม่และป้าติ๋มกัน เธอรู้สึกเขินจนรู้สึกถึงอุณหภูมิที่พุ่งขึ้นสูง ก่อนจะพาเขาไปในครัวเพื่อหลบสายตาผู้ใหญ่ ไปเดินได้ไม่กี่ก้าวเขาก็ทำตัวแข็งไม่ยอมเดินตามแรงดึงของคนตัวเล็ก “ไหนห้องเธอ”

“ห้องนี้แหละค่ะ” ตอบไปด้วยความปากไว แต่ปราชญาธิปไวกว่า มือหนาหมุนลูกบิดเข้าไปด้านใน เธอจึงต้องตามเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่มันจะถูกปิดลงด้วยน้ำมือของแขก “เข้ามาทำไมคะ”

“ก็บ้านเธอไม่มีที่ให้ฉันนั่ง” ลอยหน้าลอยตาตอบก่อนจะหย่อนก้นลงบนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง ขนาดเท่านี้มีหวังกลิ้งตกเตียงเป็นแน่

“มีค่ะ ในครัวมีโต๊ะกินข้าวอยู่ แต่คุณก็เห็นว่าหน้าบ้านมันไม่ได้กว้าง แค่เตียงของแม่ก็กินพื้นที่จนจะไม่มีทางเดินอยู่แล้ว หนูจะเอาอะไรไปตั้งได้คะ”

“แล้วเวลาคนอื่นมาหาเธอ”

“ไม่ค่อยมีคนมาหาหนูหรอกค่ะ”

“เมื่อวาน”

อัสมาคิดอยู่ครู่สั้นๆ “อ๋อ พี่หล้าน่ะเหรอคะ แค่เข้ามาเยี่ยมนิดหน่อยเอง”

“ในห้อง” อัสมาหาคำพูดไม่เจอ เพราะไม่เข้าใจว่าใครจะมาหรือจะไปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา “นั่งตรงนี้”

สายตาเขาเหมือนจะหาเรื่องเธอ ทั้งๆ ที่เธอไม่มีความผิดแม้แต่น้อย และคำว่านั่งตรงนี้ หลังประมวลแล้วได้ความว่า อัคภัทรนั่งตรงนี้ตรงที่เขานั่งอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือปลายเตียงของเธอ “เปล่าค่ะ พี่หล้านั่งรอที่เตียงแม่ ไม่มีใครเข้ามาในห้องหนูเหมือนที่คุณทำหรอก”

“กินข้าวยัง”

จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง พอบอกว่ากินแล้วก็ถามถึงเรื่องกินยา แน่นอนว่าเธอจัดการตัวเองเรียบร้อยทุกอย่างตั้งแต่ช่วงสิบเอ็ดโมงกว่า และหากเขาไม่มาหาเธอคงชิงหลับตัดหน้าไปก่อนแล้ว “คุณไม่มีธุระที่ไหนเหรอคะ”

“ถ้ามีฉันจะมาอยู่ตรงนี้ไหม”

“หนูแค่ถามดีๆ” เธอเริ่มหน่ายกับคนเอาแต่ใจ “ขอบคุณสำหรับของฝากนะคะ ไว้ตื่นแล้วหนูจะกิน แต่ตอนนี้คุณลุกออกจากเตียงหนูก่อนเถอะค่ะ หนูง่วง”

“ทำไงดีล่ะ ฉันก็ง่วง” ไม่เพียงแค่ปากว่า แต่ร่างหนายังแกล้งทิ้งตัวลงนอนจนเต็มเตียง ไม่มีที่ว่างให้เจ้าของได้นอนเลยสักนิด แม้ก่อนหน้าจะรู้สึกเกร็งๆ กับชายคนนี้ แต่บัดนี้ความรู้สึกนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่อาจรู้ แต่ที่รู้ๆ คือความรู้สึกใหม่ที่แทรกขึ้นมาแทนที่ อัสมาไม่ปิดบังสีหน้าแววตาที่เริ่มจะหมดความอดทน แต่ตัวต้นเหตุกลับยังลอยหน้าลอยตา ถึงกระนั้นก็ยังมีน้ำใจขยับตัวนอนตะแคงให้มีที่สำหรับเธอ “เชิญ”

“คุณนั่นแหละค่ะ เชิญ”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เชิญอะไร ฉันก็นอนอยู่นี่แล้ว”

“เชิญออกไปค่ะ” อัสมาพูดเสียงแข็ง เพราะความเพลียจากอาการหวัดและฤทธิ์ของยาทำให้เธอง่วง ครั้นพอจะนอนก็ถูกใครบางคนกวนประสาท “คุณ-โปรด”

สาวเจ้าของห้องจำเป็นต้องเน้นเสียงทีละคำเมื่อผู้บุกรุกไม่ยอมขยับตัวไปไหน และเธอไม่ได้มีเวลามาพอมาทำสงครามประสาทกับชายหนุ่ม ในขณะที่ผู้บุกรุกทำเพียงยกยิ้มอย่างสบายใจ มองคนที่คิดว่าการขู่ของตนเองน่าเกรงขาม ทว่ามันไม่ต่างอะไรจากลูกแมวตัวเล็กๆ เลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้เขาไม่ยอมลุกออกจากเตียงเพราะนึกอยากแกล้งพวกอวดดี ก่อนหน้านี้ก็ทำเป็นอวดดีกับเขา เวลาเจอหน้าก็ทำเหมือนว่าไม่มีเขาอยู่ในสายตา เก่งให้ตลอดรอดฝั่งแล้วกัน

อัสมามองคนที่ยกมือมาตบที่ว่างบนเตียงเป็นการเชื้อเชิญ เธอผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วขยับปากเพื่อเอ่ยถามในสิ่งที่นึกสงสัย “ทำไมคุณถึงทำแบบนี้คะ หนูก็ใช่ว่าจะไม่รู้ตัว”

คราวนี้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายสงสัยบ้าง แต่เขาเลือกที่จะไม่ถามอะไรเพราะพอจะเดาทางออก เดี๋ยวเธอก็ต้องพูดออกมาเองอยู่ดี

“คุณไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าหนูนี่ หลายครั้งที่ผ่านมาที่เรามีโอกาสได้เจอกัน หนูรู้ว่าคุณไม่ได้อยากเจอหนู หนูเข้าใจถูกไหมคะ” หล่อนถาม แต่เขาไม่ยักจะตอบ “แปลว่าถูก แล้วหนูก็พยายามไม่เฉียดไปใกล้คุณ คุณจะได้ไม่อึดอัด หนูพยายามในส่วนของหนูแล้ว แน่นอนว่ามันก็มีความบังเอิญเกิดขึ้นบ้าง แต่หนูมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

“...”

“คุณโปรด คุณมานอนในห้องหนูทำไมคะ”

ชายหนุ่มยังคงนอนอยู่ท่าเดิม ไม่คิดจะขยับกายไปไหน เขาแค่อยากเอาชนะเด็กอวดดีก็เท่านั้น เห็นแล้วมันหมั่นไส้ พูดอะไรอยู่ได้ฉอดๆ บ่นกระปอดกระแปดยิ่งกว่าบรรพบุรุษ “ทำไม ฉันนอนไม่ได้เหรอ ก็ง่วง” อัสมาแค่มองอย่างไม่วางตา “ใจดำจริงๆ คนเรา รถล้มฉันก็พาไปหาหมอ กินข้าวฉันก็เลี้ยง ป่วยยังพาไปคลินิก แต่พอไอ้เราง่วง เขาดันหวงเตียง”

“หนูไม่ได้หวงค่ะ แต่หนูก็ง่วงเหมือนกัน”

“ก็นอน” ไม่ว่าเปล่า ยังมีหน้ามากวักมือเรียกเธออีก “เดินมานี่หน่อย”

แน่นอนว่าอัสมาไม่เดินเข้าไปหา แต่มีหรือคนเหลี่ยมจัดอย่างปราชญาธิปจะหาทางไม่ได้ เขาแกล้งๆ เกริ่นว่าจะเฉดหัวนักร้องสาวออกจากร้าน คนรักงานอย่างอัสมาจึงโกรธหน้าดำหน้าแดง “ผิดกฎหมายแรงงานชัดๆ”

“ช่างหัวกฎหมายอะไรนั่นสิ”

หญิงสาวได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ ไม่ยอมก้าวเท้าเข้าไปที่เตียงอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ จนกระทั่งชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบสมาร์ตโฟนเครื่องบางออกมา เธอมองด้วยความสงสัย แต่ครู่เดียวก็ถึงบางอ้อ “ผักกาด”

เพียงแค่ได้ยินชื่อของเจ้าของร่ำเมรัย เธอก็ถลาไปที่เตียงแล้วยื่นมือไปจับแขนแกร่งก่อนจะส่ายหน้าพัลวัน ปราชญาธิปกดยิ้มมุมปากก่อนจะกรอกเสียงลงไปสั้นๆ ว่า ‘โทร. ผิด’ จากนั้นจึงกดวางสายทันที พร้อมที่จับร่างบางให้ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงๆ ข้างๆ ตนเอง ด้วยเตียงที่มีขนาดเล็กและลำพังชายหนุ่มคนเดียวก็แทบจะกินพื้นที่ทั้งเตียงอยู่แล้ว เพราะเหตุนั้นเนื้อตัวของคนทั้งสองจึงเบียดเสียดกัน

นี่มันสถานการณ์สุ่มเสี่ยงชัดๆ

นัยน์ตาคมเข้มมองดูหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย ท่าทางอ่อนหัดขนาดนี้ อยากรู้จริงๆ ว่าอะไรทำให้ใจกล้าถึงขั้นเสนอตัวเป็นเด็กของเขา “เธอรู้ความหมายของคำว่า ‘เด็กเลี้ยง’ ดีแค่ไหนกัน”

หญิงสาวไม่กล้าขยับปากตอบ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ

“รู้ไหมว่าการเป็นเด็กเลี้ยงต้องทำอะไรบ้าง แล้วเธอมีดีแค่ไหนกันเชียว”

“หนูไม่ได้จะเป็นแล้วนี่คะ!” เธอเถียงเสียงขึ้นจมูกเนื่องด้วยรู้สึกโดนดูถูก

ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “แล้วถ้าวันนั้นฉันตกลง เธอคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง”

“คุณโปรด หนูป่วย หนูอยากนอนค่ะ” เธอชวนเปลี่ยนเรื่องเสียดื้อๆ เพราะไม่อยากทนฟังเขาพูดเรื่องนั้นต่อ เกรงว่ามันจะไม่จบที่การพูดคุย คนอย่างเขาคาดเดาอะไรไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาก็แสดงออกว่าไม่ชอบเธอมาตลอด แต่ไม่รู้คิดอะไรถึงมานอนอยู่บนเตียงของเธอได้

หรือปราชญาธิปจะชอบเธอเข้าแล้ว

...บ้าน่า แต่ถ้าไม่ชอบจะทำแบบนี้เพื่ออะไร

เพราะรู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น เธอเป็นคนผิวขาว อากาศร้อนนิดหน่อยหน้าก็แดง และมั่นใจว่าตอนนี้หน้าก็คงกำลังแดง เพียงแต่ไม่ใช่เพราะอากาศร้อน หญิงสาวเกรงว่าจะถูกจับได้ที่เขินไม่เข้าเรื่องจึงรีบมุดหน้าลง ซึ่งจุดที่ใบหน้าของเธอหยุดอยู่นั้นคืออกแกร่งของชายหนุ่ม ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดถึงเพียงนี้ คนที่ดูเหมือนจะอยู่คนละโลกกับเธอเช่นเขา

“ก็นอน ตื่นมาอาการจะได้ดีขึ้น”

“แล้วคุณไม่กลัวติดไข้จากหนูเหรอคะ ขนาดแม่กับป้าติ๋ม หนูยังไม่ค่อยเข้าใกล้เลยค่ะ กลัวพวกเขาไม่สบาย คุณเองก็-”

“ฉันแข็งแรง” คนฟังแอบแลบลิ้นให้กับคำพูดนั้น “บ้านเธออยู่กันแค่สามคนเหรอ”

“ไม่เชิงค่ะ ยังมีน้องฝาแฝดอีกสองคน แต่ตอนนี้แกเรียนมหา’ลัยอยู่” ปราชญาธิปยังไม่หายสงสัย เขาจึงเอ่ยถามถึงใครบางคน ซึ่งนั่นทำให้อัสมานิ่งไปชั่วครู่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ “พ่อหนูเสียแล้วน่ะค่ะ”

ครั้งนี้เป็นปราชญาธิปที่พูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่ยังอยากรู้เรื่องของแม่ที่นอนป่วยอยู่ด้านนอก และตอนนี้เขาก็พอจะเข้าใจเหตุผลว่าทำไมอัสมาถึงต้องทำงานหนักเพียงนี้ น้องฝาแฝดยังเรียนมหาวิทยาลัย แม่ป่วยติดเตียง พ่อเสียชีวิต เธอคงกลายเป็นเสาหลักของครอบครัวอย่างเลี่ยงไม่ได้

“วันนั้นฝนตกหนัก ถนนลื่น รถพ่อหนูพุ่งไปชนรถอีกคันที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ก็ต้องมาตาย ตายเหมือนพ่อหนู ส่วนแม่ก็กลายเป็นผู้ป่วยอย่างที่คุณเห็น ฝั่งนู้นเขาก็เป็นเสาหลักของครอบครัวเหมือนกัน ขาดพวกเขาไปถึงสองคน ครอบครัวก็ลำบาก และถึงพ่อจะตายแต่พ่อก็เป็นฝ่ายผิด เลยต้องชดใช้ให้เขาทุกเดือนจนกว่าจะครบตามจำนวนที่เขาเรียกร้อง ชีวิตหนูมันก็ไม่ง่ายแบบนี้แหละค่ะ เลือกได้หนูก็ไม่อยากแบกหน้าไปทำเรื่องน่าอายแบบนั้นหรอก แต่มันแค่เหนื่อย”

เขาเงียบ ไร้เสียงที่จะตอบโต้

“คุณโปรดชอบหน้าฝนไหมคะ หนูนะ เกลียดมากๆ หนูเกลียดเวลาฝนตก เกลียดตั้งแต่ตอนมันตั้งเค้า ตอนตก และหลังฝนตก ไม่ชอบเลยค่ะ”

“ไม่ชอบเหมือนกัน”

อัสมาเงยหน้ามามองคนตัวโต เธอระบายยิ้มออกมาเมื่อหาพรรคพวกได้ “เนอะ”

เขาพยักหน้ารับ วงแขนโอบรอบเอวบางแล้วกระชับไว้หลวมๆ เพื่อไม่ให้หญิงสาวเกิดความอึดอัด พูดสั้นๆ ว่า “นอนเถอะ ตื่นมาจะได้รู้สึกดีขึ้น” เขาหมายถึงทุกเรื่อง ทั้งเรื่องอาการไข้และสภาพจิตใจที่เขาเองก็เพิ่งจะรู้ว่ามนุษย์ตัวแค่นี้ต้องแบกอะไรไว้เต็มบ่า เหมือนจะแบกมากกว่าตัวเขาด้วยซ้ำ และถึงเขาจะไม่ใช่คนใจดีอะไร แต่ก็มั่นใจว่าไม่ใช่พวกใจมาร พอได้รู้แล้วก็อดจะนึกเห็นใจไม่ได้ ท่าทีของเขาย่อมเปลี่ยนไป “เดี๋ยวพาออกไปหาอะไรกิน”

“หนูต้องเลี้ยงไหมคะ”

เขานึกอยากเขกหัวคนตัวเล็กให้สมองกลับมาทำงานเป็นปกติ ทว่าที่อัสมาถามเช่นนั้นก็มีเหตุผล เธอติดปราชญาธิปไว้หนึ่งมื้อ พอเขาชวนไปทานข้าวจึงนึกขึ้นได้ว่าถึงคราวตัวเองเป็นคนจ่าย แม้จะมีงบให้แค่หนึ่งร้อยก็ตาม ก็เธอจ่ายได้เพียงเท่านั้น สำหรับเธอแล้วข้าวจานละห้าสิบบาทยังถือว่าแพง เพราะฉะนั้นมื้อละหนึ่งร้อยบาทก็ทำเอาใจสั่นแล้ว

“เลี้ยง”

“พูดจริงไหมคะ”

“ไม่จริง” หญิงสาวทำปากยื่น คนที่นึกหมั่นไส้เป็นทุนเดิมจึงเอื้อมมือมาเขกหน้าผากจนเกิดเสียง แน่นอนว่าอัสมาโวยวายขึ้นทันที “ไหนว่าง่วง ไม่เห็นจะยอมนอน”

อรัณย์ที่นั่งอยู่ปลายเตียงตามคำเชิญชวนของป้าติ๋มได้แต่หันไปยิ้มแหยให้ผู้ใหญ่ ที่ก่อนหน้านี้ก็ยิงคำถามใส่เขาจนไปไม่เป็น ว่าเจ้านายเป็นอะไรกับอัสมา ซึ่งเขาก็หาคำตอบมาตอบไม่ได้จึงส่งยิ้มแห้งๆ กลับไป ไม่เป็นอะไรกับเขาไม่พอ ยังเนียนเข้าห้องสาวเสียอย่างนั้น เจ้านายเขาช่างสร้างเรื่องเก่งเสียจริง ไม่นับที่ไปทำอะไรให้หญิงสาวโวยวายจนเสียงดังออกมาเข้าหูคนด้านนอก

“หนุ่มๆ สาวๆ นี่ดีจริงๆ” ป้าติ๋มว่ายิ้มๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออก ใบหน้าเริ่มมีเค้าความจริงจัง “แต่ป้าก็อยากให้หนูอัสได้เจอคนดีๆ กับเขาบ้าง”

“คุณอัสเจอแต่คนไม่ดีเหรอครับ”

หญิงวัยทองส่ายหน้า “แกไม่เคยเจอใครเลยต่างหาก วันๆ เอาแต่ทำงานงกๆ” ด้านชายหนุ่มรู้แค่ว่าป้าติ๋มไม่ใช่ป้าแท้ๆ ของอัสมา เป็นเพียงคนที่ถูกว่าจ้างให้มาดูแลแม่ที่ป่วยของเจ้าตัวเท่านั้น ข้อมูลนี้ได้มาช่วงที่นั่งคุยกับอีกฝ่ายระหว่างรอเจ้านายออกมาจากห้อง แต่เห็นทีคงนาน “ภาระแกเยอะ ต้องดูแลแม่ ดูแลน้อง ไหนยังจ่ายค่าชดเชยให้ฝั่งนู้น มีแต่รายจ่าย”

“ไม่รู้เลยว่าคุณอัสมีน้องด้วย”

“ฝาแฝดล่ะ”

อรัณย์ห่อปากรับคำของอีกฝ่าย ก่อนจะถามถึงใครบางคนที่ไม่ถูกพูดถึงอย่างพ่อ ก่อนจะได้รู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของป้าติ๋ม นั่นทำให้เขาซึมลงอย่างเห็นได้ชัด กลบทุกความสงสัยว่าสาวเจ้ามีความจำเป็นอันใดถึงต้องโหมงานหนักถึงเพียงนั้น

เสียงของป้าติ๋มดังขึ้นอีกครั้ง “ป้าถึงอยากให้หนูอัสเจอคนดีๆ ว่าแต่เจ้านายของเอ็งเขาเป็นแฟนหนูอัสจริงไหม”

เป็นอีกครั้งที่อรัณย์ไม่ได้ตอบคำถามเพียงยิ้มให้เท่านั้น

“ก็ใช่ว่าหนูอัสจะไม่มีใครมาชอบ ครูที่โรงเรียนนี่แหละ ครูก่อ เทียวไปเทียวมาอยู่บ่อยๆ แต่ป้าก็ไม่เห็นว่าจะคบกันสักที คงเพราะมีนายเอ็งเป็นแฟนนี่เอง”

ข้อมูลใหม่ทำอรัณย์แปลกใจ “มีคนมาชอบคุณอัสด้วยเหรอครับ” ได้คำตอบเป็นการพยักหน้า ชายหนุ่มได้แต่นึกขบขันว่าเจ้านายของตนน่าจะมีเรื่องให้ปวดหัวเข้าแล้ว แม้ปราชญาธิปจะไม่ได้พูดอะไรให้ชัดเจนในประเด็นนี้ ทว่าการที่จู่ๆ ก็บุกเข้าห้องสาวมันจะตีความเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร แม่เขาก็นอนอยู่ตรงนี้ คนอื่นก็อยู่กันตั้งหลายคน คนคนนั้นไม่คิดจะมียางอายเลยเรอะ

ถ้ายังปากไม่ตรงกับใจดีนักสงสัยต้องให้ครูก่อเร่งเครื่องแล้วกระมัง

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว