๑
“ไม่ไปไม่ได้หรือครับแม่..!?”
“ด้ายย...” เสียงตอบนั้นกระด้างขึ้นทันที มือที่กำลัง
สาละวันอยู่กับเก็บข้าวของชะงักก่อนที่จะตัดบทเด็ดขาด
“งั้นแกก็กลับไปอยู่กับย่าและญาติ ๆ ของแกไป๊ ไสหัวแกไปเลย...!”
ไม่ต่างกับตัดหางยัดปาก ตอนที่พ่อยังอยู่ญาติข้างพ่อยังขยะแขยงผมและแม่ถึงปานนั้น ไม่มีพ่อแล้วจะต่างอะไรกับขุมนรก แล้วที่ที่แม่จะไปละ..?
“แม่ไม่รู้โว้ย อย่าพูดมากเจ้ากัน ช่วยแม่เก็บของ..!”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตเราสองแม่ลูกเปลี่ยนไป จากหน้ามือเป็นหลังเท้าหรือจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ ผมไม่แน่ใจ ที่แน่ ๆ ผมและแม่ไม่ต่างกับทาสของพวกเขา คุณปานเทพไม่เท่าไร ยังพอมีความยุติธรรมอยู่บ้าง คุณอรอุมาและคุณหนูซีเล่า นางร้ายในหนังไทยชัด ๆ ผมจำได้ทุกหางตาในวันนั้น – วันที่แม่นำผมเข้าประตูบ้าน ‘ไพศาลกิจวรานุเคราะห์’มา คฤหาสน์กว้างใหญ่กลายเป็นสถานที่คับแคบและนับวันจะอยู่ยากขึ้น ทำให้หวนคิดถึงบ้านเช่าคับแคบอุดอู้ที่ตรอกตลาดพลู ‘คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก’ ร้ายสุด คือ ความคับขังเราไว้ไม่กระดิกกระเดี้ยไปไหนได้ เด็กอายุ 11-12 ปีอย่างผมจะหนีออกไปไหน จำต้องอยู่ให้พวกเขาโขกสับตามใจชอบ แรก ๆ ผมมีปฏิกิริยาโต้ตอบหรือฮึดฮัดให้เห็นอยู่เหมือนกันแต่เมื่อถูกแม่ปรามและสอนสั่งว่ากระทำตนเช่นนั้น เดี๋ยวคนเขาจะดูถูกหาว่าเป็นคนคนไม่ดีไม่มีกตัญญู กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา
อยู่บ้านท่าน อย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น...
ปั้นทีไร ไม่เคยถูกใจ ซ้ำบางทีปั้นเสร็จแล้วพวกมันพิกลพิการ หัวหาย เขาหาย หูขาด หางกุด...
ความร่าเริงสดใสบินหายไปจากชีวิต ผมกลายเป็นเด็กเงียบ หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง หลีกเลี่ยงได้ หลีก ไม่พูดคุยคบหากับใครโดยเฉพาะคุณหนูนกเอี้ยงอะไรนั่น ยิ่งหนีราวยิ่งต้องเจอ รุ่งเช้าไปโรงเรียนกับเธอ พักเที่ยงนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน เลิกเรียนนั่งรถคันเดียวกันกลับ วัน ๆ ต้องตอบคำถาม ต้องทำโน้นนี้นั้นให้สารพัด แล้วถูกใจแม่เสียที่ไหน อะไร ๆ ก็ไม่ดี ใช้ไม่ได้ แต่กลับไม่ทำเอง การบ้านงานครูสั่งแท้ ๆ ยังต้องให้ผมทำ อะไรไม่อะไร ชักกางเกงในให้ฉันที...แม่บ้าน คนใช้มีอยู่เป็นโขยงกลับเจาะจงมาที่ผม เดินสวนกัน ก้มหน้าเธอกลับหาว่ารังเกียจเห็นเป็นคางคกจิ้งกือหรือไง ครันมองหน้ากลับบอกว่าหมาเห็นกระป๋องอย่างนายสะเออะ...! อ้าว พอมีเพื่อนมาเล่นด้วยกลับกีดขัน โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง
“ถ้าฉันไม่อนุญาต ห้ามยิ้มให้มัน..!”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว