“สหายเตีย... การไปที่สถาบันเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์นั้น ข้าจะเร่งดำเนินการประสานงานในทันที ซึ่งคาดว่าคงไม่เกินสามวันก็น่าจะออกเดินทางได้เลย... อีกทั้งด้วยวิทยาการประตูเคลื่อนย้ายมิติของพรรคมังกรฟ้า แม้จะเป็นการเดินทางข้ามทวีป แต่เชื่อว่าน่าจะสามารถไปยืนอยู่หน้าสถาบันฯได้ภายในวันเดียว...
ทว่าเรื่องที่จะนำพาเด็ก ๆ พวกนี้ไปเยือนสถาบันเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์นั้น ข้าคงต้องรบกวนให้ท่านเป็นธุระ เป็นฝ่ายผู้ใหญ่นำพาเด็กพวกนี้ไปก่อน และข้าจะส่งผู้อาวุโสรวมถึงคนติดตามอีกจำนวนหนึ่งไปพร้อมกันกับท่านด้วย...” เฉียงฟางจุน เอ่ยปากกล่าวขึ้น
ทำให้ เตียมู่หยง ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจไม่น้อย เพราะผู้รับผิดชอบสูงสุดในเรื่องคราวนี้ก็คือ เฉียงฟางจุน แต่ทำไมจึงให้ตนที่ไม่ใช่คนของพรรคมังกรฟ้าด้วยซ้ำ เป็นธุระในส่วนนี้... “มีเหตุผลอะไรที่สหายเฉียง ไม่ติดตามไปพร้อมกันอย่างนั้นหรือ?!”
เฉียงฟางจุน ถอนหายใจพลางส่ายหน้าออกมา... “บอกตามตรงว่ามันเป็นเรื่องของภายใน วันเดียวกันนี้ท่านผู้นำพรรค กุ่ยจือชิง ได้มีการเรียกประชุมเหล่าผู้นำตระกูลใหญ่ทั้ง 5 คนโดยพร้อมเพรียง ในส่วนของรายละเอียดนั้นข้าเองก็ไม่อาจกล่าวได้
และภายหลังการประชุม ข้าเองไม่แน่ใจว่าจะเกิดคลื่นลมรุนแรงประการใด ตัวข้าในฐานะบุตรชายคนโตของผู้นำตระกูลเฉียง จึงยังไม่กล้าออกไปด้านนอกพรรคมังกรฟ้า และไม่อาจส่งยอดฝีมือระดับราชันย์ออกไปจากตระกูลเฉียงได้ด้วยเช่นกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ต้องรบกวนท่านเป็นธุระ
หากสถานการณ์ที่นี่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ข้าจะเร่งติดตามท่านและพวกเด็ก ๆ ไปที่สถาบันฯในภายหลัง หวังว่าสหายเตีย จะเข้าใจในเรื่องนี้...” เฉียงฟางจุน กล่าวตามตรง
การประชุมครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่ากังวล ฉะนั้น เฉียงฟางจุน จึงจำเป็นต้องปักหลักจับตามองสถานการณ์ หากเกิดความผิดพลาดหรือเรื่องเลวร้ายใด ๆ โอกาสที่ เฉียงฟางจุน จะต้องขึ้นรักษาการตำแหน่งผู้นำตระกูลเฉียง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้...
เตียมู่หยง เป็นคนนอกพรรคมังกรฟ้าจึงเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่า อีกทั้งด้านฐานะและพลังฝีมือ ก็เรียกได้ว่าทั่วทวีปพยัคฆ์ขาวล้วนให้การยอมรับ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ เฉียงฟางจุน ไว้วางใจและไหว้วานในเรื่องนี้...
“เข้าใจแล้ว... เช่นนั้นข้าจะนำพาพวกเด็ก ๆ ไปให้เอง ส่วนเรื่องผู้อาวุโสที่จะติดตามนั้น ไม่จำเป็นก็ได้ สหายเฉียงควรรักษากำลังพลหลักเอาไว้ ข้าขอแต่ชนชั้นศิษย์ติดตามไปจำนวนหนึ่งก็พอ เพื่อคอยช่วยมือ และยังเป็นการเปิดหูเปิดตาให้กับหมู่ศิษย์พวกนั้นด้วย...” เตียมู่หยง เอ่ยแสดงน้ำใจ
เฉียงฟางจุน ยิ้มตอบรับ อดไม่ได้ที่จะมองว่าคนผู้นี้ช่างน่าคบหา...
“ขอบคุณสหายเตีย... เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้...”
จากนั้นสายตามองสองผู้ชราก็อดไม่ได้ที่มองตรงเข้าไปในเขตพื้นที่ด้านใน การประชุมใหญ่ครั้งนี้ ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้จริง ๆ ว่าจะมีเรื่องราวร้ายแรงอันใดติดตามมา... ซุน เองแม้ในเวลานี้จะยังเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ของโครงสร้างขนาดใหญ่ ไม่อาจที่จะก้าวเข้าไปในระดับที่จะรับรู้รายละเอียดอะไรได้ หากแต่สายตาของชายหนุ่ม ก็จะดูเคร่งขรึมอยู่ไม่น้อย...
การท้าชิงตำแหน่งราชันย์รุ่นเยาว์นั้นถือเป็นจุดประสงค์รอง หากแต่เป้าหมายแท้จริงของ ซุน ก็คือหยุดยั้งการคืบคลานของกลุ่มมังกรทอง และจุดประสงค์สำคัญอีกเรื่องก็คือการพบเจอกับจอมราชันย์แห่งจิตวิญญาณ กุ่ยจือชิง การตามหาเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่ยังหลงเหลือของผู้ยิ่งใหญ่ที่ล่วงลับ กุ่ยเยี่ยซา เพื่อค้นหาความลับบางอย่างที่ยังแอบซ่อนอยู่...
..............................................
เขตสุริยา...
เขตหวงห้ามสูงสุด ซึ่งภายในเขตแห่งนี้ยอดฝีมือเพียงคนเดียวที่อาศัยก็คือผู้นำพรรคมังกรฟ้า สาขาทวีปพยัคฆ์ขาวคนปัจจุบัน ยอดฝีมืออันดับ 1 ของทวีปพยัคฆ์ขาวนี้ หรือต่อให้เปรียบเทียบกับยอดฝีมือทั้งยุทธภพ ก็ยังจัดอยู่ในลำดับที่ 2 เป็นรองแค่ เทพราชันย์ แห่งทวีปมังกรฟ้าเท่านั้นเอง ดังนั้นทั้งชื่อเสียงและอำนาจก็แทบจะเรียกได้ว่าสามารถสั่นคลอนยุทธภพได้เพียงแค่วาจาไม่กี่คำ...
คนผู้นี่ก็คือจอมราชันย์แห่งจิตวิญญาณ กุ่ยจือชิง...
ภายในเขตสุริยาแห่งนี้ นอกเหนือจาก กุ่ยจือชิง ก็จะมีเพียงแค่เหล่าสนมสตรีหญิงสาวที่คอยดูแลปรนนิบัติเท่านั้น ในเขตสุริยาช่วงเวลาสามัญ จะไม่มีบุรุษคนอื่นอยู่เลยแม้แต่ผู้เดียว ราวกับเป็นวังหลังของราชวงศ์ เพราะป้องกันมิให้เกิดเรื่องบัดสี ที่ทำให้สายเลือดของตระกูลกุ่ยถูกสวมรอย...
ชายเพียงคนเดียวที่เข้าออกพื้นที่เขตสุริยาได้โดยอิสระก็คือ โอวหยางเจี่ย... ผู้นำตระกูลโอวหยางที่ กุ่ยจือชิง ไว้วางใจมิต่างกับน้องชายของตนเอง และขณะเดียว โอวหยางเจี่ย ผู้นี้ก็มีความศรัทธาต่อ กุ่ยจือชิง ด้วยความใจจริงที่แน่นหนัก เป็นความไว้เนื้อเชื้อใจกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีในยามที่ กุ่ยจือชิง มีอำนาจล้นหลาม..
ทว่า... ในช่วงหลังที่ กุ่ยจือชิง นั้นแก่ชราและเจ็บปวดอยู่เป็นนิจ ทำให้ตำแหน่งผู้นำของพรรคมังกรฟ้าเริ่มที่จะไม่มั่นคง อาจมีการเปลี่ยนถ่ายขั้วอำนาจครั้งสำคัญ... ดังนั้นในเมื่อ โอวหยางเจี่ย เป็นคนที่สนิทที่สุดของ กุ่ยจือชิง ย่อมมีโอกาสมากที่สุดในการจะสืบทอดอำนาจ... จึงทำให้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการที่ โอวหยางเจี่ย จะถูกชิงชังโดยผู้นำตระกูลที่เหลืออีกทั้ง 4 ตระกูล!!
ในเวลานี้ กุ่ยจือชิง แม้จะร่างกายย่ำแย่มากแล้ว แต่กล่าวได้ว่าไม่กล้ายกตำแหน่งผู้นำพรรคมังกรฟ้าให้กับ โอวหยางเจี่ย ไปตรง ๆ มิเช่นนั้น ตระกูลโอวหยาง มีโอกาสที่ถูกหุบกลืนและดับสูญ ถูกช่วงชิงอำนาจโดยตระกูลอื่น ๆ ซึ่งต่อให้ความแข็งแกร่งของแต่ละตระกูลจะไล่เลี่ยกัน หากแต่ถ้าต้องเผชิญหน้า 4 ต่อ 1 ล่ะก็ ตระกูลโอวหยาง คงถูกบดขยี้เพียงฝ่ายเดียวแน่นอน...
กุ่ยจือชิง แม้จะไว้วางใจ โอวหยางเจี่ย หากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคมังกรฟ้ายิ่งใหญ่เป็นปึกแผ่นได้จนถึงวันนี้ ก็เพราะตระกูลใหญ่ทั้ง 5 ช่วยตระกูลกุ่ยสร้างขึ้นมา... ครั้นจะ เล่นงานตระกูลอื่น ๆ เพื่อมอบตำแหน่งให้ โอวหยางเจี่ย ก็ถือเป็นเรื่องที่มิอาจทำได้ มิเช่นนั้นก็อาจถึงขั้นทำให้พรรคมังกรฟ้าต้องล่มสลายเพราะขาดผู้ควบคุมบังเหียน...
นั่นจึงเป็นที่มาทั้งหมดของความขัดแย้งภายในที่แม้จะไม่โจ่งแจ้ง แต่ทุกฝ่ายล้วนตระหนักดีในเรื่องนี้... มีครั้งหนึ่ง โอวหยางเจี่ย เคยถึงขั้นออกมาประกาศกล้าด้วยตนเองว่า จะไม่ขอรับตำแหน่งผู้นำพรรคมังกรฟ้า หากแต่สุดท้ายอาศัยเพียงลมปากก็ยากที่เหล่าจิ้งจอกเฒ่าคนอื่น ๆ จะเชื่อถือ...
ณ ม่านพลังเขตสุริยา...
ม่านพลังถูกเปิดขึ้นเพื่อรับรองการประชุมเหล่าผู้นำทั้ง 5 คน และผู้ที่ตรวจสอบเหล่าผู้นำคนอื่น ๆ ก็คือ ตัวของ โอวหยางเจี่ย ชายผู้นี้มีใบหน้าที่ดุดันเคร่งขรึม ร่างกายกำยำองอาจประหนึ่งแม่ทัพ แม้จะอายุร่วม 150 ปีแล้ว แต่หากมองผิวเผินยังราวกับเป็นชายวัย 60 ปีเท่านั้น...
ไม่นานก็ปรากฏโฉมของเหล่าผู้นำตระกูลทั้ง 4 ที่ก้าวเดินเข้ามา เอ่ยวาจาท่าทีเป็นไมตรีที่ดีต่อกัน... ซึ่งทั้ง 4 คนแม้มองดูเหมือนจะมีสายสัมพันธ์ หากแต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นเพียงสายสัมพันธ์จอมปลอมในฉากหน้า ไม่ต่างจากคนที่ใบหน้ายิ้มแย้มแต่แอบซ่อนมีดไว้ใต้แขนเสื้อ พร้อมจะหยิบออกมาแทงคนรอบข้างได้ตลอดเวลา...
ความกลมเกลียวที่ทั้ง 4 คน จงใจแสดงออกมาต่อหน้า โอวหยางเจี่ย ก็เพื่อสร้างแรงกดดัน ไม่ให้ โอวหยางเจี่ย กล้ารับตำแหน่งผู้นำพรรคมังกรฟ้า เผยท่าทีว่าพร้อมจะจับมือกัน สยบตระกูลโอวหยางได้ในทุกเมื่อ...
ผู้ที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มคนทั้ง 4 เห็นจะเป็น เทพปรมาจารย์แห่งความตาย จูหยวนไห่ ตำแหน่งเทพปรมาจารย์ลำดับที่ 2 คนปัจจุบันของทวีปพยัคฆ์ขาว ความแข็งแกร่งนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบาย สามารถขึ้นมาแทนที่ ลู่เหรินฮ่าว ได้โดยที่ไม่มีใครในยุทธภพกล้าครหา...
ถัดมาคือชายที่เต็มไปด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ไม่ยอมเปิดเผยเนื้อในให้ผู้ใดได้เห็นนัก ผู้นำตระกูลโจว นามว่า โจวซื่อไหล รังสีศาสตราของชายผู้นี้ แทบจะกรีดเฉือนความว่างเปล่าโดยรอบ แม้พื้นฐานลมปราณจะด้อยกว่า จูหยวนไห่ และ โอวหยางเจี่ย หากแต่ โจวซื่อไหล ผู้นี้ถือเป็นหนึ่งในคนที่ครอบครองศาสตราอักขระชนชั้นเทวะลมปราณสีแดง ซึ่งมีเพียงแค่ 5 คนในยุทธภพนี้เท่านั้น...
อีกคนก็คือ เฉียงเทียนฉี เป็นชายชราที่มีกลิ่นอายสัตว์อสูรรุนแรง ทั้งยังมองเห็นเขาสองข้างที่งอกออกมาจากศีรษะจากการปลูกถ่ายอวัยวะของสัตว์อสูร ชายคนนี้ยังมีฐานะเป็นปู่แท้ ๆ ของ เฉียงตงฟาง...
อีกคนที่เดินมาข้างกันก็คือ ฉู่หลานเฮ่อ เป็นชายชราที่รอบกายนั้นตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นโอสถสมุนไพร ว่ากันว่าด้านทักษะการแพทย์ของชายคนนี้ ถึงขั้นทำให้ผู้ที่สิ้นลมไปแล้วครึ่งวัน กลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง...
ชายทั้ง 4 นั้นอายุเกินกว่า 150 ปีไปแล้วทั้งสิ้น แต่ก็ยังมองดูเหมือนชายวัย 60 ต้น ๆ เท่านั้น มีเพียงเส้นผมที่ขาวโพลนเป็นสิ่งชี้ชัด ร่องรอยความชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายอย่างแท้จริง...
เสียงหัวเราะระหว่างการพูดคุยดังไม่ขาดสาย โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับ โอวหยางเจี่ย ที่เพ่งมองพิจารณาเท่าใดนัก... ทุกคนล้วนแล้วแต่มาที่นี่ตัวเปล่า เพราะเป็นกฎเหล็กที่ไม่อนุญาตให้พบพาอาวุธหรือแม้แต่แหวนมิติเข้ามาในเขตสุริยาแห่งนี้...
เนื้อหาการเรียกประชุม แม้ว่าผู้นำพรรค กุ่ยจือชิง จะไม่ได้กล่าวชี้ชัดออกมา หากแต่ชายชราทั้ง 4 ตระกูล ล้วนคิดออกได้เพียงอย่างเดียว ว่าการเรียกประชุมสำคัญในรอบ 6 เดือนครั้งนี้ จะต้องเป็นการสรุปชี้ชัดว่า กุ่ยจือชิง จะยกตำแหน่งผู้นำพรรคมังกรฟ้า ให้กับผู้ใดอย่างแน่นอน...
“หึหึ... ในหมู่พวกเรา หากใครได้รับตำแหน่งก็อย่างถือโทษโกรธกันเลย สมควรช่วยกันนำพาพรรคมังกรฟ้าให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร เหนือขุมกำลังใดในยุทธภพ!!” จูหยวนไห่ กล่าวด้วยพลางหัวเราะเสียงดังหลังวาจา
“สหายจู... ท่านเองเพิ่งจะได้ตำแหน่ง เทพปรมาจารย์ลำดับที่ 2 ไปหมาด ๆ มิใช่หรือ?! ท่านคงไม่จำเป็นต้องลงมาแย่งชิงตำแหน่งผู้นำกับพวกเราแล้วกระมัง?!” เฉียงเทียนฉี กล่าวด้วยรอยยิ้มที่แฝงเลศนัย
“นั่นสิ... ข้าว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของโชควาสนา ใจคอท่านจะหุบกลืนโชควาสนาไว้ที่ตนเพียงลำพังเลยเชียวหรือ?!” ฉู่หลานเฮ่อ กล่าวเสริมน้ำเสียงเอนเอียงไปทางฝ่ายของ เฉียงเทียนฉี อย่างเห็นได้ชัด...
โจวซื่อไหล จึงกระแอมไอเบา ๆ “แต่ว่าก็ว่าเถอะ ความเป็นไปได้สูงสุดในพวกเราทั้ง 4 คน ก็น่าจะเป็น สหายจูนั่นแหละนะ ทั้งบารมีและความแข็งแกร่ง เหนือกว่าพวกเราที่เหลืออย่างชัดเจนทีเดียว...”
“!!!!!!!!!!” เฉียงเทียนฉี และ ฉู่หลานเฮ่อ ได้ยินคำพูดนั้นของ โจวซื่อไหล สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปในทันที ทั้งสองหดนัยน์ตาหรี่แคบลง ต่างฝ่ายต่างล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่าโชกโชน ไหนเลยที่จะมองเส้นสนกลในไม่ออก ดูเหมือนว่า โจวซื่อไหล และ จูหยวนไห่ จะแอบตกลงจับมือกันอย่างลับ ๆ เป็นแน่แท้ โดยฝ่ายของ โจวซื่อไหล แสดงเจตนาราวกับต้องการผลักดัน จูหยวนไห่อย่างเห็นได้ชัด...
ทันใดนั้นเอง โอวหยางเจี่ย ก็ได้แผ่รัศมีกดดันออกมารอบกาย... “ระมัดระวังวาจากันไว้บ้างก็ดี... ตำแหน่งผู้นำพรรคมังกรฟ้า ใช่ว่าสถานะอย่างพวกเราจะนำมาพูดเล่นเป็นเรื่องตลกได้ คนเดียวที่มีสิทธิ์กล่าวในเรื่องนี้ ก็คือท่านผู้นำกุ่ย เท่านั้น!!”
เพียงคำพูดไม่กี่คำของ โอวหยางเจี่ย ได้เปลี่ยนบรรยากาศโดยรอบทั้งหมดให้กลายเป็นแรงกดดันอันหนักอึ้ง เหล่าชายชราทั้ง 5 ล้วนหันมองกันไปมาอย่างไม่ยินยอม ต่างฝ่ายต่างก็มีเขี้ยวเล็บที่แอบซ่อนไว้ทั้งหมดทั้งสิ้น...
“เฮ้อ.....!”
เสียงถอนหายใจที่ลอดดังออกมา ได้ทำลายบรรยากาศทั้งหมดในพริบตา!! ชายชราทั้ง 5 ใบหน้าล้วนถอดสี จำต้องประสานมือโค้งตัวไปยังทิศทางดังกล่าวอย่างไม่ต้องฉุกคิด เพราะเสียงถอนหายใจนี้ แฝงเร้นไว้ด้วยพลังอำนาจแห่งชนชั้นเทวะลมปราณสีแดง...
“พวกเจ้าจะทะเลาะอะไรกันมากมาย... ข้าจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ไม่ได้ต้องการจะเห็นภาพเช่นนี้ก่อนตายเลยสักนิด...”
ทั้งที่ กุ่ยจือชิง ยังอยู่ในส่วนลึกของเขตสุริยา ห่างไกลออกไปจากตำแหน่งม่านพลังนี้ไม่ต่ำกว่าหลายสิบลี้ หากแต่กระแสเสียงลมปราณกลับแว่วดังกระทบข้างหูของคนทั้ง 5 ประหนึ่งว่าอยู่ กุ่ยจือชิง ยืนตรงหน้าเพียงไม่กี่ก้าว แสดงให้เห็นถึงความน่ากริ่งเกรงที่ต่อให้คนทั้ง 5 คิดร่วมมือกันต่อสู้ ก็ยังสมควรถูกทำลายดับสิ้นโดยง่าย เพียงแค่การโบกมือเบา ๆ ไม่กี่ครั้งของ จอมราชันย์ผู้นี้...
...................................................
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว