เมียบำเรอเจ้าหัวใจ NC20+-ตอนที่ 23 ชำระแค้น

โดย  สุภาวดี

เมียบำเรอเจ้าหัวใจ NC20+

ตอนที่ 23 ชำระแค้น

เช้านี้กัลยณัฏฐ์พยายามสตาร์ทรถอยู่เกือบ 10 นาทีก็ยังไม่เป็นผล ทุกอย่างยังคงเงียบผิดปกติ เมื่อมองไปทางโรงจอดรถที่เคยมีรถของบิดาอยู่แต่ตอนนี้ว่างเปล่า เธอกำลังคิดว่าจะโทรไปบอกบิดาให้กลับมารับเธอไปส่งที่โรงเรียนแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานนี้มารดาบอกกับเธอไว้ว่า พ่อค้าจะมาซื้อส้มโอในสวน เธอไม่อยากให้บิดาต้องเสียเวลาจึงตัดสินใจเดินไปขึ้นรถโดยสารที่ปากซอยหน้าร้านขายของชำ

ทางด้านปุณณวิชญ์นั้นวันนี้เขามาถึงบ้านแต่เช้า หลังจากไม่ได้มาหลายวันแล้ว เขาเห็นหญิงสาวตัวเล็กที่คุ้นตาเดินมาใกล้เข้ามาทุกที วันนี้เธอสวมกระโปรงทรงเอสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน แขนสั้นพอดีตัว หญิงสาวสะพายกระเป๋าหนังสีดำใบเล็กและถือถุงผ้าใบใหญ่อีก 1 ใบ วันนี้ดูเธอจะแปลกตาไปกว่าทุกวันคงเพราะจากชุดที่ใส่ พอเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร

“สวัสดีค่ะ มาดูบ้านแต่เช้าเลยนะคะ” เธอทักทาย

“ครับ แล้วนี่กำลังจะไปไหนครับ”

“ไปโรงเรียนค่ะ” เธอมองนาฬิกาข้อมื้อแล้วรีบขอตัวเพราะถ้ายิ่งคุยนานก็กลัวว่าจะยิ่งสาย

“ไม่ขับรถไปเหรอครับ”

“รถเสียค่ะ ขอตัวก่อนนะคะเดี๋ยวไปสายค่ะ” เธอขอตัวแล้วเดินเลี่ยงออกมา

ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบไปยังปากซอยอย่างคิดหนัก เพราะรถตัวเองนั้นพึ่งจะให้ร้านอัดฉีดมารับไปล้างเมื่อสัก 5 นาทีที่แล้ว

รถกระบะสี่ประตูสีดำมอมแมมกำลังเคลื่อนมาจอดบริเวณหน้าบ้าน ปุณณวิชญ์คว้ากระเป๋าเงินแล้ววิ่งมาดักหน้ารถทันที

“พี่สิงห์ ยืมรถหน่อยครับ แลกกัน”

สิงหนาทโฟร์แมนที่ทำงานกับชายหนุ่มมานาน มองตามหลังรถไปแล้วคิ้วก็ขมวดเพราะไม่เข้าใจว่าเจ้านายจะยืมรถตัวเองไปทำอะไร

“พี่สิงห์ สวัสดีครับ” คนงานทักทายเมื่อเขาเดินเข้ามายังบริเวณชั้นล่างของบ้าน

“วันนี้คุณวิชญ์ขับรถมาไหม” เขาถามต้น ชายหนุ่มผิวคล้ำชาวอัมพวาที่พึ่งมาทำงานกับเขาเป็นครั้งแรก แต่ก็ทำงานขยันขันแข็ง เขาเองคิดจะจ้างหนุ่มน้อยคนนี้ต่อหลังจากงานนี้เสร็จแล้ว

“ขับมานะครับ แต่สักพักก็มีคนมาขับออกไป เหมือนจะเป็นร้านอัดฉีดในเมืองครับพี่” โฟร์แมนหนุ่มพยักหน้า

กัลยณัฏฐ์เดินมาถึงหน้าปากซอยก็พอดีกับที่มีรถโดยสารประจำทางมาจอด มีนักเรียนหลายคนรออยู่ก่อนแล้ว พอรถแล่นมาจอดต่างก็พากันวิ่งขึ้นจนที่นั่งเต็ม เธอมองนาฬิกาอีกครั้ง ถ้าคำนวณเวลาแล้วรอรถอีกคันก็น่าจะไปถึงโรงเรียนทัน เธอจึงยิ้มให้เด็กท้ายรถแล้ว จากนั้นรถก็แล่นออกไป

หญิงสาวเดินไปซื้อน้ำดื่มจากอาแปะแล้วกลับมานั่งรอยังเก้าอี้ไม้หน้าร้าน มีรถกระบะคันหนึ่งมาจอดตรงบริเวณที่เธอนั่งอยู่ คนขับรถลดกระจกลงแล้วเรียกเธอ

“คุณ” ปุณณวิชญ์กวักมือเรียกหญิงสาว

“ผมกำลังจะไปธุระในเมือง ไปด้วยกันไหมครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวรถก็มา” เธอปฏิเสธเพราะไม่อยากให้เขาเสียเวลา

“มาเถอะ มันสายแล้ว ไปถึงโรงเรียนสายผมไม่รู้ด้วยนะ” เมื่อเขาเอาเวลามาอ้าง เธอก็เดินขึ้นรถไปโดยดี

“น้าวิชญ์ไปในเมืองทำไมคะ” เธอถามอย่างนึกสงสัยเพราะตอนเจอกันเมื่อสักครู่เขายังไม่มีท่าทีว่าจะเข้าไปในเมืองเลยสักนิด

“พอดีต้องไปดูไซต์งาน โฟร์แมนโทรมาเมื่อกี้ว่ามีปัญหาเรื่องแบบนิดหน่อย” เขาไม่ได้โกหกว่าจะเข้าไปดูไซต์งาน แต่เรื่องแบบมีปัญหานั้นเขาอ้างขึ้นมาให้ดูน่าเชื่อถือ

“น้าวิชญ์รีบปอเกรงใจจังเลยค่ะ ถ้ายังไงส่งปอที่หน้าตลาดก็ได้ค่ะ ปอเดินลัดไปอีกนิดเดียวก็ถึงโรงเรียนแล้ว จะได้ไม่เสียเวลามากนะคะ เพราะเวลาเช้าอย่างนี้หน้าโรงเรียนรถติดมากค่ะ”

“ผมไม่รีบ ไหนๆ ก็มาแล้วก็อย่างส่งถึงที่ อยากรู้ด้วยว่าคุณสอนที่โรงเรียนไหน”

“ก็ได้ค่ะ แล้วอย่ามาบ่นทีหลังนะคะ” กัลยณัฏฐ์บอกทางไปโรงเรียนให้คนขับรถจำเป็น

“คุณเลิกงานกี่โมง”

“โรงเรียนเลิกสี่โมงเย็นค่ะ ครูต้องกลับห้าโมงเย็นค่ะ แต่ช่วงนี้มีซ้อมเชียร์บางวันก็กลับช้ากว่าปกติ” เธอตอบโดยไม่ได้คิดอะไร

“ครับ” เขารับคำโดยไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็จอดรถให้เธอลงบริเวณหน้าโรงเรียนที่คราคร่ำไปด้วยรถของผู้ปกครองและรถรับส่งนักเรียนจอดเรียงกันเป็นแถวยาว

“ขอบคุณค่ะน้าวิชญ์” เธอยกมือไหว้อย่างที่ทำทุกครั้ง จนเขารู้สึกเหมือนว่าตังเองกำลังมาส่งลูกที่โรงเรียน พอพูดถึงลูกเขาก็ย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาเห็นที่โฮมสเตย์ความไม่สบายใจก็กลับมากัดกินหัวใจอีกครั้ง

ปุณณวิชญ์โทรไปบอกสิงหนาทให้เอารถเขาไปใช้ได้เลย ส่วนรถคันนี้เขาจะยืมใช้สักสองสามวัน เขาขับรถไปยังไซต์งานที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของหญิงสาว คนงานกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น

“พี่วิชญ์ มาแต่เช้าเลยนะครับ” อาธรหนุ่มรุ่นน้องโบกมือทักทายทันทีที่เห็นเขาเดินลงจากรถ

ชายหนุ่มโบกมือตอบแล้วเดินเข้าไปยังตู้คอนเทนเนอร์ที่ตัดแปลงมาเป็นห้องทำงานชั่วคราวของเขากับและโฟร์แมน รวมถึงใช้เป็นที่เก็บอาหารแห้งและเครื่องดื่ม

ปุณณวิชญ์เดินออกมาอีกครั้งพร้อมแก้วกาแฟกระดาษในมือ เมื่อเช้าเขายังไม่ได้ทานอะไร ก็ต้องรีบขับรถออกมาเสียก่อน ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะไปทานกาแฟกับไข่ลวกที่ร้านกาแฟโบราณข้างๆ ร้านขายของชำหน้าปากซอย

“งานราบรื่นดีไหม” เขายืนมองการสั่งงานของโฟร์แมนหนุ่มอยู่พักใหญ่ก็ถามขึ้น

“เรียบร้อยดีครับพี่ คนงานชุดนี้ขยันกันทุกคนเลย เมื่อวานทำงานล่วงเวลาก็ไม่บ่นกันสักคำ”

“อาร์ทถือว่าโชคดีมากที่ได้คนงานที่ขยัน ไม่เหมือนตอนพี่จบใหม่ คนงานต่อต้านกันน่าดูกว่าจะจูนกันได้ก็เกือบแย่” เขานึกไปถึงครั้งจบใหม่และได้คุมงานเองเป็นครั้งแรก สิงหนาทคือโฟร์แมนที่เคยมีปัญหาด้วย ตอนนั้นเขาเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรง จึงค่อนข้างจะมั่นใจในตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเจ๋งเพราะจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามทฤษฎี แต่พอมาเจอหน้างานมีปัญหาก็จะทำตามที่เรียนมาอย่างเดียว จนงัดข้อกับสิงหนาทไปหลายครั้ง อติรุจน์เจ้าของบริษัทในขณะนั้นจึงเรียกเขาเข้าไปสอนอะไรหลายๆ อย่างจนในที่สุดก็เข้าใจระบบการทำงาน และพอมาเปิดบริษัทเองก็ไม่ลืมที่จะดึงสิงหนาทมาทำงานด้วย

เลยเวลาอาหารกลางวันไปเกือบชั่วโมงปุณณวิชญ์เริ่มรู้สึกหิว เขาจึงเดินไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่หน้าที่อยู่เยื้องๆกับไซต์งาน ขณะที่กำลังนั่งรอก๋วยเตี๋ยวเขาก็สำรวจไปยังบริเวณรอบๆ ที่นี่เขาเคยมายืนรอรถตอนที่เรียนมัธยมอยู่ ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ก่อนบริเวณที่เขากำลังสร้างอาคารสำนักงานอยู่นั้นเป็นป่ารกร้าง แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยอาคารสูง เมื่อความเจริญเข้ามาแทนที่ธรรมชาติก็จะค่อยๆ หายไป

“ได้ข่าวว่าวันนี้ตัดส้มโอเหรอคะคุณพล เป็นไงคะรอบนี้ได้เยอะไหม” เสียงแม่ค้าทักทายคนมาใหม่อย่างคุ้นเคย

“ก็พอสมควรครับ แล้วที่สวนล่ะ ยังไม่ตัดอีกเหรอ” เสียงชายมีอายุคุยโต้ตอบกับแม่ค้าก๋วยเตี๋ยว

เขาไม่ได้หันไปมองเพราะไม่อยากเสียมารยาท เขาก้มหน้าทานก๋วยเตี๋ยวไปเรื่อยๆ เพราะไม่ได้รีบร้อนไปไหน แค่รอเวลาโรงเรียนเลิกเท่านั้น สักพักเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินมาทักทายแม่ค้าอีกคน

“วันนี้ขายดีล่ะสิ” คนมาใหม่เป็นผู้หญิง เอ่ยทักทายแม่ค้า

“ก็อย่างที่เห็นนี่ก็พึ่งโทรสั่งให้เค้ามาส่งลูกชิ้นเพิ่ม” แม้ค้าตอบอย่างอารมณ์ดี

“แล้ววันนี้ทำไมมาพร้อมกันได้ล่ะ”

“มาพร้อมกันที่ไหนล่ะ พี่พลน่ะกลัวเมียรู้จะตาย นี่ก็ออกมาก่อนฉันตั้งนาน”

“ไม่รู้อย่างนี้แหละดีแล้ว เดี๋ยวรู้ขึ้นมามันจะเป็นเรื่อง” เสียงผู้ชายตอบ

“แล้วกะจะคบกันอย่างนี้อีกนานไหมล่ะปราณี”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่พลก็ไม่ยอมบอกลูกเมียไปสักที”

“บอกนะพี่บอกแน่ แต่รอให้หนูปอสอบผ่านก่อน พี่ไม่อยากให้ลูกมาคิดมากเรื่องนี้แล้วไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ”

เสียงของคนทั้งสามนั่งคุยกันอย่างออกรส ชายหนุ่มนั่งฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปราณี พล หนูปอ ทั้งสามชื่อนี้ล้วนเป็นคนที่เขารู้จักแต่บทสนทนานั้นก็ทำให้เขาพอจะเดาออกแล้วว่าสิ่งที่เขาเห็นคืนนั้นเขาไม่ได้คิดไปเอง เขารอจนกระทั่งคนทั้งสองออกไปจากร้านจึงเดินไปจ่ายเงินให้กับแม่ค้า

“ไม่ต้องทอนครับพี่ ผมนั่งนานไปหน่อย เกรงใจ” เขาส่งธนบัตรสีแดงให้กับแม่ค้า

“ขอบใจนะน้อง แล้วมาอุดหนุนพี่อีกนะ”

“ครับพี่ ก๋วยเตี๋ยร้านพี่อร่อยสุดๆ ไปเลยครับ สองคนเมื่อกี้ก็คงลูกประจำของพี่นะครับ” เขาเอ่ยชมทำเอาแม่ค้าหน้าบาน

“เป็นทั้งลูกค้าทั้งเพื่อน ผู้หญิงน่ะพี่เคยทำงานด้วยกันตอนนี้มันไปเป็นเมียน้อยเค้า เป็นมาปีกว่าละ ไม่มีใครรู้เข้าเมืองทีก็ต่างคนต่างมา ผู้ชายน่ะเกรงใจเมียกับลูก” แม่ค้ากระซิบกระซาบอย่างกลัวคนอื่นได้ยิน

“ผมไม่รู้จักสองคนนั้นหรอกครับพี่ ผมมาคุมงานสร้างอาคารตรงนู้นงานเสร็จผมก็กลับ พี่ไม่ต้องกลัวผมไปบอกใครหรอก”

“ได้ยินอย่างนั้นพี่ก็โล่งใจ”

ปุณณวิชญ์เดินออกมาจากร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งกับสิ่งที่ได้รับรู้มา เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับอีกนานไหม เพราะที่เขาได้ฟังมาคือน้าปองพลจะรอให้ลูกสาวสอบผ่านแล้วจะบอกความจริง ในขณะที่หญิงสาวก็อ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อให้ตัวเองสอบผ่านให้ได้ และอยากทำให้บิดามารดาภูมิใจ เธอจะรู้หรือเปล่าว่าวันที่เธอสอบได้จะเป็นวันที่เธอเสียครอบครัวไป เขาเป็นห่วงความรู้สึกของเธอและยังไม่รู้ว่าจะว่าจะบอกเรื่องนี้กับเธอยังไง


ปุณณวิชญ์ขับรถมาจอดหน้าโรงเรียนเกือบห้าโมงเย็น เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นคนที่เขามารอรับเดินออกมาสักที เขาโทรไปเธอก็ไม่รับสาย ชายหนุ่มคิดว่าเธอคงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เป็นแน่ เขาเดินลงจากรถจากนั้นก็เดินเข้าไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ โรงเรียนนี้เขาไม่เคยเข้ามาเลยสักครั้ง พอเดินไปถึงสนามฟุตบอลก็มีเด็กๆ กำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ เขาเองก็นึกสนุกอยากไปเล่นด้วย แต่คงต้องพักความคิดไว้ก่อน ชายหนุ่มพยายามมองหาสาวร่างเล็กในชุดกระโปรงดำ เสื้อสีเขียวอ่อนที่เขาเจอเมื่อเช้า แต่พอมองไปทางไหนก็เห็นคนใส่ชุดนี้อยู่หลายคน คงเป็นชุดของทางโรงเรียน ชายหนุ่มคิดในใจ เมื่อเช้ากัลยณัฏฐ์เล่าว่าเธออยู่สีฟ้า เมื่อเจอเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปถามแล้วตรงไปยังทิศทางที่เด็กนักเรียนกลุ่มนั้นบอก พอไปถึงโรงอาหารเขาก็เห็นหญิงสาวกำลังนั่งดูเด็กๆ ที่กำลังเต้นตามจังหวะกลองอย่างสนุกสนาน เขายืนมองอยู่พักใหญ่เด็กๆ ซ้อมเสร็จ ปุณณวิชญ์จึงเดินเข้าไปหา

กัลยณัฏฐ์มีสีหน้าประหลาดใจที่เห็นเขา “น้าวิชญ์ มาทำอะไรที่นี่คะ”

“ผมมารับกลับบ้าน พอดีงานพึ่งเสร็จเลยแวะมาดูว่าคุณกลับไปหรือยัง แต่รอหน้าโรงเรียนแล้วไม่เห็นออกมาสักทีเลยลองเดินเข้ามาดู”

“แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าปออยู่ที่นี่”

เขายักไหล่ แต่ไม่ตอบคำถามนั้น

“ครูปอกลับกันเลยไหม” เสียงชายหนุ่มอีกคนดังมาจากด้านหลัง

“ฉันคงกลับกับครูหนุ่ยไม่ได้ พอดีมีคนมารับแล้วค่ะ” เธอพูดพร้อมกับสอดมือมาคล้องแขนเขาอย่างสนิทสนม ชายหนุ่มพอจะเดาเหตุการณ์ออกจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่รับถุงผ้ามาถือแล้วพาเธอเดินออกมา

“ขอบคุณนะคะน้าวิชญ์” เธอคลายมืออกจากวงแขนของเขาเมื่อเดินออกมาจากโรงอาหารได้ไกลพอ

“ขอบคุณที่มารับหรือขอบคุณที่ช่วยถือของ” เขาพูดติดตลก

“ทั้งสองอย่างค่ะ ถ้าน้าวิชญ์ไม่มา...”

“ถ้าผมไม่มาแล้ว......” เขาถามกลับ

“คงต้องให้ครูหนุ่ยไปส่ง” สีหน้าเวลาที่เธอพูดถึงครูคนที่เขาเจอเมื่อครู่ดูไม่ค่อยสบายใจ

“ครูคนเมื่อครู่ใช่ไหมครับ”

“ค่ะ คนนั้นแหละค่ะ”

“คุณพูดเหมือนไม่ค่อยอยากให้เขาไปส่งเลย”

“ก็ปอไม่ค่อนสนิทกับเค้า พึ่งมารู้จักกันเองค่ะ ครุหนุ่ยได้ยินตอนที่ปอโทร. ไปบอกให้พ่อมารับ แต่พ่อบอกว่าทำธุระยังไม่เสร็จครูเค้าก็เลยจะไปส่งให้ที่บ้าน”

สีหน้าของเขาเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าพ่อเธอไปทำธุระ แต่ก็รีบปรับให้เป็นปกติก่อนที่เธอจะทันสังเกต

“อ๋อ แล้วทำไมไม่โทร. ให้ผมมารับล่ะครับ”

“ปอไม่แน่ใจว่าน้าวิชญ์จะว่างหรือเปล่า ปอเกรงใจค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ไซต์งานอยู่ในตลาดนี่เอง”

“ค่ะ” กัลยณัฏฐ์ยิ้มรับกับคำบอกของเขา

“รีบกลับบ้านหรือเปล่าครับ ว่าจะชวนไปทานข้าว” ปุณณวิชญ์ชวนเธอคุยเมื่อหญิงสาวขึ้นมานั่งบนรถ

“รีบค่ะแม่เป็นห่วงค่ะ” เมื่อตอนกลางวันเธอโทรไปบอกแม่แล้ว่าเมื่อเช้าได้ได้ขับรถมา และเย็นนี้จะให้เพื่อนครูไปส่ง

“โทร. บอกท่านก่อนดีไหม” เขาไม่อยากให้มารดาของเธอต้องเป็นห่วงลูกสาวคนเดียว

“น้าวิชญ์หิวเหรอคะ”

“เปล่าๆ ยังไม่หิวแต่ไหนๆ ก็ต้องกลับด้วยกันเลยว่าจะแวะไปหาหนูดีหน่อย” เขารู้ว่านี่เป็นเหตุผลที่เธอเองจะไม่ปฏิเสธเขาเป็นแน่

“ได้ค่ะ เดี๋ยวขอปอโทรบอกแม่ก่อนนะคะ ปอเองก็อยากไปบ้านหนูดีเหมือนกันค่ะ”

ไม่ถึง 10 นาทีจากนั้นเขาก็พาเธอมายังบ้านที่พี่สาวและหลานสาวอาศัยอยู่

“สวัสดีค่ะน้าษา” กัลยณัฏฐ์ยกมือไหว้เมษา

“อ้าว! มากันแล้ว เหลือกับข้าวอีกอย่างก็เสร็จแล้วจ้ะ” เธอถามทั้งสองคนที่พึ่งเดินเข้ามา

“ยังไม่หิวเลยค่ะ มีอะไรให้ปอช่วยไหมคะ” หญิงสาวเดินตรงไปยังห้องครัว

“ปอช่วยยกกับข้าวออกไปตั้งโต๊ะเลยก็ดีนะ เดี๋ยวน้าเอาปลาหมึกลงผัดแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว วิชญ์โทรมาบอกช้าไปหน่อยพี่เลยเตรียมกับข้าวได้แค่นี้”

“แค่นี้ก็เยอะแล้วล่ะคะ แล้วหนูดีล่ะคะ” หญิงสาวถามขณะที่กำลังช่วยจัดโต๊ะ

“อาบน้ำอยู่จ้ะ น่าจะใกล้เสร็จแล้ว พักนี้ไม่รู้เป็นอะไรอาบน้ำนานกว่าปกติ” เมษาบ่นให้กัลยณัฏฐ์ฟัง

“ไม่ได้อาบนานสักหน่อยค่ะแม่ หนูดีแค่ล้างหน้านาน พี่โอปดูสิคะ สิวเต็มเลย” พิจิกาเดินเข้ากอดพี่สาวคนสนิทพร้อมเอามือชี้หน้าตัวเองที่มีสิวแค่ไม่กี่เม็ด

“ไหนให้พี่ดูซิ” เธอดันตัวเด็กสาวออกเพื่อจะได้เห็นหน้าอย่างชัดๆ

“ไม่เยอะนะหนูดี แค่นี้เองถ้าล้างหน้านานและล้างหน้าบ่อยนั่นแหละจะกระตุ้นให้เกิดสิว”

“เหรอคะ ก็หนูดีไม่รู้” พิจิกายิ้มแหยๆ

“พี่มีข้อมูลเยอะเลย เดี๋ยวพี่ส่งลิงก์หนูดีนะ” กัลยณัฏฐ์รู้ดีว่าวัยนี้กำลังรักสวยรักงาม

“ของคุณค่ะพี่โอป”

“เสร็จแล้วไปทานข้าวกันเถอะ แล้วนี่วิชญ์ไปไหนล่ะ” เมษามองไปทั่วบ้านเธอยังไม่เห็นน้องชายเลยตั้งแต่เดินเข้ามาทักทาย จากนั้นก็มีแค่สามสาวที่คุยกันอยู่

พอพูดจบผู้ชายคนเดียวในบ้านก็เดินเข้ามาพร้อมถุงในมือ

“น้ำส้มคั้นครับพี่ษา” ปุณณวิชญ์ถุงใส่ขวดน้ำส้มให้พี่สาว

“ไปซื้อที่ไหนมาเร็วจริง”

“ร้านตรงหัวมุมที่ติดกับร้านขายเครื่องสังฆทานครับ”

“อ๋อ ร้านนั้นเองพี่ก็เคยทานนะของเค้าอร่อย”

“พูดถึงร้านสังฆทานแล้ว พี่ว่าเสาร์นี้เราไปทำบุญกันไหม” เมษาเอ่ยชวนทั้งสามคน

“ดีเลยครับพี่ ผมไม่ได้เข้าวัดนานแล้ว” ปุณณวิชญ์แทบจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาไปวัดนั้นนานเท่าไหร่แล้ว

“ปอล่ะว่างไหม วันเสาร์บ่ายๆ ดีไหม น้าว่าจะไปดูสวนสักหน่อย คนดูแลสาวแจ้งว่าผลไม่บางอย่างเริ่มจะออกผลแล้ว จากนั้นเราก็ไปวัดด้วยกันอย่าลืมชวนพ่อกับแม่ไปด้วยนะปอ”

“ปอไม่แน่ใจเท่าไหร่ค่ะน้าษา ต้องดูว่าแขกเยอะไหม ถ้าเยอะก็คงปลีกตัวลำบาก”

“เดี๋ยวหนูดีไปช่วยค่ะ จะได้เสร็จเร็วๆ ดีไหมคะ ครั้งนี้หนูดีไม่คิดตังค่ะ” คำพูดของเด็กสาวทำให้ผู้ร่วมสนทนาอีกสามคนหัวเราะอย่างเอ็นดู

หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งสี่คนก็พากันมานั่งดูทีวีที่ห้องรับแขก เมษามองนาฬิกาแล้วถามน้องชายด้วยความเป็นห่วง

“จะสองทุ่มแล้ว วิชญ์ไปส่งหนูปอแล้วกลับกรุงเทพฯ เลยไหม”

“คงไม่ครับพี่ ผมว่าจะค้างที่โอบรักโฮมสเตย์ครับ”

“พี่ก็ว่าดีจะได้ไม่ต้องห่วง” เมษาเคยชวนเขาค้างที่นี่หลายครั้งแต่น้องชายก็ปฏิเสธ

“งั้นพี่ว่าวิชญ์ไปส่งหนูปอได้แล้ว ป่านนี้พี่กัลยาคงเป็นห่วง”

“ครับพี่”

“ปอไปก่อนะคะ น้าษาขอบคุณมากเลยค่ะ มื้อเย็นที่แสนอร่อย” กัลยณัฏฐ์บอกลาเจ้าของบ้าน

“แล้วมาอีกบ่อยๆนะ ที่จริงบ้านกับโรงเรียนก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง แวะมาหาหรือจะมานอนกับหนูดีก็ได้”

“ค่ะ แล้วปอจะหาโอกาสมาบ่อยๆ นะคะ”

“จริงนะคะ”

“จริงค่ะ แล้วพี่จะบอกอีกทีนะคะว่าวันไหน”

“เย้ๆ จะได้นอนดูซีรี่ย์กันถึงเช้าเลยนะคะ” พิจิกากอดหญิงสาวอย่างดีใจ


“คุณเรียกช่างมาดูรถหรือยังครับ” ปุณณวิชญ์ชวนหญิงสาวคุยเมื่อทั้งสองขับรถออกมาจากบ้านของเมษาแล้ว

“ยังเลยค่ะ วันนี้ปอยุ่งทั้งวันเลยค่ะ พ่อเองก็ไม่ว่างคงต้องรอพรุ่งนี้”

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ให้ผมไปรับนะ ออกจากบ้านสักเจ็ดโมงสิบห้ากำลังดี จะได้ไปหาอะไรทานก่อน”

“ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้ปอคงเอารถของพ่อไปใช้ก่อน”

“แล้วพ่อคุณไม่ต้องใช้รถเหรอ” ชายหนุ่มถามเพราะเขาเองอยากเป็นคนรับส่งเธอมากกว่าจะให้เธอขับรถมาเอง

“ปอก็ไม่ค่อยแน่ใจ คงต้องรอถามพ่ออีกที ปกติพ่อก็ไม่ค่อยออกไปไหนเท่าไหร่ เข้าสวนทีก็ยาวเลย แม่ยังชอบบ่นว่าพ่อชอบไปขลุกอยู่แต่ในสวน”

เธอจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าคนที่เธอบอกว่าไปขลุกอยู่แต่ในสวนนั้นบางทีอาจจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิด แต่เท่าที่ฟังเหมือหญิงสาวกับมารดาจะไม่ระแคะระคายอะไรเลยสักนิด

“ผมว่ามาทำงานพร้อมผมนี่แหละทางเดียวกัน ไม่ได้ลำบากอะไร เรื่องรถ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนกลางวันผมให้ช่างเข้าไปดูให้ก็ได้” เขาเห็นสีหน้าเกรงใจแล้วก็ต้องรีบพูดต่อ “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ เพื่อนบ้านกันมีอะไรก็ช่วยกัน ผมต้องเข้าเมืองมาดูไซต์งานอยู่”

“ก็ได้ค่ะ แต่น้าวิชญ์ไม่ต้องมารับที่บ้านก็ได้ปอเดินหาที่บ้านเองค่ะ ส่วนเรื่องรถปอจะให้พ่อดูให้ก่อนค่ะ”

“ครับ” เขาไม่เซ้าซี้ไปมากกว่านี้เพราะแค่เธอยอมให้เขาไปรับไปส่งก็พอใจแล้ว

เพียงไม่นานรถก็แล่นเข้ามาจอดที่บ้านของปุณณวิชญ์ คนงานกลับกันไปหมดแล้ว ทั้งบ้านมีไฟส่องสว่างตรงใต้ถุนบ้านเพียงดวงเดียว

“เดี๋ยวผมเอาเสื้อผ้าก่อน คุณรออยู่ตรงนี้แหละ มืดหน่อย มีอะไรก็ตะโกนดังๆ นะครับ” เขาบอกทีเล่นที่จริง แล้วก็แอบยิ้มมุมปากเมื่อเห็นหญิงสาวมองซ้ายมองขวาอย่างกลัวๆ

“ผมล้อเล่น ไม่มีอะไรหรอก” เขาเดินหายเข้าไปเอากระเป๋าเสื้อผ้า ที่สั่งให้สิงหนาทเอาออกจากหลังรถเมื่อตอนกลางวัน

“แม่ค่ะปอมาแล้วค่ะ” กัลยณัฏฐ์เดินเข้ามายังห้องรับแขกของโอบรักโฮมสเตย์ กัลยากำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่คนเดียว ชายหนุ่มยกมือไหว้

“พ่อล่ะคะ ยังไม่กลับอีกเหรอ” หญิงสาวถามหาบิดาเพราะอยากจะบอกเรื่องรถ

“กลับได้สักพักแล้วจ้ะ กำลังอาบน้ำ”

“เลยต้องรบกวนวิชญ์ให้มาส่ง น้าล่ะเกรงใจ”

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็ต้องกลับมานอนที่นี่อยู่แล้ว” ชายหนุ่มรีบบอก

“แม่ถามพ่อให้แล้วนะ พรุ่งนี้พ่อไม่ได้เอารถไปไหน ปอเอารถของพ่อไปก่อนก็ได้”

ปุณณวิชญ์หันหน้ามามองหญิงสาวอย่างต้องการคำตอบ

“ไม่ต้องแล้วค่ะแม่ ปอพึ่งคุยกับน้าวิชญ์ตอนนั่งรถมา น้าวิชญ์จะเข้าไปดูไซต์งานตอนเช้าพอดีปอเลยจะติดรถไปค่ะ”

“ครับน้า ผมต้องคุมงานเองทั้งสองที่ไหนๆ ก็ทางเดียวกันแล้ว เลยไปรับไปส่งได้ครับ ไม่ได้ลำบากอะไร”

“ก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ปอก็กลับค่ำเกือบทุกวันน้าเองก็อดเป็นห่วงไม่ได้” เธอมองเห็นแววตาที่ชายหนุ่มแสดงออกมาก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คงจะมีความรู้สึกที่พิเศษกับลูกสาวของเธอเป็นแน่ ส่วนลูกสาวของเธอนั้นกัลยามั่นใจว่าคงคิดอะไรกับผู้ชายคนนี้อยู่บ้าง เพราะไม่อย่างนั้นคนขี้เกรงใจอย่างกัลยณัฏฐ์คงจะไม่ยอมให้ใครไปรับไปส่งแน่ๆ

“ส่วนเรื่องรถ พรุ่งนี้พ่อเค้าจะดูให้นะ”

“ค่ะแม่ ปอก็ว่าจะบอกอยู่เหมือนกัน น้าวิชญ์จะให้ช่างมาดูปอเลยว่าให้พ่อดูให้ก่อนค่ะ”

“น้าขอบใจวิชญ์อีกครั้งนะ แล้วนี้จะพักห้องเดิมหรือเปล่า” กัลยามองเป้ในมือชายหนุ่มก็เดาได้ว่าคืนนี้เขาคงไม่กลับบ้าน

“ห้องเดิมก็ได้ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับพอดีว่ายังมีงานเอกสารค้างนิดหน่อย”

“ตามสบายเลยจ้ะ” กัลยาบอกชายหนุ่มที่ดูจะเริ่มคุ้นเคยกับโอบรักโฮมสเตย์

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

แต่งจบแล้วกำลังตรวจคำผิดค่ะ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว