วันต่อมา
หลังจากที่เยี่ยเหมยส่งสามีขึ้นรถม้าเพื่อไปตรวจสาขาต่างเมืองแล้ว นางก็คลุกตัวอยู่ในห้องบัญชีทั้งวัน
จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น ที่ทุกคนในบ้านต้องไปร่วมโต๊ะกัน ชิงซิน สาวรับใช้ข้างกายจึงเอ่ยเตือนขึ้นว่า
“คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ”
ชิงซินเป็นสาวใช้ที่ติดตามมาจากสกุลเยี่ย ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จึงรักกันประดุจพี่น้อง ดังนั้น เมื่อคุณหนูแต่งเข้าสกุลจู นางจึงขอติดตามมาด้วย
“ได้เวลารับประทานอาหารอีกแล้วรึ ข้ายังไม่หิวเลย”
เพราะความเศร้าที่ต้องอยู่ห่างจากสามีจึงทำให้นางไม่รู้สึกอยากอาหาร
“ถึงไม่หิว คุณหนูก็ต้องไปเจ้าค่ะ เดี๋ยวฮูหยินใหญ่จะหาเรื่องท่านอีก”
ชิงซินเอ่ยเตือนสติคุณหนูของตนที่ช่างไร้เดียงสานัก นางมองสะใภ้ใหญ่เพียงครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ชอบคุณหนูของตนมากเพียงใด ตอนนี้ท่านเขยไม่อยู่เกรงว่าสะใภ้ใหญ่คงเตรียมหาเรื่องคุณหนูของตนอยู่เป็นแน่
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
เยี่ยเหมยจึงจำใจปิดสมุดบัญชีลง แล้วมุ่งหน้าสู่เรือนหลัก โดยมีสาวใช้ตามไปดูแลนายหญิงของตนติด ๆ
.............................................................
ณ ห้องอาหาร
เมื่อเยี่ยเหมยเข้ามาในห้องอาหารทุกคนก็นั่งอยู่พร้อมหน้ากันหมดแล้ว
“แต่งเข้าสกุลจูแล้ว เจ้าก็ต้องปฏิบัติตามกฎของสกุลจู แม้แต่เวลาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็น เจ้ายังละเลยไม่ปฏิบัติตาม เป็นแค่สะใภ้เล็ก แต่กลับปล่อยให้พ่อสามีรอเช่นนี้ใช้ได้รึ”
เว่ยหลิน เชิดหน้าขึ้นกล่าวตำหนิเยี่ยเหมยอย่างไม่เกรงใจผู้ใด เพราะแม่สามีได้ตายจากไปนานแล้ว ดังนั้น ในฐานะสะใภ้ใหญ่นางจึงมีอำนาจสูงสุดสำหรับการดูแลความเป็นอยู่ของคนในคฤหาสน์
“เฒ่าแก่จู ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ช่วงนี้กิจการของเราขายผ้าได้เยอะนัก ทำให้ข้าตรวจบัญชีเสร็จช้าไปเจ้าค่ะ”
เยี่ยเหมยก้มหน้ารับผิด สีหน้าเศร้าสร้อย สามีของนางเดินทางไปไกล เมื่อถูกข่มเหงนางก็ไม่รู้จะไปพึงใคร ได้แค่ก้มหน้ายอมให้ผู้อื่นรังแก
“เอาเถอะ ๆ เรื่องเล็กน้อยน่า”
เฒ่าแก่จู ซึ่งเป็นพ่อสามีรีบไกล่เกลี่ย แล้วกวักมือเรียกสะใภ้เล็กให้นั่งลงทานข้าว “มานั่งเถอะ จะได้ทานข้าวกัน”
“เหอะ”
เว่ยหลินแค่นเสียงในลำคอ ในเมื่อพ่อสามีเข้าข้างสะใภ้เล็กเช่นนั้น นางก็ได้แค่ค้อนตาปะหลับปะเหลือกให้
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว