มวลหมู่บุปผชาติมากน้อยปลูกเรียงรายอยู่ตามสองด้านของทางเดินหินสีเข้ม ย่างเข้าสู่ฤดูกาลนี้บุปผานานาพรรณก็แย้มกลีบบาน ทำให้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยลอยละล่อง
มุมหนึ่งของปลายหลังคาศาลาทรงจีนโผล่พ้นออกมาจากด้านหลังต้นไม้ ไม่ว่าจะมองไปยังมุมไหนก็ดูเป็นภาพของสวนที่งามตระการตามากแห่งหนึ่ง
เป็นตระกูลขุนนางที่ร่ำรวยโดยแท้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลไป๋ก็นับว่ามีเส้นสนกลในมากทีเดียว
ถึงแม้กู้หวาจิงจะไม่เคยได้ศึกษาความรู้ด้านศิลปะมา แต่ความสามารถพื้นฐานด้านนี้ก็พอมีอยู่บ้าง และพอจะเข้าใจว่าในความคิดของเถียนหมอมอเหตุใดจึงไม่ควรนำตระกูลไป๋มาเปรียบเทียบกับตระกูลกู้
พวกเขาเดินกันมาเกือบครึ่งทาง เมื่อหันกายไปยังประตูจันทรา[1] ก็เห็นคนก้าวมาอย่างรวดเร็วจากระเบียงทางเดินของชายคาจวนตรงมายังพวกเขา
“จิงจิงของข้า...!”
คนผู้นั้นส่งเสียงเรียกหานางก่อนที่จะเดินมาถึง กู้หวาจิงเห็นบุรุษวัยกลางคนท่านหนึ่งก้าวเดินมายังนางด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
“ลูกข้า! เจ้าต้องทนทุกข์ยากลำบาก!”
กู้หวาจิงงงงันไปชั่วขณะ หากเป็นเวลาปกตินี่ควรจะเป็นบทของมารดา ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้จากโลกนี้ไปหลังจากคลอดนางออกมาได้ไม่นาน นายท่านผู้เฒ่ากู้ก็ไม่ได้แต่งภรรยาใหม่ ดังนั้นเขาจึงรักและหวงแหนบุตรสาวคนเล็กคนนี้มากกว่าปกติ
กู้หยวนเผยเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์องอาจห้าวหาญ คล่องแคล่วว่องไว แม้ว่าจะมีบุตรถึงสี่คน แต่ก็สามารถเลี้ยงดูฟูมฟักอย่างดีได้ มองแล้วอายุอานามน่าจะไม่เกินสามสิบปี ยังคงมีท่วงทีอันสง่างามและความเฉียบแหลมอยู่ในวัยอย่างเพียบพร้อม
เพียงแต่ตอนนี้นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสลดใจปนเปไปด้วยความรักทะนุถนอมอย่างลึกซึ้ง สายตาที่มองมาทำให้คนที่เห็นสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดภายในใจ
กู้หวาจิงคำนับอย่างอ่อนช้อย เมื่อนางเปล่งเสียงออกมาว่าท่านพ่อ กู้หยวนเผยก็อดน้ำตาซึมไม่ได้
“เหตุใดถึงร่างกายซูบผอมจนกลายเป็นเช่นนี้! ตระกูลไป๋รังแกข่มเหงตระกูลกู้ของเรางั้นรึ! ไปกัน หากไม่สามารถทำให้ตระกูลไป๋พินาศลงได้ ข้าคงนอนตายตาไม่หลับ!”
เมื่อกู้หยวนเผยมองไปยังร่างของบุตรสาวดวงตาก็แทบจะลุกเป็นไฟ รู้สึกเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟจนอยากจะไปร้องหาความเป็นธรรมจากตระกูลไป๋
“ท่านพ่อ ท่านคอยอีกสักสองสามวันแล้วค่อยกลับไปอีกคราเถิด ข้าได้สั่งสอนพวกคนเหล่านั้นไปครั้งหนึ่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจิงจิงดูแล้วยังอ่อนแอเช่นนี้ ก่อนอื่นเชิญหมอมาตรวจรักษาก่อนเถิด”
เมื่อได้ฟังคำพูดของกู้หวาเซวียนกู้หยวนเผยจึงสงบลง และมองไปยังกู้หวาจิงอย่างเศร้าสร้อย “จิงจิงเจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง ในจวนของเรามีหมออยู่ ข้าจะรีบไปตามมาตรวจดู”
ขณะที่กู้หยวนเผยพูดไปพลาง ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นคราบเลือดแห้งกรังที่ติดอยู่บนมือของกู้หวาจิง ดวงตาของเขาก็พลันแดงก่ำไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่กล้าทำให้นางตกใจกลัว
“เรือนสวรรค์บุปผาเริงระบำไร้ผู้คนมาโดยตลอด ทว่ามีคนคอยปัดกวาดทุกวัน เจ้ารีบไปพักผ่อนก่อนเถิด”
“ท่านพ่อ ลูกไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ...”
กู้หวาจิงคิดว่านางควรจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตระกูลไป๋แก่คนในตระกูลกู้ก่อน จะไปพักผ่อนโดยที่ไม่พูดอะไรเลยได้อย่างไรกัน
ทว่าผลสุดท้ายเถียนหมอมอที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้และประคองนางอยู่ กลับเอ่ยออกมานัยน์ตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความหนักแน่น “นายท่านผู้เฒ่า บ่าวขอตัวพาคุณหนูไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ และอีกชั่วครู่ บ่าวจะมาหาท่านและสารภาพทุกอย่างต่อหน้าท่านเองเจ้าค่ะ!”
...
กู้หวาจิงจำใจต้องทำตามความคิดของคนส่วนมาก นางตรงไปยังเรือนสวรรค์บุปผาเริงระบำ
ยามที่เห็นเรือนสวรรค์บุปผาเริงระบำ นางอดไม่ได้ที่จะอ้าปากน้อยๆ ออกมา ‘ลานสวนแห่งนี้ เหตุใดถึงได้ดูยิ่งใหญ่ตระการตาขนาดนี้’
ทั่วทั้งดวงหน้าของกู้หวาจิงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เมื่อเทียบกับลานของตระกูลไป๋ที่นางเคยพักอยู่นั้น เรือนสวรรค์บุปผาเริงระบำแห่งนี้ราวกับเม็ดพลอยที่ส่องประกายแวววาว
ภายในมีศาลาน้อยลอยน้ำกลางสระบัว และพลับพลาหิน ในสวนยังเต็มไปด้วยมวลหมู่ผกาหายากนานาพรรณ ต้นไผ่และดอกเหมยแดง ‘มิน่าละถึงเรียกว่าเรือนสวรรค์บุปผาเริงระบำ เป็นเพราะทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยดอกไม้นี่เอง’
ดวงตาของกู้หวาจิงมองจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ฉับพลันนัยน์ตาของนางก็เต็มไปด้วยความชื่นชม
เถียนหมอมอกลับคิดว่ากู้หวาจิงประหลาดใจในสิ่งนี้ จึงหัวเราะน้อยๆ ออกมา “กล่าวได้ว่านายท่านผู้เฒ่ารักคุณหนูสุดหัวใจ ไม่คาดคิดว่าที่นี่จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยตั้งแต่ตอนที่ท่านจากไปเมื่อสามปีก่อน เกรงว่านายท่านผู้เฒ่าคงทำใจไม่ได้ที่คุณหนูออกเรือน”
“...เอ่อ”
นางไม่รู้ควรจะตอบกลับไปเช่นไร
ภายในลานมีสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่มากน้อย เมื่อพวกนางเห็นตนก็ก้มศีรษะลงแสดงความเคารพมาตั้งแต่ไกล ก้าวเดินมาอย่างรีบร้อนเพื่อคอยปรนนิบัติกู้หวาจิงในการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อครั้งที่อยู่จวนสกุลไป๋ ทั้งภายในและภายนอกลานเล็กๆ มีเพียงเถียนหมอมอผู้เดียวเท่านั้นที่คอยดูแลปรนนิบัตินาง ทว่าในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยคนมากมาย ทำให้กู้หวาจิงต้องคอยระแวดระวังตนอยู่พักหนึ่ง
แม่นางน้อยผู้นี้สวยงามไปทุกสัดส่วน งามหยาดเยิ้มและบอบบาง ทว่ากู้หวาจิงมีมือมีเท้า ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักที่มีคนมาปรนนิบัติพัดวีให้
“คุณหนูโปรดไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวกลับมา”
เถียนหมอมอยังคงร้อนใจที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่คุณหนูของนาง เมื่อเห็นว่าในนี้ไม่มีสิ่งใดให้นางต้องจัดการแล้ว จึงขอตัวออกมาอย่างนอบน้อม ถอยกายออกมาช้าๆ
กู้หวาจิงก้าวเข้าไปยังอวี้ถ่ง[2]ที่ตั้งอยู่ในห้องอาบน้ำกว้างใหญ่ นางให้บรรดาสาวใช้ที่ปรนนิบัติรออยู่ด้านนอกของม่าน
ภายในห้องอาบน้ำอบอวลไปด้วยกำยานส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ในอวี้ถ่งเต็มไปด้วยเครื่องหอมที่ได้กลิ่นแล้วทำให้ผ่อนคลาย กู้หวาจิงแช่ตัวลงกลางน้ำอุ่น ความหวาดกลัวเมื่อครั้งที่อยู่ในจวนตระกูลไป๋ค่อยๆ แผ่กระจายออกไปทางผิวหนัง...
ความรู้สึกที่โดนใครสักคนกดตรึงไว้กับพื้นจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ตลอดชีวิตนี้ของนางไม่อยากจะเผชิญอีกเป็นครั้งที่สอง การได้ลิ้มรสชาติของเนื้อปลา[3]เจ็บปวดทนทุกข์ทรมาน ไม่มีหนทางที่จะหนีต่อสู้ดิ้นรนได้แม้แต่น้อย
กู้หวาจิงแหงนศีรษะมองขึ้นไปยังม่านบางๆ ที่สั่นไหวอยู่ด้านบน ความปรารถนาของนางนั้นจริงๆ แล้วน้อยนิด นางไม่อยากจะเสแสร้งทำทุกอย่างเพราะแท้จริงแล้วนางมีความทรงจำในชีวิตมากเกินไป นางเพียงอยากจะใช้ชีวิตให้ดีและมีความสุข
ในที่สุดเวลานี้นางก็สามารถหนีพ้นจากตระกูลไป๋ได้แล้วมิใช่หรือ บิดาและพี่ชายของนางช่วยให้นางหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์แล้วมิใช่หรือ อย่างไรก็ตามสตรีที่เคยแต่งงานไปแล้วครั้งหนึ่งดูเหมือนจะมีชีวิตที่ยากลำบากในสมัยโบราณ แต่ทว่านางไม่ได้สนใจ
เพียงแค่ในมือมีเงินทอง ด้านหลังมีคนหนุน ใช้ชีวิตอย่างสงบ คงจะไม่ยากเกินไปหรอก
แต่ว่า...ตอนแต่งงานเริ่มแรกก็ต้องมีสินเดิมของฝ่ายเจ้าสาวมิใช่หรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องกลับไปอีกคราน่ะสิ...
**ติดตามตอนต่อไปก่อนใครได้ที่ https://www.readawrite.com/a/f76a431cff2b24d74f8d84186b87e2b9
[1] ประตูจันทรา หรือ ประตูพระจันทร์ เป็นทางเปิดโล่งลักษณะวงกลมซึ่งเชื่อมต่อจากผนังหรือกำแพงที่ล้อมรอบสวน เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมในสวนจีน จุดประสงค์ของประตูนี้ใช้เพื่อเชื้อเชิญชนชั้นสูงหรือผู้มีฐานะดีให้เข้าเยี่ยมชมสวน ดังนั้นในอดีตประตูพระจันทร์จึงมักสร้างขึ้นในสวนของผู้สูงศักดิ์เท่านั้น
[2]อวี้ถ่ง ถังไม้อาบน้ำของชาวจีนสมัยโบราณ
[3] อุปมาถึง คนอ่อนแอ
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว