หลังจากที่เหอจิ่วเหนียงบอกเทียบยาเสร็จ บรรยากาศโดยรอบก็เงียบสงัดไปชั่วขณะ เพราะเดิมทีคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่านางจะสามารถท่องเทียบยาได้
ท่านหมอซ่งผู้จดเทียบยาเองก็ยังจดตามด้วยความตกตะลึง เพราะเทียบยานี่ยอดเยี่ยมกว่าเทียบยาทั้งหมดที่เขาเคยศึกษามา
เป็นเรื่องจริงที่เทียบยาของเขารักษาไม่หาย แต่เทียบยาของแม่นางผู้นี้มีความเป็นไปได้ที่จะรักษาอาการได้เกือบเต็มสิบส่วนเลยทีเดียว
นี่เป็นเทียบยาสมุนไพรพื้นบ้านของชาวบ้านทุรกันดารจริง ๆ หรือ?
ดูแล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น!
“ท่านหมอซ่ง เทียบยานี่ใช้ได้หรือไม่?”
ฝูงชนกล่าวถามด้วยความใคร่รู้เต็มประดา ท่านหมอชราพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด “เทียบยาของแม่นางผู้นี้ล้ำเลิศกว่าเทียบยาที่ข้าเคยศึกษามา ส่วนเรื่องจะรักษาให้หายได้หรือไม่ข้าเองก็ยังไม่อาจรับประกัน”
“ขอบใจแม่นางมาก ขอบใจแม่นางมากจริง ๆ!”
ได้รับการยอมรับจากผู้มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ด้านศาสตร์แห่งแพทย์ หญิงสาวผู้เป็นแม่ก็รีบพร่ำขอบคุณเหอจิ่วเหนียงทันที หากไม่ได้แม่นางผู้นี้ ตอนนี้นางคงเอาแต่โขกศีรษะขอร้องฟ้าดินอยู่เป็นแน่
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เป็นความโชคดีของเจ้าตัวน้อยมากกว่า ข้าแค่บังเอิญรู้เทียบยาที่ตรงโรคเขาพอดี หากเป็นโรคอื่นข้าก็คงช่วยอะไรไม่ได้” เหอจิ่วเหนียงยิ้มบาง ๆ
หลังจากหญิงสาวแสดงความขอบคุณแล้วก็ตามเด็กผู้ช่วยเข้าไปจัดสมุนไพรตามเทียบยา ส่วนเหล่าคนมุงเมื่อเรื่องราวคลี่คลายก็พากันแยกย้ายสลายตัว
ขณะที่เหอจิ่วเหนียงเตรียมจะจากไปท่านหมอซ่งก็เรียกไว้ จากนั้นเอ่ยถามนางเสียงเบา “แม่นางก็เป็นผู้ที่ร่ำเรียนวิชาแพทย์ใช่หรือไม่?”
“ท่านหมอคิดอย่างไรล่ะเจ้าคะ?” เหอจิ่วเหนียงไม่ตอบแต่ถามกลับ
ท่านหมอซ่งมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าสิ่งที่ตนคาดเดานั้นถูกต้อง มือเหี่ยวย่นลูบเครา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เทียบยานี่ไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านธรรมดาจะสามารถจำได้ อีกอย่างแม่นางมองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าเด็กคนนั้นป่วยจากความร้อนชื้นสะสมเรื้อรัง หากเป็นคนทั่วไปไม่มีทางรู้แน่นอน”
ตรงนี้มีเพียงพวกเขาสองคน เหอจิ่วเหนียงจึงไม่คิดปิดบังอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่นางรู้วิชาแพทย์ก็เป็นเรื่องที่นางตั้งใจจะค่อย ๆ เผยออกมาอยู่แล้ว
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงพยักหน้า แล้วอธิบาย “ตอนเด็ก ๆ ข้ามีโอกาสเรียนตัวหนังสือจึงพอได้อ่านตำราแพทย์มาบ้าง ท่องจำเทียบยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงกระนั้นวันนี้ข้ากลับแสดงฝีมือต่ำต้อยต่อหน้าท่านเสียแล้ว”
“เจ้าไม่เคยเรียนวิชาแพทย์อย่างจริงจังมาก่อนหรือ?”
หมอชรารู้สึกประหลาดใจมาก เห็น ๆ อยู่ว่าทักษะการท่องเทียบยาเมื่อครู่ของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าหมอมากประสบการณ์อย่างเขาเลย อีกทั้งเขารู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ
เหอจิ่วเหนียงส่ายหน้าอย่างใสซื่อ “ไม่เคยเจ้าค่ะ ข้าเพียงใช้เทียบยานั่นฝึกอ่านตัวหนังสือ ส่วนตำราแพทย์เหล่านั้นข้าก็ซื้อมาจากแผงตำราริมทางในตลาด แต่หลังจากนั้นที่บ้านข้ามีปัญหาอยู่บ่อย ๆ ตำราเหล่านั้นจึงหายไปแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินนางบอกว่าตำราแพทย์เหล่านั้นหายไปแล้ว ท่านหมอซ่งก็รู้สึกเสียดายยิ่งนัก เพราะเขาตั้งใจว่าจะยืมมาอ่านสักหน่อย
“ในเมื่อเจ้ารู้หนังสือ เหตุใดเมื่อครู่ถึงให้ข้าเขียนเทียบยาแทนเจ้าล่ะ?”
ท่านหมอชราไม่เข้าใจ เขารู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดา
“แม้ข้าจะบอกว่ารู้หนังสือ แต่ข้าก็แค่อ่านออกเท่านั้น ข้าเขียนไม่เป็นเจ้าค่ะ อีกอย่าง หากท่านหมอเป็นคนเขียนเทียบยาออกมาเอง ทั้งยังได้รับการยอมรับจากท่านด้วย ก็จะยิ่งทำให้คนเชื่อถือได้ง่ายกว่าไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
เหอจิ่วเหนียงยิ้ม ท่านหมอชราจึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ยิ้มตามพลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม
“แล้วเจ้าเคยคิดจะเรียนวิชาแพทย์อย่างจริงจังหรือไม่?”
เหอจิ่วเหนียงตบเข่าฉาดในใจ ที่นางประวิงเวลาอยู่ตรงนี้ตั้งนานก็เพื่อสิ่งนี้แหละ!!
“ก็สนใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ เพียงแต่ตอนนี้บ้านเมืองมีแต่ความลำบาก ครอบครัวข้าเองก็ทุกข์ยากไม่น้อย อีกอย่างข้าเป็นสตรี คงไม่มีใครยอมรับสตรีเป็นศิษย์”
หมอชราร้อนใจทันที “เจ้าเป็นคนฉลาดมีความสามารถ หากเจ้ายินดี ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ และถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้กับเจ้า!”
ที่ท่านหมอซ่งร้อนใจก็เพราะเขาไม่อยากเสียเมล็ดพันธุ์ดีเช่นนี้ไป ครอบครัวของเขาสืบทอดวิชาแพทย์มาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ลูกหลานที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้จริง ๆ กลับมีเพียงไม่กี่คน การร่ำเรียนวิชาแพทย์ไม่เพียงต้องอาศัยความพากเพียรเท่านั้น ต้องอาศัยพรสวรรค์ด้วย มองแค่ปราดเดียวหมอมากประสบการณ์ก็เห็นถึงพรสวรรค์อันเหลือล้นของเหอจิ่วเหนียงแล้ว
“จริงหรือเจ้าคะ ท่านหมอยินดีจะรับข้าเป็นศิษย์จริง ๆ หรือเจ้าคะ ไม่รังเกียจที่ข้าเป็นสตรีหรือเจ้าคะ?”
เหอจิ่วเหนียงเผยท่าทางตกใจระคนดีใจอย่างไร้ที่เปรียบออกมา ราวกับว่านึกไม่ถึงเลยว่าตนจะได้รับโอกาสใหญ่หลวงเช่นนี้
หมอสูงวัยเห็นท่าทางยินดีปรีดาของหญิงสาวก็รู้สึกปลื้มใจมาก โดยหารู้ไม่ว่า…ตนติดกับดักของนางเข้าให้แล้ว
“ข้าไม่รังเกียจ ๆ ลูกหลานในตระกูลข้าที่เป็นผู้หญิงก็เรียนวิชาแพทย์กันหมด หากเรียนได้ดี มีทักษะความสามารถละก็ ยังมีโอกาสเข้าไปเป็นหมอหญิงในวังด้วยนะ ได้ตรวจอาการ ดูแลเหล่าขุนนางในวัง แต่หากไม่ได้เข้าวัง การเป็นหมอหญิงในเมืองก็เนื้อหอมไม่แพ้กันเลยละ”
เหอจิ่วเหนียงประหลาดใจกับทัศนคติของผู้อาวุโสท่านนี้อย่างมาก เพราะในยุคสมัยเช่นนี้ คนที่มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้านั้นหาได้ยากจริง ๆ
“ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ข้าต้องขอกลับไปปรึกษาครอบครัวก่อน ครอบครัวข้าเพิ่งลี้ภัยมาถึงที่นี่ ยังไม่รู้เลยว่าจะตั้งหลักกันที่ไหนอย่างไร หากจัดการเรื่องครอบครัวเสร็จแล้วข้ารีบจะมาหาท่านทันทีนะเจ้าคะ”
เหอจิ่วเหนียงตัดสินใจเองไม่ได้เสียที่ไหน เพียงแต่นางอยากแสร้งรับบทคนน่าสงสารสักหน่อยก็เท่านั้น
และแล้วก็เป็นอย่างที่สตรีเจ้าเล่ห์คิดเอาไว้ ทันทีที่ท่านหมอซ่งได้ยินก็รู้สึกเห็นใจ จึงพยักหน้ารับช้า ๆ รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เหอจิ่วเหนียงจึงเดินจากไป ในใจลอบกระหยิ่มยิ้มย่อง
.
หลังจากควบม้าออกจากเมือง เหอจิ่วเหนียงก็หาที่ลับตาคน แล้วนำถุงผ้าถุงหนึ่งออกมาจากห้วงมิติสะพายไว้ด้านหลัง ในนั้นมีเครื่องสำอางชนิดพิเศษและของเหลวสีแดงเสมือนเลือด
เนื่องจากใช้เวลาไปมากอยู่ที่โรงหมอเหอจิ่วเหนียงจึงกลับมาช้ากว่าที่คาดไว้ครึ่งชั่วยาม ทำเอาทุกคนในครอบครัวร้อนใจ ทันทีที่นางมาถึงก็ได้ยินเสียงครอบครัวลู่กำลังเอะอะโวยวาย จะให้ลู่จิ้งซวนไปตามหานางบริเวณนอกเมือง
“โอ๊ะ กลับมาแล้ว ๆ! ท่านแม่ น้องสะใภ้สามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
นางฉินเห็นเหอจิ่วเหนียงเป็นคนแรก จึงคว้าแขนนางซุนพลางชี้ให้ดู
นางซุนหรี่ตามอง และพบว่าร่างเล็ก ๆ สีดำกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา กระทั่งเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นร่างของเหอจิ่วเหนียง หญิงชราจึงวางใจได้ในที่สุด
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าหาของมาได้แล้วเจ้าค่ะ แล้วข้าก็สืบข่าวมาได้ด้วยเจ้าค่ะ!”
สตรีตัวแทนครอบครัวกระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว เห็นสีหน้าของแม่สามีบูดบึ้งก็รีบยิ้มเอาใจทันที
“ไหนเจ้าบอกว่าไปไม่นาน นี่เรียกไม่นานหรือฮะ!?”
เมื่อคนที่ตนเฝ้ารอด้วยความเป็นห่วงเดินมาหยุดตรงหน้า ใบหน้าของหญิงชราก็บึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม มือเหี่ยวย่นยื่นออกไปหมายจะตีคนน่าโมโหสักที
นางฉินห้ามเอาไว้ได้ทัน “ท่านแม่ น้องสะใภ้สามเพิ่งกลับมา ท่านฟังนางพูดก่อนสิเจ้าคะ อย่างเพิ่งโมโห”
จากนั้นสะใภ้รองก็หันไปอธิบายกับเหอจิ่วเหนียง “น้องสะใภ้สาม ท่านแม่เป็นห่วงเจ้ามากน่ะ”
นางหยูก็ช่วยพูดอีกแรง “ตั้งแต่เจ้าไปท่านแม่ก็เอาแต่มองทางตลอด ทั้งยังพึมพำว่าเมื่อไรเจ้าจะกลับมา”
“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง ข้ารู้ว่าท่านแม่รักข้า! ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
เหอจิ่วเหนียงหัวเราะพลางเข้าไปกอดนางซุนอย่างออดอ้อน ตอนนี้นางเข้าใจนิสัยของหญิงชราผู้นี้ดีแล้ว
“ใครรักเจ้ากัน! ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเหตุใดเจ้าถึงหน้าหนาเช่นนี้!” นางซุนทำท่าทางไม่พอใจ หันไปดุสองสะใภ้ใหญ่รองระบายความขัดเคือง “ใครใช้ให้พวกเจ้าพูดฮะ ปากไม่มีหูรูดจริง ๆ!”
ทุกคนไม่เพียงไม่โกรธเท่านั้น ยังหัวเราะอย่างมีความสุขอีกด้วย ส่วนนางซุนฮึดฮัดจนแทบจะโกรธจริง ๆ แล้ว
ผู้เฒ่าลู่พลอยขบขันไปด้วย เขารู้สึกนับถือสะใภ้สามยิ่งนักที่สามารถสยบภรรยาของเขาได้อยู่หมัด
“น้องสะใภ้สาม เจ้าเข้าเมืองไปครั้งนี้ได้อะไรมาบ้าง?”
ลู่จิ้งซวนเดินเข้ามาถามด้วยความใคร่รู้ ขณะเดียวกันก็เป็นการถามแทนทุกคนด้วย
เหอจิ่วเหนียงเปิดถุงผ้าออก ทุกคนเข้ามามุงดูด้วยความตื่นเต้น
และสิ่งแรกที่ประจักษ์แก่ทุกสายตาก็คือ ขนมและของกินเล่น
เด็ก ๆ โห่ร้องด้วยความดีใจ “ไชโย! ขนมเคลือบน้ำตาล!”
“มีขนมกุ้ยฮวาด้วย!”
“โอ้โฮ ข้าง ๆ นั่นใช่ขนมดอกท้อหรือไม่?”
ส่วนด้านผู้ใหญ่…
เงียบกริบ ไม่มีเสียงใดจากพวกเขา
.
.
.
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว