ถึงแม้เซียวฝูเถียนและเซียวกุ้ยเถียนจะคัดค้านความคิดนี้ของเซียวจิ่งเถียนอย่างหนัก แต่เซียวจิ่งเถียนก็หาได้สนใจไม่ เขากลับมีความมั่นใจเป็นอย่างมากในการเช่าที่ดินผืนนี้
ทุกวันหลังจากกลับมาจากทำนาแล้ว เขาและเซียวจงไห่ก็จะไปตัดหญ้าป่ากันที่หลังเขา พวกเขาตัดพืชประเภทหญ้าภูเขาชนิดหนึ่งชื่อเหย่เยี่ยนม่ายหรือที่เรียกกันว่าข้าวโอ๊ตป่า ซึ่งใบของพืชชนิดนี้มีสีแดงสด เมื่อมองมาจากที่ไกลมายังภูเขาลูกนี้ที่เต็มไปด้วยข้าวโอ๊ตป่า ก็ดูเหมือนภูเขาลูกนี้ถูกไฟไหม้เป็นสีแดงเพลิงลุกลามไปทั่วทั้งผืนป่า
เซียวจิ่งเถียนขนบรรทุกต้นข้าวโอ๊ตป่าที่ตัดมาได้นี้ไปยังที่ดินรกร้าง โดยจัดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอยู่บนพื้นดิน ในส่วนนี้เซียวจงไห่ก็ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเขาเท่าใดนัก “จิ่งเถียน หญ้าข้าวโอ๊ตป่าเหล่านี้มีประโยชน์หรือ?” เขานั่งยองลงกับพื้นแล้วถามคิ้วขมวด
“แน่นอนว่ามีประโยชน์” เซียวจิ่งเถียนตอบเรียบๆ “ที่ดินผืนนี้ไม่ใช่ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ แต่เป็นเพราะเมื่อก่อนต้นหยวนเป่าเหล่านั้นทำให้ดินเน่าเสีย ที่จริงแล้วต้นหยวนเป่ามีค่าความมันค่อนข้างสูง หลังจากที่โดนเผาแล้ว น้ำมันในต้นไม้ต่างก็ไหลออกมาแล้วชโลมไปทั่วผืนดิน ดังนั้นที่ดินผืนนี้จึงไม่สามารถทำการเพาะปลูกสิ่งใดได้อีก หากต้องการแก้ปัญหาดินที่ได้รับน้ำมันมากเกินไปเช่นนี้ ก็จะขาดต้นโอ๊ตป่านี้ไปไม่ได้เลย”
เมื่อก่อนเขาเคยพบเจอดินที่มีปัญหาเช่นนี้ และก็เคยเห็นสรรพคุณของต้นโอ๊ตป่านี้ด้วยเช่นกัน
“แรกเริ่มเดิมทีต้นหยวนเป่าเหล่านั้นถูกเผาอยู่บนที่ดินผืนนี้จริงๆ แต่ว่าที่ดินผืนนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างอยู่สิบปีเต็ม ไม่ใช่เรื่องที่อาศัยเพียงต้นโอ๊ตป่าเหล่านี้ก็สามารถแก้ปัญหาได้” เซียวจงไห่หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาวาดไปมาบนพื้นดินพลางถอนหายใจ “หรือไม่เช่นนั้นพวกเรายอมเสียแรงเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อเลาะเอาหน้าดินผืนนี้ออกไป จากนั้นจึงค่อยนำดินใหม่มาถม เช่นนี้เพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ลงไปอย่างน้อยก็ยังพอมีผลผลิตบ้าง”
อันที่จริงหลายปีมานี้ คนในหมู่บ้านต่างก็เคยวิพากษ์วิจารณ์ที่ดินผืนนี้มาก่อน ทุกคนต่างคิดตรงกันว่าเปลี่ยนดินคือวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้
แน่นอนว่าก็แค่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านพูดคุยกันเท่านั้น
แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะเช่าที่ดินรกร้างผืนนี้มาทดลองทำ เพราะหากเปลี่ยนหน้าดินแล้วยังไม่ได้รับผลผลิต เช่นนั้นก็ขาดทุนมากโขเลยทีเดียว
ที่สำคัญทุกคนต่างก็ไม่ได้ร่ำรวยมีกินมีใช้มากพอที่จะทำเช่นนั้น
“ไม่ต้องเปลี่ยนหน้าดินหรอก” เซียวจิ่งเถียนพูดเรียบๆ “ท่านพ่อท่านวางใจเถิด ข้ามีวิธีของข้า”
เซียวจงไห่เห็นเซียวจิ่งเถียนดูสงบนิ่งจึงได้แต่พยักหน้ารับ “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็จะทำตามเจ้าทั้งหมด โดยจะเป็นลูกมือให้เจ้าเอง”
“เช่นนั้นก็ลำบากท่านพ่อแล้ว” เซียวจิ่งเถียนพูดเสียงหนักแน่น
“จิ่งเถียนเจ้าจะเกรงใจพ่อไปทำไม ข้าไม่คุ้นชินเลย” เซียวจงไห่พูดคิ้วขมวด
เซียวจิ่งเถียนหัวเราะเงียบๆ
สองพ่อลูกเดินตามกันกลับมาที่บ้าน
พบหนิวอู่หนุ่มเพื่อนบ้านถอดเสื้อเปลือยท่อนบน กำลังนั่งคุยกับเซียวฝูเถียนและเซียวกุ้ยเถียนสองพี่น้องอย่างออกรสอยู่ในบ้าน เมื่อเห็นเซียวจงไห่และเซียวจิ่งเถียนกลับมา ก็รีบปรับสีหน้าแล้วลุกขึ้นทักทายทำความเคารพทั้งสองอย่างนอบน้อม “ท่านลุงสี่ พี่สาม พวกท่านกลับมาแล้ว”
เซียวจงไห่มีชื่อเล่นคือซื่อจินหรือสี่จิน
คนรุ่นราวคราวเดียวกันเรียกเขาว่าพี่สี่ คนรุ่นหลังเรียกเขาว่าลุงสี่ แสดงถึงความสนิทชิดเชื้อ
“หนิวอู่เจ้ากลับมาแล้ว หลายวันมานี่เจ้าหายหัวไปไหนมาฮึ?” เซียวจงไห่มองเขาแวบหนึ่งแล้วเดินไปล้างมือที่บ่อน้ำ
หนิวอู่เป็นเด็กกำพร้า ตั้งแต่เล็กก็ได้ข้าวของคนทั้งหมู่บ้านเลี้ยงดูจนเติบโต ไม่มีบิดามารดาดูแลอบรมสั่งสอน ปกติก็ดูไม่ได้การได้งานไม่เอาความอันใด หน้าตาก็ดูดุร้ายเหี้ยมโหด มีรูปร่างที่ดีแข็งแรงติดตัวมาแต่เกิดแต่ก็ไม่เคยใช้ประโยชน์ไปทำงานอันใด หญ้าวัชพืชในที่ดินโตขึ้นจนสูงกว่าพืชผลก็ไม่จัดการ ทั้งยังไม่ยอมออกทะเลหาปลา วันๆ ไม่ทำการทำงานอันใดขี้เกียจสันหลังยาว มักจะออกไปเที่ยวเล่นไม่อยู่บ้านบ่อยๆ
ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อนเขาออกเรือเดินทางไปยังโพ้นทะเลไกลกับหลงป้าเทียน เพิ่งกลับมาถึงเมื่อช่วงบ่ายนี้
“แหะๆ ข้าไปเมืองหลวงมา เพิ่งกลับมาเมื่อบ่ายนี้เอง” หนิวอู่พูดยิ้มๆ ชำเลืองมองเซียวจิ่งเถียนแล้วถาม “พี่สามท่านก็เคยไปเมืองหลวงใช่หรือไม่? เมืองหลวงช่างเป็นสถานที่ที่ใหญ่โตจริงๆ !”
เซียวจิ่งเถียนไม่สนใจเขาและเดินกลับห้องของตนไป
หนิวอู่รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย หัวเราะแหะๆ แล้วนั่งลง
“หนิวอู่เจ้าเล่าต่อสิ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าชายผู้นั้นที่ช่วยเจ้าคนนั้นคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน?” เซียวฝูเถียนกำลังฟังอย่างติดพันจึงรีบถามต่ออย่างเร่งเร้า “ข้าเคยได้ยินมาจากงิ้วว่า เวลาที่ฮ่องเต้เสด็จจะมีผู้คนมากมายคอยตามอารักขา แล้วเช่นนั้นเขาจะมาช่วยชีวิตเจ้าได้อย่างไร?”
หนิวอู่เล่าว่าเมื่อตอนที่เขาอยู่ที่เมืองหลวงเขาโดนโจรกลุ่มหนึ่งไล่ฆ่า จากนั้นเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งชายผู้นั้นก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“เฮ้อ...ตรงนี้พวกท่านไม่รู้หรอก” หนิวอู่ลดเสียงต่ำลงพูดอย่างระมัดระวัง “นี่เรียกว่าเสด็จเยี่ยมราษฎรเป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งก็คือการที่ฮ่องเต้สวมใส่เสื้อผ้าแบบชาวบ้านแล้วเสด็จออกมานอกวัง คนทั่วไปจะมองออกได้อย่างไร”
“เลิกพูดไร้สาระเสียที บอกมาตามตรงว่าเหตุใดเจ้าจึงมองออกว่าเขาคือฮ่องเต้” เซียวกุ้ยเถียนกำลังฟังอย่างออกรสก็พูดเร่งให้เข้าบอกสาระสำคัญ “หรือว่าเขามีตรงไหนที่ไม่เหมือนกับพวกเรา?”
“พวกท่านเดาสิ” หนิวอู่ถ่วงเวลาเสียอย่างนั้น
“เล่ามาเร็วเข้า เจ้าเด็กนี่ อย่าแกล้งให้พวกข้าอยากรู้นะ” เซียวฝูเถียนทุบเขาไปทีหนึ่งแล้วพูดอย่างโมโหว่า “หากยังไม่เล่าต่อล่ะก็ พรุ่งนี้พวกข้าจะไม่ช่วยเจ้ายกเรือลงนะ”
“ก็ได้ ข้าเล่า ข้าเล่า” หนิวอู่กะพริบตาปริบๆ พูดเสียงต่ำว่า “เพราะว่าข้าเห็นเขาสวมใส่อาภรณ์สีทองปักลายมังกรอยู่ด้านใน คิดดูสินอกจากฮ่องเต้แล้ว ใต้หล้านี้ยังมีใครที่จะกล้าใส่อาภรณ์ปักลายมังกรนี้กันเล่า”
“อย่างเจ้าหรือจะรู้จักอาภรณ์ลายมังกรของฮ่องเต้?” เซียวกุ้ยเถียนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หมดความสนใจ ลุกขึ้นถีบเขาไปทีหนึ่งพร้อมด่าปนเสียงหัวเราะ “เจ้ารีบกลับไปอาบน้ำนอนไป! แหม ได้เจอฮ่องเต้เสียด้วย เจอในฝันล่ะสิ!”
“ไอ้หยา! พี่ใหญ่พี่รอง คนที่ช่วยชีวิตข้าไว้เป็นฮ่องเต้จริงๆ นะ!” เมื่อเห็นทั้งสองไม่เชื่อหนิวอู่ก็รีบชี้แจง “แม้แต่ท่านลุงหลงก็ยังบอกว่า ใต้หล้านี้มีแต่ฮ่องเต้เท่านั้นที่จะสวมใส่อาภรณ์ลายมังกรได้”
เซียวฝูเถียนและเซียวกุ้ยเถียนหัวเราะขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ช่างน่าขันเสียจริง!
เซียวอวิ๋นเหนียงกำลังสอนม่ายซุ่ยสานแหดักปลาอยู่ที่โต๊ะผิงไฟ เมื่อได้ยินเรื่องราวที่พวกเขาพูดคุยกันก็พูดอย่างเรียบๆ ว่า “ถึงแม้ว่าคนที่ช่วยเขาเป็นฮ่องเต้จริง แล้วอย่างไรเล่า? ก็ยังต้องกลับมาปลูกไร่ไถนาหาปูหาปลาเช่นเดิมนี่นา ไม่ใช่ว่าเขาช่วยฮ่องเต้เสียหน่อย มีเรื่องอันใดต้องมาคุยอวดกันด้วยเล่า”
“นี่จะนับเป็นการคุยอวดได้อย่างไร ก็แค่พบเจอสิ่งใดมาก็มาเล่าให้กันฟังก็เท่านั้นเอง” เมิ่งซื่อสานแหไปพลางพูดไปพลาง “จะว่าไปหนิวอู่เด็กคนนี้ก็ช่างน่าสงสารนัก ไม่มีบิดามารดาตั้งแต่ยังเล็ก จนตอนนี้อายุก็ปาเข้าไปยี่สิบกว่าปีแล้วยังแต่งภรรยาไม่ได้เลย”
“ข้ารู้สึกว่าพี่หนิวอู่เป็นอยู่เช่นนี้ดีเสียอีก แค่ตัวเขาอิ่มทั้งครอบครัวก็ไม่หิว มีครอบครัวดีอย่างไรกัน?” เซียวอวิ๋นเหนียงรู้สึกไม่เห็นด้วยจึงคัดค้านออกมา “หากแต่งภรรยาดีๆ เข้าบ้านได้ก็นับว่าโชคดีไป แต่หากแต่งกับหญิงที่ไร้เหตุผล สู้ไม่แต่งยังจะดีเสียกว่า ท่านว่าจริงไหมพี่สะใภ้?”
ม่ายซุ่ยได้แต่ยิ้มอ่อนๆ
เมื่อตอนกินข้าว เซียวฝูเถียนและเซียวกุ้ยเถียนยังคงพูดถึงเรื่องที่หนิวอู่ได้เข้าไปยังเมืองหลวง โดยเล่าว่าหนิวอู่ได้ติดตามหลงป้าเทียนออกเรือนำปลาตากแห้งไปส่งให้แก่ร้านอาหารแห้ง จากนั้นเมื่อได้รับเงินแล้วพวกเขาก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาถูกคนสะกดรอยตาม จนเมื่อออกจากเมืองหลวงพวกเขาก็พบกับโจรดักปล้น แต่ก็รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจากการช่วยเหลือของบุคคลๆ หนึ่ง ซึ่งคนผู้นั้นมิใช่ใครอื่น แต่เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั่นเอง!
ทุกคนต่างฟังกันอย่างสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก
ในใจของทุกคน เมืองหลวงและฮ่องเต้เป็นเนื้อหาหลักที่ต้องมีปรากฏในบทละครหรืองิ้วต่างๆ
หากแต่วันนี้กลับมีคนที่รู้จักได้พบเจอจึงรู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
“ฮ่องเต้ออกมาเดินเล่นนอกวังได้ตามใจชอบหรือ?” เฉินซื่อถามอย่างตื่นตะลึง “ข้าคิดมาตลอดว่าฮ่องเต้จะอยู่แต่บนบัลลังก์ลังก์ทอง ในท้องพระโรงเขียนราชโองการเสียอีก”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” เฉียวซื่อตื่นเต้นและสนใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก “เจ้าว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงออกมาเที่ยวเล่นนอกวังเช่นนี้ ไม่กลัวถูกผู้อื่นแย่งชิงบัลลังก์ไปหรือไรกัน จุๆ...ใจถึงเสียจริง ” นางจุ๊ปาก
“ไอ้หยา...เจ้าไม่รู้อะไร ฮ่องเต้เสด็จเยี่ยมราษฎรเป็นการส่วนพระองค์ก็จริง แต่ก็ยังมีฮ่องเต้องค์ก่อนดูแลบัลลังก์ลังก์อยู่ในวังให้อย่างไรเล่า!”
“หึๆ เมื่อฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ จึงจะสามารถยกราชบัลลังก์ให้แก่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ต่างหาก” เซียวฝูเถียนอธิบาย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้อย่างละเอียดถ่องแท้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้มากกว่าหญิงไร้ความรู้สองคนนี้แน่นอน
“หากฮ่องเต้องค์ก่อนไม่สิ้นพระชนม์ บุตรชายของเขาก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้ไม่ได้หรือ?” เฉินซื่อถามต่ออย่างไม่เข้าใจ
******ติดตามตอนต่อไปก่อนใครได้ที่ https://www.readawrite.com/a/989b72eeb7cc486fe81b7f5e2bdce5a8
******เวลาแชร์หรือเมาท์มอยนิยายเรื่อง Fisherman หนุ่มประมงที่รักที่ไหน ขอฝากแฮชแท็ก #Fishermanหนุ่มประมงที่รัก #readAwrite ด้วยน้า
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว