ตราบฟ้าดินมลาย

บทที่ 5 ค่ำคืนคิมหันต์อันเหน็บหนาว

แขกสนิทมิตรสหายผู้ทรงเกียรติและบรรดาเชื้อพระวงศ์ ต่างมารวมตัวกันเนื่องในโอกาสพิเศษ

ดอกบัวในสระไท่เย่บานสะพรั่ง ชูช่อสีชาดสดสวย แผ่ใบเขียวขจี ส่งกลิ่นหอมจรุง ทิวทัศน์อันวิจิตรงดงามเช่นนี้ เดิมทีควรจะมีดนตรีขับขานเพื่อเพิ่มสุนทรียะ หญิงงามออกมาร่ายรำพลิ้วไหว ทว่างานเลี้ยงเพลานี้กลับมีบรรยากาศอึมครึม ไร้ความรื่นเริงบันเทิงใจไปเสียสิ้น

ขณะเดียวกัน ฮ่องเต้ถังหยางจิ่งกำลังใช้มือซ้ายเคาะพนักเก้าอี้หัวมังกรเป็นจังหวะแผ่วเบา ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังดอมดมกลิ่นหอมของปทุมมาในอากาศ พร้อมทั้งดวงตาที่พริ้มหลับ ไม่สนใจกับเสียงถกเถียงที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า

วันนี้เป็นวันที่บรรดาเชื้อพระวงศ์ต่างมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ เหล่าท่านอ๋องแห่งเมืองฉางอัน ผู้ซึ่งถังหยางจิ่งไว้เนื้อเชื่อใจล้วนนั่งขนาบสองฟากฝั่งทั้งซ้ายและขวา บ้างก็มีสีหน้าโกรธขึ้ง บ้างก็เย็นชา บ้างก็เหยียดหยัน บ้างก็ขบขัน ...แม้จะมีทีท่าแตกต่างกันไป แต่สายตาของพวกเขาเหล่านั้นกลับพุ่งตรงไปยังสองบุคคลซึ่งกำลังนั่งถกเถียงกันอยู่ท้ายแถวอย่างพร้อมเพรียง

ผู้ที่นั่งอยู่ทางขวา สวมเสื้อคลุมสีม่วงอมทองตามแบบฉบับขุนนางชั้นสูงในพิธีการ ใบหน้าปกคลุมไปด้วยเคราและจอนผม นามว่าท่านอ๋อง ‘ถังหยางฮุย’ เขากำลังจ้องหน้าเด็กชายหางเปียผู้มีสีหน้าโกรธขึ้งซึ่งนั่งประจันหน้ากันอยู่ พลางหัวเราะเยาะหยันว่า “นางหลี่แห่งชีเน่ย มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ใช้ฐานะนางข้าหลวงไต่เต้าจนได้เข้านั่งในตำแหน่งพระสนมแห่งอดีตฮ่องเต้ซู่จง แต่กลับไม่สำนึกในบุญคุณ ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต วางแผนสังหารเหล่าองค์ชายของฮ่องเต้ซู่จง จนแทบจะสิ้นไร้ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ต่อมาในวังฝั่งประจิมร่ำลือกันว่า นางหลี่ได้ชุบเลี้ยงพระธิดาเอกรุ่ยหยู่ของฮ่องเต้อู่จง ทว่าตั้งแต่ประสูติ องค์หญิงใหญ่ก็ถูกโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดรุมเร้า ได้ข่าวว่าเสด็จสวรรคตไปนานแล้ว ไม่แน่ชัดว่า ‘องค์หญิงใหญ่’ คนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่ นางหลี่ยกย่องสตรีที่มีความเป็นมาน่าคลางแคลงใจว่าเป็นองค์หญิงใหญ่เช่นนี้ เจตนาแท้จริงนั้นยากจะหยั่ง แล้วยังจะกล้าเรียกตนเองว่าหลี่ไทเฮาได้อย่างไร”

เด็กชายหางเปียเบื้องหน้านั้นมิใช่ใครอื่น เขาคือท่านอ๋องจ้าวตงอิงที่รุ่ยหยู่กำลังรีบร้อนตามหาตัวนั่นเอง แม้ว่าตงอิงจะยังเยาว์ แต่ก็เป็นผู้ที่หลี่ไทเฮาเลี้ยงดูมาด้วยสองมือจนเติบกล้า ในช่วงสับเปลี่ยนราชบัลลังก์ทั้งสามครั้งนั้น เขาได้เห็นการสู้รบช่วงชิงอำนาจจนกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งมากับตา ดังนั้น ตงอิงจึงมิใช่เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องราวอันใด ตั้งแต่ถูกถังหยางจิ่งบังคับพาตัวมายังวังฝั่งบูรพาเพื่อร่วมงานเลี้ยงกับบรรดาอ๋องทั้งหลาย เขาก็แกล้งทำเป็นโง่เขลามาโดยตลอด แสร้งสมยอมเพื่อเลี่ยงอันตราย จนกระทั่งถังหยางฮุยพูดจายโสโอหัง ลบหลู่หลี่ไทเฮาและรุ่ยหยู่ เขาจึงยากจะระงับโทสะเอาไว้ได้ ต้องพูดจาโต้ตอบกลับไป

ถังหยางฮุยที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว จึงไม่เปิดโอกาสให้ตงอิงได้โต้แย้ง ซ้ำยังพูดพร่ำวาจาร้ายกาจออกมามากกว่าเดิม จนถึงขนาดกล่าวหาว่าหลี่ไทเฮาไม่เหมาะสมกับการเป็นพระมารดาของแผ่นดิน และรุ่ยหยู่ก็เป็นองค์หญิงกำมะลอไม่รู้ที่มา ชาติกำเนิดคลุมเครือว่าหลี่ไทเฮาไปเก็บมาจากที่ใด เมื่อตงอิงได้ฟัง ก็ทั้งตกใจและเคืองแค้นยิ่งนัก ยามนี้รู้แน่แก่ใจแล้วว่า ถังหยางจิ่งต้องการหนุนให้มีการขุดรากถอนโคนวังฝั่งประจิมนั่นเอง

หลี่ไทเฮา--ท่านย่าที่เขาเรียกขานตามรุ่ยหยู่นั้นไม่มีบุตร และไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ลำพังอำนาจนั้นก็มีขีดจำกัด การที่สามารถไปพำนักอยู่ในวังฝั่งประจิมอย่างสันโดษได้นั้น ก็ด้วยอาศัยอิสริยยศของท่านเป็นส่วนสำคัญ รุ่ยหยู่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวที่เหลืออยู่ของฮ่องเต้อู่จง สูงสง่าเปี่ยมด้วยบุญญาบารมีในราชสำนัก

หากปล่อยให้ถังหยางฮุยลบหลู่ดูหมิ่นเล่นเช่นนี้ได้ เขาในฐานะอ๋องน้อยผู้ได้รับการเลี้ยงดูจากหลี่ไทเฮาและเติบโตมาพร้อมกับรุ่ยหยู่นั้น จะสามารถกลับไปมองหน้าหญิงทั้งสองได้อีกรึ? หากไม่โต้ตอบกลับไปสักคำครึ่งคำ ก็เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆ กับวาจาเลื่อนลอยของถังหยางฮุย และถังหยางจิ่งก็อาจจะนำคำกล่าวหามดเท็จนี้ มาเป็นเหตุผลในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์ของหลี่ไทเฮาและรุ่ยหยู่อีกด้วย

การที่ถังหยางจิ่งพาตัวเขาออกมา ก็เพราะเห็นว่าเขายังเยาว์นัก จึงคิดใช้เป็นชนวนในการสร้างข้อพิพาท ดังนั้นจึงตั้งใจให้ท้ายพร้อมกับยุยงส่งเสริมให้ถังหยางฮุยผรุสวาทถ้อยคำต่ำช้า ทำให้หลี่ไทเฮาและรุ่ยหยู่เสื่อมเกียรติเสียศักดิ์ศรีต่อหน้าผู้คน

เมื่อตงอิงกระจ่างแจ้งแก่ใจก็บังเกิดความตื่นตระหนก โกรธขึ้ง และหวาดกลัวระคนกัน เมื่อกวาดสายตามองโดยรอบก็พบว่า บรรดาอ๋องใหญ่น้อยต่างรุมรังแกตนแต่เพียงผู้เดียว เมื่อชักสายตากลับก็พบว่า ถังหยางฮุยนั้นเอามือกุมด้ามดาบมั่นด้วยสีหน้าท่าทางเหิมเกริม คงคิดว่าแผนการที่วางไว้สัมฤทธิผลแล้วเป็นแน่แท้ ฉับพลันตงอิงก็บันดาลโทสะจนเลือดขึ้นหน้า เมื่อเห็นถังหยางฮุยลุกพรวดขึ้นมา ตงอิงก็รีบทะยานกายไปหาองครักษ์ที่ยืนรักษาการณ์อยู่ทางด้านหลัง แย่งดาบชักออกมาในขณะที่ทหารผู้นั้นยังไม่ทันได้ตั้งตัว

อ๋องทั้งหลายคิดไม่ถึงว่าตงอิงจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงพากันส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกตะลึง โชคดีที่ว่าตงอิงยังอ่อนวัยเป็นเพียงเด็กชายที่มีร่างกายสูงเพียงสามศอก เมื่อกำดาบที่มีความยาวเกือบสองศอกไว้ในมือ ภาพที่ปรากฏแก่สายตาจึงราวกับเด็กเล่นขายของ ไม่มีผู้ใดคิดว่าเขาจะมีใจหมายสังหารถังหยางฮุยจริงๆ หลังเสียงฮือฮาก็ตามมาด้วยวาจาต่อว่าต่อขาน แต่ไม่มีผู้ใดออกคำสั่งให้องครักษ์มาจับตัวไว้

ถังหยางจิ่งตกใจกับเสียงฮือฮาจึงลืมตาในที่สุด เมื่อเห็นตงอิงถือดาบมีสีหน้าแดงก่ำ ก็รู้สึกโกรธกริ้วยิ่งนัก ตบโต๊ะน้ำชาอย่างแรงพร้อมกับเปล่งเสียงเฉียบขาดว่า “ตงอิง เจ้าคิดจะก่อการอันใด”

ตงอิงคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้ตนคงชะตาขาดเป็นแน่ เมื่อเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ผู้เกรี้ยวกราดเช่นนี้ จึงหาได้กลัวเกรงไม่ “ฝ่าบาท ตั้งแต่โบราณกาลนานมา ความกตัญญูเป็นรากฐานของการอยู่ในสังคมวิญญูชน และเป็นพื้นฐานในการบริหารบ้านเมืองของฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่อง เฟิ่งไท่เหนียงเหนียงแห่งวังฝั่งประจิมทรงเป็นถึงพระมารดาของแผ่นดินราชวงศ์หวา ซ้ำยังทรงคุณธรรม เปี่ยมด้วยพระเมตตา ท่านอารุ่ยหยู่เป็นพระราชธิดาเอกของฮ่องเต้อู่จง มีสายเลือดสูงส่งยิ่งนัก จะปล่อยให้ถูกลบหลู่ได้อย่างไรกัน ถังหยางฮุยไม่ละอายใจบ้างหรือไร ที่มีศักดิ์เป็นหลานของเฟิ่งไท่เหนียงเหนียง และลูกพี่ลูกน้องกับท่านอารุ่ยหยู่ แต่กลับพูดจาลบหลู่ท่านย่า และน้องตัวเองให้เสื่อมเกียรติเช่นนี้ คำพูดอกตัญญูที่แม้แต่เทพยดาและภูตผีปีศาจก็ไม่อาจทานทนได้ ตัวข้าเป็นเหลนของเฟิ่งไท่เหนียงเหนียง และเติบโตมาพร้อมกับท่านอารุ่ยหยู่ จะทนนิ่งเฉยดูดายให้คนผู้นี้ลบหลู่ท่านย่าทวดและท่านอาโดยไม่ทำอันใดได้อย่างไร”

ถังหยางจิ่งไม่คิดเลยว่าเด็กที่ดูซื่อบื้อขลาดเขลา แท้จริงแล้วจะฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้ แอบใช้คำพูดเหน็บแนมกันเป็นนัยๆ จนทำให้เขาถึงกับอึ้งงันไปชั่วขณะ

ถังหยางฮุยที่ถูกเสี้ยมสอนมา รอท่าให้ตงอิงตอบโต้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อสบโอกาสจึงรีบถามกลับไปว่า “เจ้าจะเอาอย่างไรเล่า?”

ท่านอ๋องจ้าวยืดอกผึ่งผาย ใช้ปลายดาบชี้ไปยังถังหยางฮุย ตะโกนก้องเสียงเฉียบขาดว่า “จงชักดาบของเจ้าออกมา ข้าจะใช้โลหิตของเจ้า ล้างคำปรามาสลบหลู่ที่มีต่อเฟิ่งไท่เหนียงเหนียงและองค์หญิงใหญ่”

ถังหยางฮุยเป็นผู้ที่ชื่นชอบการประดาบ แม้แต่มางานเลี้ยงฉลองของฮ่องเต้ก็ยังไม่ยอมปลดดาบ เมื่อถูกตงอิงชักดาบออกมาท้าทายเช่นนี้ ก็สุดจะทานทน เต้นผางด้วยความโกรธ ชักดาบออกจากฝักชี้หน้าเด็กชาย แล้วร้องตะโกนลั่น “เจ้าเด็กไม่มีสัมมาคารวะ”

รัชสมัยหวา บ้านเมืองสงบสุขไร้ศึกสงครามมาเป็นเวลาหลายร้อยปี เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างเคยชินกับการเสวยสุข น้อยคนนักที่จะมีความองอาจกล้าหาญ ถังหยางฮุยชื่นชอบการประลองดาบยิ่งนัก ผิดแผกแตกต่างจากบรรดาท่านอ๋องคนอื่น ท่านอ๋องผู้นี้มีใบหน้าหยาบกร้าน ร่างกายสูงใหญ่ เมื่อเทียบกับตงอิงแล้ว จึงกำยำล่ำสันท่วงท่าข่มขวัญกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ชมอดคิดมิได้ว่า เขาอาศัยร่างกายที่ใหญ่โตรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ราวกับผู้ใหญ่ข่มเหงเด็กก็ไม่ปาน แม้แต่ถังหยางจิ่งก็ยังตกตะลึง รีบโบกมือปัด “จากข้อโต้แย้งเมื่อครู่นี้ ถึงกับต้องลงไม้ลงมือเชียวหรือ น้องยี่สิบหก ถอยออกไปเสีย...”

แม้ว่าถังหยางฮุยจะโมโหโทโส แต่ก็รู้ว่าการรังแกเด็กที่อ่อนแอกว่าต่อหน้าสายตาทุกคู่นั้น ดูจะเสียศักดิ์ศรีไปสักหน่อย จึงเก็บดาบแต่ก็ยังไม่วายตะโกนข่มขวัญ “เจ้าเด็กนั่นก็ทิ้งดาบลงด้วย...”

ทว่าตงอิงกลับไม่ยอมทำตาม ร้องตะโกนก้องออกไปพร้อมแกว่งไกวดาบ โจนทะยาน ฟันฉับลงตรงหน้าอกฝ่ายตรงข้ามด้วยความแค้น

ถังหยางฮุยไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าตงอิงจะกล้าลงมือขึ้นมาจริงๆ จึงไม่ทันตั้งรับ ได้แต่รีบถอยร่นไปด้านหลัง เพื่อหลบคมดาบ

ถังหยางฮุยที่อาศัยความกำยำของร่างกายรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ราวกับผู้ใหญ่ข่มเหงเด็ก เดิมทีก็มีความรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง แต่เมื่อการณ์กลับพลิกผันเป็นว่าเขาถูกตงอิงลงดาบจนต้องล่าถอย ก็ให้รู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก ภายใต้ความรู้สึกอัปยศอดสู ก็เปล่งเสียงตะโกนเตรียมพร้อมโจมตีกลับ

ตงอิงเตรียมรับไว้อยู่แล้ว ในเมื่อดาบเดียวไม่ระคายผิว จึงกวัดไกวไปอีกสองดาบ แต่ไหนแต่ไรมาเด็กชายชื่นชอบบุ๋น ไม่ฝักใฝ่ในทางบู๊เพื่อสู้รบ ผนวกกับยังเยาว์วัยด้อยเรี่ยวแรง ร่ำเรียนวิชาการดาบมาแต่เพียงเล็กน้อย แม้เพลานี้จิตใจจะร้อนรุ่มอย่างไร แต่เมื่อพูดถึงความเชี่ยวชาญการดาบแล้ว ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของถังหยางฮุยอยู่วันยังค่ำ จึงได้แต่รอเวลาจนกระทั่งอีกฝ่ายเผลอไผล รุกไล่เข้าประชิด

โชคดีที่ถังหยางฮุยเองแม้จะไม่ใช่คนใจกว้างเท่าใด แต่เมื่อลองใคร่ครวญก็รู้สึกว่าอายุคู่ต่อสู้ห่างชั้นกันมากนัก แค่ถูกยั่วยุให้ออกดาบก็ดูแย่พอแล้ว หากลงมือเหี้ยมโหดเกินไป คงได้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นแน่ จำต้องยั้งดาบออมมือไว้บ้าง

ตงอิงแค้นเคืองที่อีกฝ่ายพูดจาเสียมารยาท จึงบรรเลงดาบใส่ไม่ยั้ง ถังหยางฮุยเหลือบเห็นถังหยางจิ่งผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์มีสีหน้าผิดหวัง ก็รู้สึกเสียววาบในอก พยายามสงบสติอารมณ์ข่มกลั้น แล้วร้องออกไปว่า “ตงอิง หากเจ้ายังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีอีก อย่ามาโทษว่าอายี่สิบหกไม่ออมมือก็แล้วกัน”

เมื่อกล่าวจบ สายตาพลันมองเห็นช่องโหว่จากการโจมตีของตงอิง จึงกวัดดาบเป็นเส้นตรง ใช้สันดาบตีลงบนหลังมือของตงอิง อาศัยจังหวะที่เด็กชายกำลังบาดเจ็บอยู่นั้น งัดข้อมืออ๋องน้อยขึ้น ดาบทั้งสองปะทะกัน

เกิดเสียงดังกังวาน และแล้วดาบในอุ้งมือของตงอิงก็ถูกปลดลงในที่สุด

แม้ถังหยางฮุยไม่ต้องการถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สังหารหลานอย่างเหี้ยมโหดท่ามกลางสายตาแขกเหรื่อมากมายที่มาร่วมงาน แต่ก็ยังมีโทสะสุมทรวงอยู่ไม่หาย เมื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบ ก็ยากที่จะระงับใจไหว อดที่จะเตะตงอิงอย่างแรงจนเซถลาออกไปหลายก้าวไม่ได้ เขาไล่เตะจนกระทั่งเด็กชายล้มลงไปกองแทบพื้น เกือบหมดสติ

ทุกคนคิดว่าตงอิงถูกเตะเช่นนี้ คงจะเจ็บแล้วจำ มิกล้าดื้อด้านอีก แต่คาดไม่ถึงว่า เด็กชายจะกัดฟันพลิกกายไปคว้าดาบเล่มยาวแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แม้ร่างจะยืนหยัดได้ไม่มั่นคงนัก แต่สีหน้ากลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ พลางร้องตะโกนว่า “เข้ามาเลย”

ถังหยางฮุยเห็นว่าตงอิงยังกล้าท้าทายต่อ ก็โมโหจนหน้ามืด ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกดาบขึ้นมาชิงโจมตีก่อน บีบให้อ๋องน้อยรับมือเป็นพัลวันจนต้องล่าถอยไปหลายก้าว ตงอิงมีพละกำลังห่างชั้นกับอีกฝ่ายจึงคิดจะหลบเลี่ยงการปะทะ แต่ถังหยางฮุยตวัดดาบรุกคืบเข้ามา แล้วใช้สันดาบปลดอาวุธในมือของเขาอีกครั้งจนได้

ด้วยเรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งที่ผ่านมา เด็กชายจึงรีบหลบลูกเตะกระชั้นของถังหยางฮุยอย่างว่องไว แล้วรีบวิ่งไปเก็บดาบ หันกลับมาสู้ใหม่

ถังหยางฮุยฉุนขาด ร้องด่าไปว่า “เจ้ารนหาที่ตายเองนะ”

กล่าวจบ ก็แกว่งดาบแทงสวนเข้าไป ครั้งนี้แม่นยำจนทำให้ตงอิงบาดเจ็บ แต่อ๋องน้อยกลับมิได้ครั่นคร้ามกับความตาย

จังหวะที่ดาบพุ่งตรงเข้ามา ตงอิงไม่เพียงไม่หลบแต่ยังวิ่งเข้าไปรับ พลันเกิดเสียงดังฉึกจากการที่ดาบแทงทะลุไหล่ โลหิตไหลทะลักย้อมเสื้อคลุมสีดำกลายเป็นสีแดงคล้ำไปกว่าครึ่งช่างน่าพรั่นพรึงนัก

ขณะที่ถังหยางฮุยตกใจอยู่นั้น ตงอิงก็อาศัยจังหวะที่ดาบแทงทะลุไหล่ เข้าประชิดร่างอีกฝ่ายในชั่วพริบตา ยกดาบขึ้นเล็งไปที่ลำคอของถังหยางฮุย หมายตัดศีรษะเพื่อใช้หนี้โลหิตล้างความอัปยศ

ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น ถังหยางฮุยก็รู้สึกถึงสถานการณ์อันตราย แต่ไม่อาจรับดาบได้ทัน จึงเพียงยกแขนขึ้นมาป้องกันลำคอไว้ตามสัญชาตญาณ

ดาบนี้ของตงอิงตวัดออกไปสุดแรงกำลัง ปลายดาบฟันฉับลงบนข้อศอกของถังหยางฮุยจนขาด แรงปะทะจากดาบกระเทือนมาถึงบาดแผลที่ไหล่ส่งผลให้เจ็บร้าวถึงกระดูก มือที่ถือดาบไว้พลันอ่อนแรง ดาบยาวเลื่อนหลุดร่วงลงสู่พื้น

เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ดั่งกระต่ายออกวิ่งแล้วเหยี่ยวก็พุ่งถลาตาม ผู้คนตะลึงไปอึดใจถึงได้พากันตื่นตัว ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก เมื่อมองไปใจกลางงานเลี้ยงฉลอง ในครรลองสายตานั้นปรากฏภาพแขนที่ถูกบั่นขาด ดาบอาบโลหิต หนึ่งสูงใหญ่ หนึ่งเยาว์วัย ทั้งคู่ประจันหน้ากันในสภาพร่างมีโลหิตไหลอาบโซมกาย ช่างเป็นภาพที่สะเทือนขวัญยิ่งแล้ว

มิรู้ว่าถังหยางฮุยตกใจจนเสียขวัญหวั่นผวา หรือว่าเจ็บเสียจนชาด้านจึงเพียงใช้มืออุดบาดแผลไว้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับไม่อยากจะเชื่อในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ยืนนิ่งงันอยู่ชั่วขณะจึงได้รู้สึกตัว พร้อมกับคร่ำครวญหวนไห้ ร่ำร้องออกมาได้เพียงพักเดียวก็ค่อยๆ แผ่วลงราวกับสกุณาไร้เสียง เงียบเสียจนโลหิตหยดลงบนพื้นยังบังเกิดเสียงดังกังวาน

แม้ถังหยางฮุยจะสร้างภาพว่าตนเองเหี้ยมหาญเชี่ยวชาญการประลองดาบ แต่ความจริงแล้ว ก็เป็นเพียงท่านอ๋องผู้บอบบางที่เติบโตมากับการประคบประหงม เขาร่ำเรียนวิชาดาบแต่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บจนหลั่งโลหิตเลยสักหน อีกทั้งได้รับการเยินยอจากบ่าวไพร่รับใช้ข้างกายว่าฝีมือเป็นหนึ่งในใต้หล้า จึงไม่คิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ และยิ่งคาดไม่ถึงว่าตงอิงซึ่งอ่อนวัยกว่าจะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวแลแน่วแน่ถึงเพียงนี้ ฤทธานุภาพของดาบที่ตงอิงใช้ชีวิตแลกมา ทำให้รู้สึกหวาดผวายิ่งนัก เขาดูแขนอันอเนจอนาถของตนแล้วมองตงอิงที่ร่างกายชุ่มโชกโลหิตด้วยความรู้สึกสยดสยอง พลันบังเกิดความคิดจะหลบซ่อนไม่อยากต่อกรด้วยอีกต่อไป ความปั่นป่วนในใจทำให้ถอยหลังไปหลายก้าว แล้วสะดุดล้มลงเนื่องจากความรีบร้อนก่อนจะหมดสติ

ตงอิงผู้อาบโลหิตเปรอะเปื้อนโซมกาย แม้จะซวนเซ ทว่ายังกัดฟันฝืนหยัดยืนไม่ยอมล้ม เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ แล้วเอ่ยถามเหล่าราชนิกุลและบรรดาท่านอ๋องทั้งหลาย ซึ่งมีความมุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อเขาอย่างช้าๆ “ยังมีผู้ใดกล้าลบหลู่ชื่อเสียงอันดีงามของท่านย่าและท่านอาของข้าอีกหรือไม่?”

เดิมทีตงอิงถูกคนโดยรอบเหยียดว่าอ่อนแอแลบอบบาง แม้แต่เปล่งวาจาออกไปยังสิ้นไร้เรี่ยวแรง ทว่าในเพลานี้ คำถามที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขานั้นกลับให้ความรู้สึกทรงพลังยิ่ง เด็กชายร่างเล็กสูงเพียงสามศอกผู้นี้ ช่างพิเศษนัก พิเศษเสียจนทำให้ทุกชีวิตที่นั่งหายใจอยู่ในที่นั้นหวาดหวั่นเกรงกลัวจับขั้วหัวใจ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว