“3,000 ล้านเหรียญทอง!!”
เสียงที่โพล่งออกมาของชายหนุ่ม ราวกับเป็นเสียงที่กำราบความคาดหวังทั้งหมดรอบด้านให้พังทลาย ราคาที่โดดทะยานพรวดเดียวก็แตะย่างขอบเขตที่สูงเกินเอื้อมไปแล้ว มากกว่าค่าเฉลี่ยจากรอบที่แล้วเกือบเท่าตัว...
ตลอดทั้งโถงประมูลชั้นแรกพลันเงียบกริบ มีเพียงแค่เสียงสำลักลมหายใจในบางคนที่แว่วดังขึ้น ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาวชุดแดงบนเวทีที่อึ้งค้างดวงตากลมโต… ซุน กลายเป็นจุดศูนย์กลางของสายตาทั้งหมด เวลานี้เขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนอาจจะแสดงออกมากเกินไปหน่อย จึงกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวกลับมานั่งลงดังเดิม นั่นจึงทำให้บรรยากาศที่ถูกหยุดชะงักเริ่มจะเดินต่อ
หญิงสาวชุดแดงบนเวทีคล้ายได้สติ จึงประกาศหาผู้ที่คิดจะประชันราคาสู้รบ แต่แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ แม้แต่แอะเดียว จะมีก็แต่เสียงซุบซิบรอบด้าน กล่าวพลางชี้มายังชายหนุ่มผมขาวด้านหน้าเวทีเป็นระยะ
สุดท้ายค้อนไม้ก็ถูกเคาะดังรัวออกมา... ประกาศว่าชายหนุ่มได้รับ นกกระเรียนขนฟ้า ไปครอบครอง...
“คุณชายเหยา... อันที่จริงผู้น้อยก็ไม่มีสิทธิ์จะทัดทานอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจของท่าน แต่การเสนอราคาของท่านมันจะไม่ดุดันเกินไปหน่อยหรือขอรับ?” เฉินเล่อ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม ด้วยสีหน้าที่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ซุน ขำแห้ง ๆ พลางยกมือเกาศีรษะ “พอดีว่าข้าอยากได้เกินไปหน่อย เลยลืมคำนึงถึงเรื่องราคาและความรู้สึกผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปข้าจะระวังให้มากขึ้นก็แล้วกัน...”
“ต่อไปสินค้าชิ้นที่ 20 ซากกระดูกโบราณของสัตว์อสูรชนชั้นเทวะลมปราณลมปราณสีแดงในอดีต ขนาดหนึ่งร้อยชั่ง...”
“500 ล้านเหรียญทอง!!”
ยังไม่ทันขาดคำที่พูดไป ซุน ก็เปิดฉากดีดราคาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ทำเอา เฉินเล่อ ถึงกับยิ้มหน้าเจื่อน หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อตนเองที่ขมับ จริงอยู่ว่าเขานั้นย่อมได้รับส่วนแบ่งปันผลที่มหาศาลจากการประมูลครั้งนี้ เนื่องด้วยเป็นเจ้าหน้าที่แนะนำให้กับชายหนุ่ม
ทว่าสายตาของเจ้าหน้าที่รอบด้าน ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้แนะนำแขกคนอื่น ๆ ในงานประมูล ก็คาดหวังส่วนแบ่งปันจากปันผลด้วยเช่นกัน สำหรับโอกาสครั้งเดียวในรอบหนึ่งเดือน... บัดนี้เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เหล่านั้น เริ่มที่จะคล้อยชำเลืองมองมายัง เฉินเล่อ ด้วยสายตาที่เย็นชา จนคล้ายเป็นมีดล่องหนที่พุ่งปักกลางหลังของตน จนเหวอะหวะขึ้นมาแล้ว...
ความดุดันในการประมูลของ ซุน แม้แต่เหล่าแขกผู้ทรงเกียรติอีกหลาย ๆ คนบริเวณระเบียงชั้นสองก็ยังต้องขมวดคิ้วฉับ หน้าเปลี่ยนสี... ซึ่งถึงแม้ว่าคนเหล่านี้ จะมีสถานะเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ แต่ก็ใช่ว่าคนพวกนี้จะมั่งคั่งเทียบเท่ากับ ซุน เพราะส่วนมากจะได้รับสถานะนี้มาจากการเป็นต้นตระกูลชนชั้นพิเศษที่ถือครองป้ายทองแดงหรือป้ายเงินเท่านั้น มิใช่ได้สถานะมาเพราะความร่ำรวย...
ในหมู่แขกผู้ทรงเกียรติ คนที่จะมั่งคั่งเทียบเคียงกับ ซุน ได้นั้น คงจะมีเพียงแค่องค์รัชทายาท จูเชว่ลู่ซือ หากแต่เขาก็อยู่ที่นี่มานาน สิ่งของที่ต้องการนั้นย่อมมีพร้อมสรรพหมดแล้ว จึงอยากที่จะรักษาความสัมพันธ์ เลยเลือกที่จะไม่ชิงชัยกับชายหนุ่มผมขาว...
สุดท้ายแล้วสินค้าประมูลทั้งหมดที่ไม่ใช่อาวุธอักขระ ล้วนถูก ซุน กวาดไปครองอย่างที่ไม่มีผู้ใดได้ลุ้น... ทั้งยังติดลำดับที่ 1 ในรายนามบุคคลที่ถูกจารึก ว่าจ่ายเงินในการประมูลหนึ่งครั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงประมูลปีกมังกรแห่งนี้อีกด้วย จากจำนวนเงินที่สูงถึง 28,900 ล้านเหรียญทอง ทำลายสถิติเก่าอย่างไม่เหลือชิ้นดี…
หลายคนต่างพากันคิดว่า นั่นคงเป็นเงินทุนรอนทั้งหมดของชายหนุ่มผู้นี้แล้ว โดยที่พวกเขาช่างไม่รู้เลยว่า เงินทองที่จ่ายออกไปนั้นเป็นเพียงแค่ราว ๆ ครึ่งเดียวของที่ ซุน มีติดตัว...
จนในเวลานี้ชายหนุ่มได้ถูกตั้งสมญานามใหม่เป็นที่เรียบร้อย โดยผู้คนในเขตตีนเขาจะขนานนามเขาว่า... ‘เจ้าสัวเหยา’ สามารถมองเห็นสายตาระยิบระยับของหญิงสาวชุดแดงบนเวที แอบทอดมองมายังชายหนุ่ม จนทำให้ทุกคนในงานประมูลล้วนพากันริษยา
ซุน เผยท่าทีงามสง่า เชิดปลายคางขึ้นน้อย ๆ ด้วยความองอาจผ่าเผย ยามที่เดินไปรับสินค้าประมูล เขาสัมผัสได้ถึงเส้นสายตามากมายที่จดจ้องมายังเขาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน บ้างก็อิจฉา บ้างก็เลื่อมใส บ้างก็ยำเกรง
ซุน จึงถอนหายใจออกมา ราวกับชายที่เหนื่อยหน่ายใต้หล้า...
“เป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวย ก็มีเรื่องที่ต้องเหนื่อยหนักใจเหมือนกันสินะ”
เขารู้สึกว่าตนเองในเวลานี้ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน อดนึกเสียดายไม่ได้ว่าหากทั้งหมดนี้เป็นชื่อเสียงของ แมวสวรรค์ แล้วล่ะก็ คงทำให้ผู้คนตกอกตกใจได้มากยิ่งไปกว่านี้... แต่อย่างไรเสียความปลอดภัยของตน ย่อมต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก
นกกระเรียนขนฟ้า ถูกเก็บซ่อนในป้ายควบคุมสัตว์อสูร เมื่อ ซุน ทำพันธสัญญาเป็นที่เรียบร้อยก็สามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา ทรัพยากรล้ำค่าอื่น ๆ ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อวิถีแห่งสุราของเขา ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเมล็ดพันธุ์ต้นปราณโลกาสำหรับหลอมศพหุ่นเชิดระดับ 5 ทุกสิ่งอย่างที่ได้มาในวันนี้ ไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิดกับเงินทองจำนวนมากที่เสียไป ทั้งยังมากไปด้วยความเจ็บปวดภายในใจ ที่อีกไม่นานตนนั้นต้องไปจากสถานที่แห่งนี้แล้ว...
หลังได้รับสินค้าครบถ้วน ซุน ก็ไม่รีรอที่จะอยู่ต่อ เขารีบเดินทางจากไปในทันที... ทำให้ผู้นิกายมังกรทมิฬอย่าง เจียงหนิงหลง ไม่ทันได้มีโอกาสที่จะได้พูดคุยใด ๆ แต่ชายชราก็รู้ว่าอย่างไรเสีย ในวันพรุ่งนี้ชายหนุ่มจะต้องปรากฏตัวอีกครั้งที่ บ่อนแดนมังกร ถึงเวลานี้ก็ไม่นับว่าช้าเกินไปในการแสดงความรู้จัก
“ดูท่าว่า... ในวันพรุ่งนี้ข้าคงต้องจัดเตรียมความพิเศษบางอย่าง ไว้ที่บ่อนแดนมังกรเสียแล้ว...” เจียงหนิงหลง เอ่ยพลางแสยะยิ้ม ก่อนจะยกมือเป็นสัญญาณ นักรบมังกรดำคนหนึ่งก็ก้าวยาว ๆ เข้ามา โน้มตัวก้มหน้ามาใกล้...
“ฉีเค่อ... เซียนพนันตาเดียว ฟู่ซาน ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งเซียนพนันอันดับ 1 ของเขตนอกด้านเงาทมิฬ ในเวลานี้ไปอยู่ ณ ที่แห่งใด?”
นักรบมังกรดำนาม ฉีเค่อ ประสานมือขึ้นกล่าว... “เรียนท่านผู้นำนิกาย ฟู่ซาน ตายไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้วด้วยโรคชรา ตอนนี้ตำแหน่งเซียนพนันอันดับ 1 อย่างเป็นทางการจึงยังถูกว่างเว้น...”
เจียงหนิงหลง ได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็พลันหรี่แคบลงทันที... “ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยส่งข่าวไปยังเหล่าบรรดาเซียนพนันทั้งหมดที่พักอาศัยอยู่ในเขตตีนเขา... ว่าในวันพรุ่งนี้ข้าจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลเซียนพนันขึ้นที่ บ่อนแดนมังกร เพื่อเฟ้นหาผู้เหมาะสม สำหรับจะขึ้นมารับตำแหน่งเซียนพนันอันดับ 1 ที่ยังถูกว่างเว้น”
“รับบัญชาขอรับ... แต่ท่านผู้นำ ปกติแล้วงานเทศกาลเซียนพนัน จำเป็นต้องมีรางวัลล้ำค่าสำหรับผู้ชนะเป็นการตอบแทน ดังนั้นหากพวกเราจัดตั้งเทศกาลอย่างฉุกละหุก เกรงว่าจะจัดเตรียมของล้ำค่าที่มากพอจะดึงดูดเหล่าเซียนพนันได้ไม่ทันการ...” ฉีเค่อ เอ่ยขึ้นแนะนำ
เจียงหนิงหลง ลูบปลายคางพลันครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย... “นั่นสินะ พวกเซียนพนันยิ่งเป็นพวกหยิ่งยโสเสียด้วย บางคนไม่เห็นคุณค่าของเงินทองเลยสักนิด จึงจำเป็นต้องจัดเตรียมสิ่งของที่ไม่อาจซื้อได้ด้วยเงิน...”
เมื่อครุ่นคิดอยู่สักระยะ เขาก็มองไปยังชุดเกราะสีดำสนิทลวดลายศีรษะมังกรที่ตนเองสวมใส่ ดวงตาของเขาก็เจิดจรัสทันที ทำการปลดชุดเกราะชิ้นนี้ออกมาส่งยื่นให้กับ ฉีเค่อ... “นำสิ่งนี้เป็นรางวัลก็แล้วกัน!! ชุดเกราะมังกรดำ มีเพียงแค่ตัวข้าและเหล่านักรบมังกรดำทั้งห้าเท่านั้น ที่ได้รับสิทธิ์ให้ถือครอง ชุดเกราะตัวใหม่ของข้าใกล้จะหลอมสำเร็จแล้ว ดังนั้นชุดเกราะตัวเก่าชิ้นนี้ เจ้าคิดว่าพอที่จะเป็นรางวัลในงานเทศกาลได้หรือไม่?!”
ฉีเค่อ อึ้งงันไปเล็กน้อย... “มันล้ำค่าเกินไปด้วยซ้ำขอรับ!! ชุดเกราะมังกรดำ ถูกหลอมขึ้นด้วยแร่โลหะคงกระพันชนิดพิเศษจากเปลือกคราบของ ราชันย์มังกรทมิฬ สามารถต่อต้านการโจมตีของชนชั้นราชันย์ได้อย่างสมบูรณ์ สามารถต่อต้านการโจมตีชนชั้นจักรพรรดิได้ถึงสิบครั้ง และยังมากพอจะรับการโจมตีของชนชั้นเทวะได้หนึ่งครั้ง...
ต้องขออภัยที่ผู้น้อยเอ่ยถาม... แต่ในประวัติศาตร์ที่ผ่านมาหลายร้อยปี ทางนิกายของเราไม่เคยยอมให้เกราะมังกรดำหลุดออกไปจากนิกายของเรามิใช่หรือ?! เหตุใดครั้งนี้ท่านผู้นำนิกาย ถึงได้ยอมเอาสิ่งนี้มาเป็นรางวัลในงานเทศกาล...” ฉีเค่อ เต็มไปด้วยความฉงนใจ
เจียงหนิงหลง หัวเราะเบา ๆ “พอดีว่ามีคนที่ข้าอยากจะเห็นถึงความสามารถ จึงจำเป็นต้องใช้แรงกระตุ้นให้อีกฝ่ายยอมเปิดเผยตัวตนเสียหน่อย... เจ้าไม่ต้องห่วงไป หากผู้ใดชนะงานเทศกาลครั้งนี้ ก็แค่บีบบังคับให้ผู้นั้นเข้ามาอยู่ในสังกัดของนิกายเรา เท่านี้ก็ไม่ทำให้ชุดเกราะมังกรดำหลุดรอดไปไหนแล้ว...”
ฉีเค่อ ได้ยินเช่นนั้น จึงพยักหน้าตอบรับ
“เช่นนั้นผู้น้อยจะจัดการให้ในทันที...”
....................................................
หลังจากที่ ซุน ออกมาจากโรงประมูลปีกมังกร เขาก็ไม่ได้กลับไปยังเขตเชิงเขา... หากแต่เลือกที่จะเดินเข้าไปใช้บริการ หอนางโลมอันดับ 1 ของเขตนอกด่านมังกรทมิฬ... ซุน ได้ทำการชี้นิ้วส่งเดชเลือกหญิงงามสองสามคน เพื่อตามเขาขึ้นไปในห้องรับรองระดับพิเศษ
แน่นอนว่าทางหอนางโลมแห่งนี้ ต่างพากันกระตือรือร้นถึงขีดสุด เมื่อแขกผู้ทรงเกียรติได้มาเยี่ยมเยือน พร้อมจะให้บริการดูแลด้วยการร้องรำทำเพลงต่าง ๆ มากมายจากเหล่าหญิงงามหลายสิบคน... แต่ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะปฏิเสธเสียงแข็ง ขอความเป็นส่วนตัวร่วมกับหญิงสาวที่เขาได้เลือกมาแล้วเหล่านี้ ทางหอนางโลมจึงมิอาจขัดข้อง...
หญิงสาวสามคนที่ขึ้นมา ทั้งที่ชายหนุ่มชี้ส่งเดชแทบไม่ได้เลือกสรรอะไรนัก แต่พวกนางก็ยังคงงดงามหมดจด สมกับที่เป็นหอนางโลมอันดับ 1 ในเขตนอกด้านเงาทมิฬ... ทันทีที่มาถึงห้องรับรองพิเศษ พวกนางล้วนแสดงท่าทีเขินอายตามประสาหญิงสาว
ซุน ชำเลืองมองพวกนางด้วยสายตาที่ล้ำลึกหนึ่งครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มประดับใบหน้า ก่อนจะดีดนิ้วเบา ๆ หมอกเมามายก็พลันซัดตลบอบอวลไปทั่วห้อง ทำให้หญิงสาวที่แทบไม่มีพื้นฐานลมปราณใด ๆ ร่วงหมดสติลงในสองลมหายใจเข้าออก...
ซุน อุ้มพวกนางมานอนที่เตียงใหญ่ พร้อมจัดระเบียบอาภรณ์ของนางให้ไม่น่าเกลียด ชายหนุ่มออกจะมีอาการหน้าแดงอยู่น้อย ๆ ด้วยซ้ำ เพราะเขาย่อมทราบดีว่าหน้าที่ในการมาดูแลของพวกนาง นั้นคืออะไร...
แต่เหตุผลจริง ๆ ที่ ซุน เรียกตัวพวกนางขึ้นมาด้วยนั้น มิใช่เพราะความกำหนัดหรือราคะใด ๆ ของตนเอง แต่มันเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าตนกำลังถูกจับตามองจากกลุ่มคนบางกลุ่ม ซึ่งก็พอจะเดาได้ว่า น่าจะเป็นคนของนิกายมังกรทมิฬ
ซุน จึงเล่นละครเพื่อตบตากลุ่มคนที่ติดตาม โดยแสร้งว่าขึ้นมาใช้บริการหอนางโลม ตามประสาชายหนุ่มเปลี่ยวเหงาทั่ว ๆ ไปเท่านั้นเอง...
เมื่อเขาไม่อาจที่จะออกไปสำรวจทางหนีทีไล่ในคืนนี้ด้วยตนเองได้แล้ว จึงจำเป็นต้องอาศัยดวงวิญญาณใต้อาณัติ ทำการเชื่อมจิตของตนเองกับเหล่าดวงวิญญาณ จากนั้นก็ส่งออกไปหลายสิบตนรอบทิศทาง โดยที่ ซุน ได้วางค่ายกล และนั่งเข้าฌานอยู่ภายในห้องพัก
ซุน ยังแอบชำเลืองมองหญิงสาวทั้งสามคนบนเตียงใหญ่อยู่หลายที แม้เขาจะฝึกฝนสมาธิมาอย่างมั่นคงตั้งแต่เยาว์วัย แต่การที่ต้องมาอยู่ในห้องรับรองเล็ก ๆ ร่วมกับหญิงสาวที่งดงามหมดจดและพร้อมพลีกาย ผนวกกับบรรยากาศและกลิ่นหอมรัญจวนปลุกเร้าภายในหอนางโลม ก็ทำให้ชายหนุ่มต้องตบหน้าตนเองเพื่อตั้งสติอยู่หลายครั้งหลายครา พยายามควบคุมมังกรผงาดในร่างกายให้สงบลง...
“รอดปากเสือปากจระเข้มาตั้งเท่าไหร่... อย่าให้ต้องมาเสียแผนเพราะหญิงสาวสิฟะ!!” เขาก่นด่าตนเอง พร้อมกับสูดลมหายใจดังเฮือก ๆ เพื่อตั้งสติให้จดจ่อกับภาพนิมิตสะท้อนของเหล่าดวงวิญญาณที่ส่งออกไป...
............................................
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว