พระชายาที่รัก

ตอนที่ 5 โมโห




เวลาผ่านมาได้ราวสามเดือน นับจากวันแรกที่ศดิศรกลับมาอยู่ที่บ้าน ในเย็นนั้นเองหลังจากที่ ยอมให้แม่พาไปทำบุญที่วัด และเลยไปยัง โพลาฟรุ๊ต จำกัด บริษัทส่งออกผลไม้อบแห้งนานาชนิด กิจการหลักของครอบครัวแล้ว ช่วงรับประทานอาหารร่วมกันเสร็จ ศดิศรก็เอ่ยปากบอกข่าวสำคัญ กับคนเป็นแม่ว่า


“แม่ครับ ลอว์เฟิร์ม[1]ที่ผมสมัครไป เขาตอบรับมาแล้ว ผมต้องไปกรุงเทพฯอาทิตย์หน้า”


“อะไรนะ! ไม่เห็นดิศบอกอะไรแม่มาก่อนเลย มาบอกปุบปับแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน?” ศุภศรีทั้ง ตกใจ และค่อนข้างโกรธที่เพิ่งได้รู้เช่นนั้น แล้วก็เปลี่ยนเป็นผิดหวังในที่สุด


“ผมไม่ชอบงานบริษัท ผมเรียนกฎหมายมา งานบริหารคงไม่เหมาะกับผม”


“ไม่เหมาะ!? แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเหมาะ ดิศไม่อยู่เรียนรู้งานที่บริษัทเลย แล้วเมื่อไหร่มันจะ เหมาะ! ? แม่เองก็เพิ่งมาเริ่มจับมันก็เมื่อตอนที่คุณพ่อตาย จำไม่ได้เหรอว่าก่อนหน้าที่ลูกจะไปนอก แม่ก็เป็นคนเลี้ยงดิศมาโดยตลอด ไม่มีอะไรที่ยากไปหรอกนะดิศ ขอเพียงลูกให้เวลากับมัน แต่นี่ดิศ จะทิ้งมันไปเลย?” ศุภศรีโวยวายกับลูกชายด้วยความน้อยใจ


“ขอผมลองสิ่งที่ถนัดก่อน ถ้าไม่ไหว ยังไผมก็ต้องกลับมาอยู่กับแม่อยู่ดี”


“แล้วเมื่อไหร่ล่ะดิศ ดิศเองก็รู้นะว่าแม่สุขภาพเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว และแม่ก็อยากจะวางมือซะที”


“ผมตอบรับเขาไปแล้ว ยังไงก็ต้องลงไปทำก่อน ไม่แน่แค่ปีเดียวผมคงได้กลับมาที่นี่แล้ว ไม่ต้องห่วง ผมรู้ว่ายังไงๆก็ต้องกลับมาทำงานที่โพลาฯอยู่ดี” ศดิศรตัดบท และลุกออกไปจากโต๊ะ อาหารทันที เพราะไม่ต้องการฟังคำตัดพ้อของแม่อีก ศุภศรีพูดไม่ออกได้ แต่อัดอั้นทุกอย่างเอาไว้ ในอกอยู่ตรงนั้นนั่นเอง


ศดิศรเดินออกมานั่งเล่นที่สวนหน้าบ้านเพื่อหนีบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีด้านใน นั่งอยู่สักพัก เด็กรับใช้ใกล้ชิดของแม่ ก็เดินเข้ามาพอดีพร้อมกับตระกร้าใส่ดอกกุหลาบที่เพิ่งตัดใหม่


“เดี๋ยว! เธอน่ะ มานี่ซิ” เสียงเรียกของนายคุณดิศ ... ลูกชายของแม่นาย ดังขึ้นเพื่อหยุดเท้า ของเอื้องหยาดที่กำลังเดินเลี่ยงไปอีกทาง เพราะไม่อยากรบกวนอารมณ์ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่เธอไม่ได้ใส่ผ้าคลุมหน้าแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรเข้าไปใกล้เขาใหญ่ แต่ ณ เวลานั้น เด็กสาวไม่อาจเดินเลี่ยงไปได้อย่างใจนึก จึงจำเป็นต้องเดินเข้าไปหาเขา แต่เว้นระยะห่างไว้อย่าง สมควรแก่ฐานะของเขา และเธอ


“อยู่กับแม่มากี่ปีแล้วล่ะ?”


“สิบกว่าปีแล้วค่ะ”


“งั้นเธอคงรู้ใจแม่ดีที่สุดสินะ เพราะเห็นอยู่กับแม่บ่อยๆ ”


“ก็ไม่ทุกเรื่องหรอกค่ะ เพราะก็ยังมีคนอื่นๆที่อยู่รับใช้แม่นายแบบเอื้องอีก 2-3 คน เอื้องไม่ได้ อยู่กับแม่นายตลอด เพราะต้องไปเรียนหนังสือด้วย” ศดิศรพยักหน้าอย่างรับรู้ พลางมองสำรวจ ใบหน้านวลที่มีแผลเป็นจางๆ แต่ค่อนข้างใหญ่ทาบอยู่บนแก้มขวา ลำคอ และค่อนข้างน่ากลัวที่แขน ... เสียดายถ้าไม่มีแผลเป็นแบบนี้ เจ้าหล่อนคงจะเป็นคนสวยซึ้งคนหนึ่งเลยทีเดียว


“อายุเท่าไหร่ เรียนอะไรอยู่”


“16 ค่ะ เรียนปวช. บัญชีอยู่ที่ ..... ค่ะ” ศักดิพยายามทำความเข้าใจกับ บางคำที่เขายังไม่ ค่อยคุ้น ก่อนจะปล่อยผ่านเพราะคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญนัก


“แผลนั่น ... ฉันถามได้หรือเปล่า?” จู่ๆ ศดิศรก็เอ่ยปากถามขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะเขาเกิด ยังไม่อยากให้เด็กสาวตรงหน้านี้พาตัวเองออกไป


“เอื้องถูกไฟคลอกตอนเป็นเด็กค่ะ ก่อนที่แม่นายจะพามาอยู่ด้วยค่ะ” น้ำเสียงที่เด็กสาวใช้ ตอบเขา ไม่มีร่องรอยความกระดากอายหรือเสียใจเลย เวลาคงผ่านมานานเสียจนเยียวยาทุกสิ่ง หรือไม่ก็สร้างความชินชาให้เธอเสียแล้วกระมัง ศดิศรคิด


“แล้วเวลาไปไหนมาไหน เธอต้องใช้ผ้าคลุมตลอดหรือเปล่า”


“ไม่เคยใช้หรอกค่ะ แต่วันที่ไปรับคุณที่สนามบินไม่มีใครว่างมือเลย เพราะต้องทำอาหาร เตรียมให้คุณ แม่นายเลยให้เอื้องใช้คลุมไว้ กลัวคุณจะตกใจถ้าเห็นชัดๆ” เอื้องหยาดบอกเขาด้วย ท่าทางซื่อๆ อย่างที่ศดิศรไม่เคยได้เจอจากผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลยในชีวิตนี้ มันกระทบใจของเขา ด้วยความ ... เวทนา


“อาทิตย์หน้า ฉันต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯแล้ว คงต้องฝากเธอช่วยดูแลแม่ด้วย ไว้ฉันจะกลับ มาเยี่ยมบ่อยๆ อยากได้อะไรจากกรุงเทพฯ มั้ยล่ะ ฉันจะเอาขึ้นมาเป็นรางวัล” ชายหนุ่มบอก เอื้องหยาดยิ้มๆ อย่างเอื้อเอ็นดู แต่เด็กสาวส่ายหน้ายิ้มๆ ด้วยความเจียมตัว ... เจียมใจ


“Let’s say ... ถ้าคราวหน้า ฉันกลับมาบ้าน แล้วเธอยังดูแลแม่ให้แข็งแรงดีเหมือนเดิม ฉันจะให้เงินเธอไปหาหมอทำ Plastic Surgery[2]ดีมั้ย?” เอื้องหยาดทำหน้างงๆ เพราะไม่คุ้นกับภาษา อังกฤษจากสำเนียงแบบเจ้าของภาษาของผู้เป็นนายเท่าใดนัก ศดิศรจึงใช้นิ้ววนๆ ที่ข้างแก้มของตน ยิ้มๆ นึกชอบในความใสซื่อตามธรรมชาติของเด็กสาวยิ่งนัก โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า รอยยิ้มบางๆ ของตัวเอง จะมีผลทำให้โลกของเด็กสาวสว่างขึ้นมากว่าเดิมหลายเท่านัก เอื้องหยาดซึ้งใจในความ ใจดีของศดิศรยิ่งนัก เพราะนอกจากจะไม่รังเกียจ หรือมองด้วยสายตาสมเพชแล้ว เขายังมีความ เมตตาให้แก่คนต่ำต้อยด้อยรูปโฉมอย่างเธออีกด้วย แม้จะเป็นแค่ในฐานะเด็กในบ้านก็ตาม จากนั้น ศดิศรก็เอ่ยปากให้เอื้องหยาดไปทำสิ่งที่ยังค้างอยู่เสีย ส่วนเขาก็นั่งอยู่ตรงนั้นสักพักเพื่อสูบบุหรี่ ก่อน จะเดินเข้าบ้านไป



ΓΦνΞΓΦνΞΓΦνΞΓΦνΞΓΦνΞ



หลังจากเย็นนั้น เอื้องหยาดก็ไม่ได้พบกับคนใจดีอีกเลยจนกระทั่งในเช้าวันที่เขาจะต้อง เดินทางไปกรุงเทพฯ อย่างที่เคยบอกเอาไว้ ศดิศรเดินออกมาจากบ้านเพียงลำพัง หลังรับประทาน อาหารเช้า และร่ำลาแม่ของตนเสร็จ นายปุ๊ และสาวใช้ ชื่ออร พากันเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ของเขาขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไปสนามบิน ชายหนุ่มมองขึ้นไปที่ชั้นสองยังยังหน้าต่างห้องทำงานของแม่ โดยหวังว่าแม่จะยืนดูเขาอยู่ตรงนั้นอย่างที่เขาเคยเห็นเมื่อตอนที่ป้ามารับเขาไปอยู่ด้วย แต่ในวันนี้ เขากลับไม่เห็นแม่ยืนอยู่เหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว ศดิศรถอนใจก่อนจะหันกลับมาขึ้นรถ แล้วสั่งให้นายปุ๊ ออกรถทันที


ระหว่างทางที่รถกำลังเคลื่อนตัวไปจวนจะถึงประตูรั้วบ้านอยู่แล้วนั้น ศดิศรพบว่าเอื้องหยาด กำลังยืนอยู่ที่หมู่มวลกอกุหลาบสีขาวดอกสมบูรณ์สวยสะพรั่งกอใหญ่ โดยมีตะกร้าที่ดูคุ้นตาวางไว้ ใกล้กันนั้น คงมาตัดดอกไม้ให้แม่ ชายหนุ่มคิด ในมือของเอื้องหยาดนั้นมีกรรไกรตัดกิ่งไว้พร้อมกับ กุหลาบขาวดอกหนึ่งด้วย ศดิศรสั่ง ให้นายปุ๊หยุดรถ ก่อนจะลดกระจกลง มองจนกระทั่งอีกคนนอกรถ เดินเข้ามาใกล้


“ฉันจะไปแล้วนะ อย่าลืมที่บอกไว้ล่ะ”


“ค่ะ” เอื้องหยาดยิ้มบางๆให้เจ้านายหนุ่ม


“เอ้านี่!” ศดิศรยื่นธนบัตรใบละ 100 ดอลล่าร์สหรัฐให้เด็กสาว เพราะนั่นคือ เงินสดที่มีมูลค่า มากที่สุด ที่เขามีติดกระเป๋าอยู่ในตอนนั้น


“ขอโทษนะ ฉันไม่มีเงินไทยเลย ไว้คราวหน้าจะซื้อของมาให้ โอเค้?” เอื้องหยาดจำเป็นต้อง ยื่นมือไปรับเอาไว้ เพราะศดิศรใช้สายตาแกมบังคับ แต่ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังกดเลื่อนปิดกระจกอยู่ นั่นเอง เอื้องหยาดก็เคาะกระจก และยื่นกุหลาบขาวดอกงามในมือให้เขา


“ดอกกุหลาบนี้แม่นายชอบมาก เอื้องขอให้นายคุณดิศเอาติดตัวไปนะคะ” ศดิศรยิ้มกว้างแล้ว รับดอกไม้มาด้วยความเต็มใจ มันพอจะบรรเทาความเสียใจที่แม่ทำเหมือนไม่เข้าใจเขาอยู่ตลอดเวลา ได้บ้าง หลังจากที่รู้ว่าเขาต้องไปกรุงเทพฯ จากนั้นรถคันใหญ่ก็เคลื่อนตัวออกไปจากรั้วพลาเวศม์อัน กว้างขวาง...จนลับสายตาของเด็กสาวที่ยืนมองอยู่อย่างนั้น เอื้องหยาด ... ผู้ที่ เพิ่งได้รับความเมตตา จากเจ้านายหนุ่มอีกครั้ง กำธนบัตรมูลค่าสูงในมือตนแน่น ขอบตาของเธอ ร้อนผ่าวอย่างรู้สึก ... ใจหาย แต่ก็กลบฝังอารมณ์นั้นไว้ให้มิดชิด แล้วทำหน้าที่ของตนตรงนั้นต่อจนเสร็จสิ้น ... ดอกกุหลาบสีขาวชุดใหม่เพื่อปักแจกัน ... จากนั้นก็รีบขึ้นไปยังห้องทำงานของแม่นายในทันที


“มันไปแล้วใช่มั้ย? ไอ้ลูกหัวดื้อของฉันน่ะ” ศุภศรีถาม เมื่อเห็นคนใกล้ชิดที่สุดของตน เข้ามา พร้อมตะกร้ากุหลาบขาวงามสดสวย ที่เพิ่งไปตัดมาจากกอเพื่อมาจัดแจกันอย่างที่ทำเป็นประจำ


“ค่ะ”


“หึ! มันคงจะรอให้ฉันแก่หง่อมหมดแรงก่อนล่ะมั้ง ถึงจะมีแก่ใจมาเรียนรู้งานที่บริษัท มาอยู่ดูแลแม่ของมัน นี่เดือนหน้านังชมพู่ก็จะลาออกไปแต่งงานมีผัวกับไอ้พงษ์อีกแล้ว ดี! ดี! ออกไปกันให้หมด ทิ้งไปเลยบ้านนี้!” เอื้องหยาดก้มหน้าลง ใจหวั่นกลัวแต่เตรียมตั้งรับ เผื่อตัวเอง จะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของแม่นายในสักนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้านี้ อย่างที่เคยเป็นมานับแต่ จำความได้ แต่ ...


“คงมีแต่แกเท่านั้นแหละที่ไม่ทิ้งฉันไปไหน ใช่มั้ย? นังเอื้อง ...” ศุภศรีถามคนตรงหน้าเบาๆ อย่างรำพึงกับตัวเอง


“คนอย่างแก ... คงไม่มีใครเอาไปไหน หรืออยากจะไปไหนหรอก ในเมื่อแกเป็นแบบนี้” แม่นายค่อยๆ ช้อนคางของเอื้องหยาดขึ้นมาเพื่อมองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นของเธอ เด็กสาวสบตา ศุภศรีกลับอย่างไม่มั่นคงนัก เพราะเกรงด้วยบารมี และพื้นนิสัยเดิมที่เป็นคนเจ้าอารมณ์อย่างร้ายกาจ ของนาง แต่กลับกลายเป็นศุภศรีเองที่เลิกจ้องตาของเด็กสาวไปก่อน เพราะอะไรบางอย่างในแววตา ของคู่นั้นของเอื้องหยาดที่ทำให้นางรู้สึกเย็นยะเยือกในกาย ... มันเหมือนเหลือเกิน


“ออกไปได้แล้ว ไป! แล้วเรียกคนอื่นมาจัดดอกไม้แทนแกที เห็นหน้าแกบ่อยๆ ฉันพาลหมด อารมณ์ชื่นชมไม้ดอกสวยๆ งามๆ ” เอื้องหยาดดีใจมากที่แม่นายไล่เธออกมาจากห้องนั้น โดยเด็กสาว รีบลงไปที่ครัว เพื่อหาคนอื่นขึ้นไปจัดดอกไม้ให้แม่นายแทนเธอโดยเร็ว ...



ชีวิตของคนที่พลาเวศม์ดำเนินอยู่อย่างนั้น เป็นกิจวัตรในทุกๆ วัน ราวกับถูกไขลานให้ใช้ชีวิต ไม่ค่อยมีใครใคร่ใส่ใจ กับการไม่อยู่บ้านของ นายคุณดิศ นัก เพราะเวลาที่เขากลับมาอยู่ที่นี่ ก่อนที่จะ ลงไปกรุงเทพฯ นั้นช่างแสนสั้นเสียจนมันไม่มีผลในการเปลี่ยนวิถีของคนในบ้าน อีกทั้งการกลับมา เยี่ยมมารดาของเขา หลังไปทำงานที่กรุงเทพฯนั้น นายคุณดิศก็มักจะได้ไปเยี่ยมแม่ที่ โรงพยาบาล ประจำจังหวัดอยู่เสมอ เพราะช่วงหลังๆมา แม่นายศุภศรีมักจะเข้า-ออก และอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นว่าเล่น นัยว่าอาจจะพยายามเรียกร้องความสนใจจากลูกชายให้กลับมาอยู่บ้านถาวร ดังนั้น จึงมีน้อยครั้งมาก ที่แม่ลูกคู่นี้จะได้กลับมานอนที่บ้านพร้อมกัน ซึ่งในจำนวนน้อยครั้งนั้นนั่นเอง ก็มักจะเป็นคราว ที่ใคร บางคนไม่อยู่ที่พลาเวศม์เสียด้วย เพราะเจ้าตัวย้ายไปอยู่ที่หอพักของบริษัท ที่จัดไว้ให้พนักงานของ โรงงาน และจากโรงงานบางส่วน เพื่อฝึกงานด้านบัญชีตามที่ตนเรียนมา ... ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นประจำ อยู่อย่างนั้น จนผ่านวันผันเวลาไปถึง 3ปีเต็ม!




[1] สำนักทนายความในรูปแบบบริษัทที่มีผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายหลายด้าน รับปรึกษา และทำคดีทั้งไทยและภาษาอังกฤษ

[2] ศัลยกรรมตกแต่งเพื่อเสริมความงาม (Cosmetic Plastic Surgery)


***** ขอคอมเมนท์ด้วยนะคะ


นิยายเรื่องนี้ มีวางจำหน่ายแล้วในเวอร์ชั่นอีบุค ที่ mebmarket.com นะคะ

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว