สาวใช้ของนายท่านคือปีศาจสาวตนหนึ่ง -บทที่3. ข้าจะกินเจ้าได้อย่างไร

โดย  เพลงมีนา

สาวใช้ของนายท่านคือปีศาจสาวตนหนึ่ง

บทที่3. ข้าจะกินเจ้าได้อย่างไร

กลุ่มชาวบ้านตระกูลลู่เอาตัวรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ก็เพราะมีความหวัง ว่าหากไปถึงอันโจวจะตั้งหลักปักฐานได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าประสบความยากลำบากรูปแบบไหนพวกเขาก็ขอแค่ไปถึงอันโจวได้ก็พอ

ทว่าบัดนี้…

ชายภูมิฐานตรงหน้ากลับบอกว่า …อันโจวไม่อาจรับคนเพิ่มได้อีกแล้ว…

…แล้วพวกเขาจะอพยพไปแห่งหนใดได้อีก

เกิดเสียงร้องไห้ดังขึ้นหลายเสียงทันทีจากคนในกลุ่ม ความหวังที่แบกมาด้วยตลอดทางพังทลายลงอย่างฉับพลัน บัดนี้คิดไม่ออกเลยว่าชีวิตควรไปทางไหนต่อ

ผู้เฒ่าลู่เองก็ร้อนใจ “แล้วคุณชายฉินรู้หรือไม่ว่ายังมีเมืองใดที่รับคนลี้ภัยอยู่ พวกเรามาถึงที่นี่แล้ว มันไม่ง่ายเลยนะ…”

นางซุนเองก็น้ำตาคลอ หันมองฉินเจียนด้วยความตึงเครียดเช่นกัน

ฉินเจียนเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาจึงรีบบอก “เท่าที่ข้ารู้มา พวกผู้ชายที่แข็งแรงทั้งหมดจะต้องไปเป็นทหารกำลังเสริม ส่วนผู้หญิงและเด็ก ๆ ทางราชสำนักยังไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เฉินอ๋องจึงมีพระกรุณาธิคุณเปิดเมืองจิงโจวรับคนชรา ชายป่วยพิการที่ไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ เด็ก ๆ และผู้หญิงไว้”

“เหตุใดถึงรับแต่ผู้หญิงและเด็กล่ะ แล้วพวกข้าจะทำเช่นไร?”

“ตลอดการเดินทางก็ทุกข์ทรมานมากพอแล้ว สุขภาพร่างกายก็ทรุดโทรมจนแทบเอาตัวไม่รอด จะไปร่วมรบทำศึกได้อย่างไรกัน?”

“เมื่อก่อนกว่าที่ครอบครัวหนึ่งจะเกณฑ์ทหารต้องใช้เวลาหลายปี อีกอย่างบางครอบครัวก็มีลูกชายแค่คนเดียว ตอนนี้กลับให้พวกผู้ชายไปเป็นทหาร แล้วคนในครอบครัวจะทำเช่นไร?”

ทุกคนยิ่งสิ้นหวังเมื่อได้ฟังวาจาของฉินเจียน รู้สึกว่าราชสำนักกำลังบีบบังคับให้พวกเขาไร้หนทางลืมตาอ้าปาก กว่าครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่นี่กลับบอกให้พวกเขาแยกจากกัน แล้วหลังจากแยกกันก็ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน วันหน้าจะได้เจอครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาอีกหรือไม่…ไม่อาจรู้อะไรได้เลย

ซุ่ยเอ๋อร์และอีกหลาย ๆ คนไม่อาจกลั้นความโศกเศร้าสะเทือนใจได้จนต้องปล่อยโฮออกมา แม้แต่นางหยูกับนางฉินก็เริ่มกระวนกระวายใจ เดิมทีในครอบครัวก็มีชายหนุ่มแข็งแรงน้อยอยู่แล้ว หากเสาหลักของบ้านต้องไปออกรบ แล้วครอบครัวจะเรียกว่าครอบครัวได้อีกหรือ

“ทุกคนอย่าเพิ่งตื่นตระหนกเลย เมื่อครู่คุณชายฉินก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจิงโจวไม่เพียงรับพวกผู้หญิงและเด็ก ๆ เท่านั้น ยังรับคนแก่และชายที่เจ็บป่วยพิการด้วย…ข้าสามารถทำให้ทุกคนแกล้งป่วยแกล้งพิการเพื่อเข้าเมืองได้”

เหอจิ่วเหนียงเห็นทุกคนเป็นแบบนี้ก็อดให้ความช่วยเหลือไม่ได้ อันที่จริงเรื่องนี้นางรู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย ที่ราชสำนักทำเช่นนี้ก็เพราะพิจารณามาแล้ว แต่ช่างเถอะ อย่างไรเสียนางก็มีทางออกให้คนของนาง

สดับวาจาไม่แยแส คนอื่นล้วนดวงตาลุกวาวทันที

ใช่แล้ว เหตุใดพวกเขาคิดถึงข้อนี้ไม่ได้!

เว้นแต่ฉินเจียนที่ตกใจจนใบหน้าแข็งค้าง นึกไม่ถึงเลยว่าสตรีผู้นี้จะมีความคิดที่บังอาจเช่นนี้!

วิธีการของนางจะพูดให้แรงหน่อยก็คือการหลอกลวงจักรพรรดิ หากถูกจับได้ละก็ พวกเขาทั้งโคตรไม่พ้นถูกทหารเฝ้าประตูเมืองจิงโจวทุบตีจนตายแน่

“ฮูหยินใจเย็นก่อน หากถูกจับได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรงมากนะ”

แม้อันที่จริงชายหนุ่มจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่ไม่เลว แต่ก็ไม่อยากยุยงให้พวกเขาทำ มิเช่นนั้นชีวิตพวกเขาคงหาไม่

“ถ้าหากข้ารับประกันได้ว่าทหารจะไม่มีทางจับได้ล่ะ?”

สตรีมีแผนการมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเปี่ยมความมั่นใจ

คนอื่นนางไม่สนใจ แต่พี่ใหญ่และพี่รองนางต้องช่วยแน่นอน ทว่าในเมื่อช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้หมดทั้งกลุ่ม อย่างไรเสียทุกคนก็เดินทางมาถึงที่นี่ด้วยกันแล้ว และทุกคนล้วนเป็นสหายที่ดี เหอจิ่วเหนียงคิดว่าคนเหล่านี้นางสามารถจัดการได้

ทุกคนหันมองบุรุษภูมิฐานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง หากเป็นจริงได้ดังนั้น พวกเขาก็จะยอมทำตามคำสั่งของครอบครัวลู่โดยไม่คัดค้าน!

ฉินเจียนไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไร รู้สึกเพียงว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่เหมือนสตรีที่เขาพานพบมาทั้งชีวิต เป็นแค่ชาวนากลับมีความคิดโดดเด่น และสิ่งที่ยิ่งทำให้คนนับถือนางก็คือความใจกล้า

เจอกันสองครั้งแต่ไม่เคยเห็นสามีนางสักหน หรือว่าสามีนางจะล่วงลับแล้ว?

คิดได้ดังนี้ชายหนุ่มก็รู้สึกสลดใจเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่ง่ายเลยจริง ๆ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง อีกอย่างนางก็เคยช่วยชีวิตตนเอาไว้

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเจียนจึงปลดป้ายห้อยเอวยื่นให้นาง “อย่างไรเสียฮูหยินและครอบครัวก็เคยช่วยชีวิตข้าไว้ รับป้ายนี่ไว้เถอะ ตอนเข้าประตูเมืองหากเจอปัญหาใดทำให้ลำบากใจก็แสดงป้ายนี้กับทหาร”

นี่คือป้ายหยกประจำตำหนักเฉินอ๋อง แม้การทำเช่นนี้จะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ฉินเจียนก็ไม่อาจอยู่เฉยมองผู้มีพระคุณต้องลำบากได้

เหอจิ่วเหนียงไม่ปฏิเสธ หลังจากรับมาก็กล่าวขอบคุณและเอ่ยอีกเล็กน้อย “ในเมื่อคุณชายตรงไปตรงมาเช่นนี้ ข้าก็ไม่อาจใช้ประโยชน์จากคุณชายเพียงฝ่ายเดียว ข้าจะบอกเรื่องหนึ่งตอบแทนคุณชายก็แล้วกัน”

ตรงนี้มีคนเยอะ เหอจิ่วเหนียงไม่ได้กังวลชาวบ้านตระกูลลู่ แต่นางไม่ไว้ใจคนอื่น จึงเชิญฉินเจียนไปคุยอีกทางด้านหนึ่ง

ฉินเจียนนึกสงสัยว่าหญิงสาวผู้นี้มีลับลมคมในอะไรจะบอกตน เขาคิดไม่ออกจนกระทั่งคิดไปว่า…

หรือนางจะมอบกายมอบใจเพื่อตอบแทน?

ก่อนที่ชายหนุ่มจะจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน เหอจิ่วเหนียงก็เอ่ยขึ้น “หลังจากที่เราร่ำลากันในครั้งก่อน พวกข้าเจอนักฆ่ากลุ่มหนึ่ง ฟังจากสำเนียงแล้วน่าจะเป็นคนหนานไท่ ข้าเดาว่าคนพวกนั้นอาจตามไล่ฆ่าเจ้า และเป็นคนที่ทำให้เจ้าถูกพิษ”

ฉินเจียนตกตะลึงในทันใด นึกไม่ถึงว่าครอบครัวลู่จะเจอกลุ่มมือสังหารของหนานไท่!

“แล้วพวกเจ้า…”

เหอจิ่วเหนียงยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูด แล้วเอ่ยต่อ “พวกนั้นถูกพวกข้าสังหารแล้ว ม้าสองตัวที่พวกข้าใช้กันอยู่ตอนนี้ก็เป็นของพวกมัน หากให้เล่าความเป็นมามันก็ยาว

สิ่งที่ข้าจะบอกก็คือ แม้สำเนียงของคนกลุ่มนั้นจะเหมือนสำเนียงคนหนานไท่ แต่ภาษาที่พูดเป็นภาษาเป่ยเหยียน พวกข้าเข้าใจทุกอย่างที่พวกมันคุยกัน และพวกข้าก็พบว่า คนพวกนั้นมีรอยสักเขี้ยวหมาป่าอยู่บริเวณหน้าอก คงจะพอเป็นเบาะแสให้เจ้าได้”

ความตกตะลึงของฉินเจียนในตอนนี้ไม่อาจหาคำใดมาพรรณนาได้ เหล่ามือสังหารหนานไท่ตามไล่ล่าเขามาตลอดทาง เขาคิดว่าวรยุทธ์ของตนล้ำเลิศไม่แพ้ใคร แต่กลับถูกพิษจนแทบจะเอาตัวไม่รอด หากไม่ใช่เพราะเหอจิ่วเหนียงช่วยชีวิตเอาไว้ เขาคงตายไปนานแล้ว

ทว่า…

ครอบครัวลู่ดูอย่างไรก็เป็นครอบครัวชาวนาทั่วไป ไม่อยากเชื่อเลยว่าสามารถปลิดชีพศัตรูตัวฉกาจพวกนั้นได้ ทั้งยังชิงม้าของพวกมันมาได้อีกด้วย!

เหอจิ่วเหนียงไม่สนใจอากัปกิริยาของอีกฝ่าย บอกเล่าสิ่งที่ตนคาดการณ์ต่อ “ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คนพวกนั้นจะเป็นคนเป่ยเหยียนแต่ปลอมตัวเป็นนักฆ่าหนานไท่ จงใจหลอกให้เจ้ากับเจ้านายเจ้าสับสน แม้ข้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองฝ่ายใครเป็นคนดีคนเลว แต่เห็นแก่ที่เจ้าบอกหนทางรอดให้พวกข้าไปจิงโจว แถมยังมอบป้ายหยกนี่ให้ข้า ข้าจึงบอกเรื่องนี่กับเจ้า”

ส่วนพวกเขาจะทำอย่างไรต่อ เหอจิ่วเหนียงไม่อยากรู้

เนิ่นนานกว่าฉินเจียนจะประมวลผลและเรียกสติตัวเองกลับมาได้ เขาตกตะลึงกับเรื่องนี้จนพูดอะไรไม่ออก

ตกลงคนเหล่านั้นเป็นคนเป่ยเหยียนอย่างนั้นหรือ?

นี่พวกเขาเข้าใจผิดมาตลอดอย่างนั้นหรือ?

เห็นหญิงสาวเอ่ยจบและหันหลังเดินกลับ ฉินเจียนก็รีบยกมือคารวะ “ขอบคุณฮูหยินมากที่บอกเรื่องนี้กับข้า หากเรื่องนี้เป็นความจริง ฉินเจียนก็ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย!”

เหอจิ่วเหนียงเพียงพยักหน้าโดยไม่ได้สนใจอีก อย่างไรเสียวันนี้บุญคุณของทั้งสองได้ตอบแทนกันเรียบร้อย หลังจากนี้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก

ทั้งสองเดินกลับไปที่กลุ่ม ชายหนุ่มยกมือคารวะชายชรา “ผู้น้อยต้องกลับจิงโจวอีกรอบ คงต้องขอตัวก่อน ท่านลุง ทุกท่าน หวังว่าจะมีโอกาสพบกันอีก!”

หากคนกลุ่มนี้สามารถตั้งหลักปักฐานที่จิงโจวได้ก็มีโอกาสสูงที่วันข้างหน้าพวกเขาจะได้พบกันอีก รอเขาตรวจสอบเบาะแสที่เหอจิ่วเหนียงให้มาอย่างกระจ่างก่อน เฉินอ๋องจะต้องตกรางวัลครอบครัวนี้อย่างหนักแน่นอน

.

.

.


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว