รัก ห้วงลับ

สัมพันธ์

สาวงามหอบเสียงกระเส่าพูดว่า

“ฝ่าบาทจะให้แคว้นเพื่อนบ้านเข้าเฝ้าจริงๆ หรือเพคะ?”

น้ำเสียงแฝงเสน่ห์นุ่มนวลและอ่อนโยน ร่างเหมือนหยกก็นุ่มเนียนราวกับไม่มีกระดูก

นางจงใจเลือกจังหวะที่ดี แต่จู่ๆ ก็ถูกเขาทาบทับลงมาอีกครั้ง

เขามองสาวงามอย่างหลงใหลสายตาร้อนแรง “เมื่อวานคนคนนั้นก็โน้มน้าวข้าเช่นนี้เหมือนกัน...”

นางเปล่งเสียง ‘อืม-อา’ ยาวและสั่นพร่าออกมาจากริมฝีปาก

ฮ่องเต้ก็ฝังตัวลงไป

จูบเอาแต่ใจทั้งดุเดือดและครอบงำ ขณะที่อารมณ์ไปถึงขีดสุดก็ครางออกมาโดยไม่รู้ตัว “เฉิงฮวน”

เมื่อเสียงแผ่วจบลง ทั้งคู่ก็ตัวแข็งทื่อ

ฮ่องเต้ตกใจเหยียดมือบีบคอเรียวขาวโดยไม่รู้ตัวกล่าวเสียงเหี้ยม “เรื่องวันนี้ ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด”

หนานซื่อถูกเขาบีบคอจนแทบขาดอากาศหายใจ

เขาบีบแน่น แต่มือกลับสั่นรุนแรง

ฮ่องเต้หอบหายใจรัวเร็ว

เขาควรจะฆ่านางปิดปาก

แต่เขาทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะใจอ่อน แต่เป็นเพราะดวงหน้านี้ต่างหาก

เขาก้มลงจูบด้วยความเจ็บปวดใจ โดยที่ยังไม่ยอมปล่อยมือออก

เป็นไปได้อย่างไร เขา... เรียกชื่อคนคนนั้นได้ยังไง...

ชายหนุ่มไม่หยุดเคลื่อนไหว ยิ่งกลัวเขาก็ยิ่งต้องการความสุขทางเพศรุนแรงเพื่อหยุดความคิดฟุ้งซ่าน

กระแทกลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ซูเฉิงฮวนมีอะไรดี?

ก็แค่คนขี้โรค

ในที่สุดเขาก็หมดแรงฟุบตัวลงข้างๆ มองดูสาวงามตัวอ่อนเปลี้ยหน้าแดงก่ำเพราะถูกทรมานจนเกือบตาย

เขายื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าด้านข้างของนางแล้วหลับตาลง ในใจมีคำสามคำลอยอวล

ซู-เฉิง-ฮวน


หลังจากที่ฮ่องเต้กลับไป

ซูเฉิงฮวนก็ลางานในเช้าวันรุ่งขึ้น

ขอลาครึ่งเดือนเพื่อพักฟื้น เหตุผลก็คืออากาศหนาวจนเป็นหวัด

ทุกคนรู้ดีว่าซูเฉิงฮวนอ่อนแอและป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอดจึงไม่น่าแปลกใจ จู่ๆ ลางานไปก็เป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่าซูเฉิงฮวนจะไม่เข้ามาทำงาน แต่ก็จะมีขุนนางเข้าพบเพื่อรายงานและรับคำแนะนำตามปกติเกี่ยวกับกิจการของราชสำนัก

ฮ่องเต้ระยะนี้ก็มีอาการหงุดหงิด

ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะจัดการงานราชการ

“มีข่าวจากซูเฉิงฮวนบ้างรึยัง? ส่งหมอหลวงไปดูรึยัง?” ฮ่องเต้วางพู่กันลงเป็นครั้งที่สาม ถามขันทีเฒ่าเกี่ยวกับเรื่องซูเฉิงฮวน

ขันทีเฒ่ารายงานว่า “ใต้เท้าซูหลบเลี่ยงหมอหลวง ไม่ยอมให้หมอหลวงเข้าพบเพื่อตรวจวินิจฉัยรักษาโรค บอกว่าพักผ่อนไม่กี่วันก็หาย ขอให้ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพระทัย”

ฮ่องเต้ราวกับถูกแทงจุดอ่อน ปากเค้นเสียงเย็น “คิดถึง? ข้าจะไปคิดถึงเขาทำไม? คิดไปเองแล้ว”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ปากพูดแบบหนึ่ง แต่ในใจกลับคิดอีกแบบหนึ่ง

ใช่ ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาคิดถึงซูเฉิงฮวนมากขนาดนี้?

ฮ่องเต้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนพูดว่า “เตรียมตัวข้าจะออกจากวังเยี่ยมเยือนแบบสามัญชน”

ขันทีเฒ่านึกถึงเรื่องฝ่ายในขึ้นมาก็กล่าวทันทีว่า “ไม่ง่ายที่สุดฝ่าบาทจะหยุดพระราชกิจ ทำไมไม่เสด็จฝ่ายในบ้างพ่ะย่ะค่ะ เหล่าสนมกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ แต่ละคนร้อนใจไปหมดแล้ว”

ฮ่องเต้เหลือบมองแวบหนึ่ง ขันทีเฒ่าก็หุบปากลงทันที

นับแล้วเขาไม่ได้ไปฝ่ายในมานานกว่าครึ่งปีแล้ว เมื่อก่อนพองานน้อยลงเขาก็จะไปที่นั่นสองหรือสามครั้งต่อเดือน เดิมทีเขาไม่ใช่คนหมกมุ่นเรื่องอิสตรี ไม่ได้สนใจเรื่องหยุมหยิมของฝ่ายใน ตั้งแต่ได้รับสาวงามที่ซูเฉิงฮวนถวาย เขาก็ไม่เคยก้าวเข้าไปในฝ่ายในอีกเลย

ฮ่องเต้ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ “งั้นไปฝ่ายในก่อน”

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ฮ่องเต้ก็ราวกับนั่งบนเก้าอี้ตะปู

ตอนแรกคิดไว้ว่าตนเองไม่ได้มาฝ่ายในครึ่งปี ในที่สุดวันนี้ก็มาเยี่ยมเลยคิดให้สนมมารวมกัน ถือซะว่าเยี่ยมหมดทุกคนในคราวเดียว

ทว่าเมื่อหญิงงามกลุ่มใหญ่มารวมกันตรงหน้า กลับทำให้เขาหมดความสนใจไปโดยสิ้นเชิง

ไม่ว่าพวกนางจะหัวเราะหรือแสดงออกอย่างไร ก็ไม่มีเสน่ห์เท่าสาวงามที่จวนซู

จืดชืดไร้รสชาติ

ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปแบบไม่สบอารมณ์ ไม่คิดอยากอยู่ต่อสักอึดใจ เข้าตำหนักเปลี่ยนชุดออกจากวังทันที

ขันทีเฒ่าตามมาถามอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทกำลังจะเสด็จไปไหน ให้คนนำทางก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หยุดฝีเท้าเอ่ยว่า “ข้าจะเดินไปเรื่อยๆ”

ปรากฏว่าเดินมาจนถึงจวนซู

วันนี้หน้าประตูจวนซูเต็มไปด้วยผู้คน คนมาเยี่ยมคนป่วยเบียดกันจนประตูแทบพัง

ฮ่องเต้อึ้งไป

ซูเฉิงฮวนได้รับความนิยมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

รถม้าคันหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา ชายหนุ่มที่ดูอ่อนโยนก็ลงมาพร้อมกับถือพัด

นั่นน้องชายของเขา---เฮ่อหลานฉือ

ผู้ติดตามแหวกฝูงชนออกไปเปิดทางให้ เยี่ยนอ๋องก็เดินไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปก็ถูกใครบางคนหยุดเอาไว้

พ่อบ้านจวนซูกล่าวว่า “ใต้เท้าซูพักผ่อนแล้ว ไม่พบแขก ขอท่านอ๋องทรงมาเยี่ยมใหม่ในวันพรุ่งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าเยี่ยนอ๋องเปลี่ยนไปเป็นความอับอายเล็กน้อย “ใครมาเยี่ยมเขา ข้าแค่มาดูว่าเขาตายแล้วหรือยัง”

มีคนในฝูงชนพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องตรัสแบบนี้ได้ยังไง?” เสียงอื่นก็พูดสมทบขึ้น

เยี่ยนอ๋องขมวดคิ้วพูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าชอบพูดแบบนี้จะทำไม! พวกเจ้ามองเขาเป็นสมบัติ แต่ข้าไม่ได้โง่เหมือนพวกเจ้านี่”

พูดจบก็มองตรงเข้าไปในจวน สังเกตอยู่นาน ถึงได้สะบัดหน้ากลับไป

มุมมืดแห่งหนึ่ง

สีหน้าของฮ่องเต้ดำคร่ำเคร่ง

ซูเฉิงฮวนตัวดีนัก

ทำให้คนมากมายกังวลจนว้าวุ่น แม้แต่น้องชายของเขาก็รวมอยู่ด้วย

ซูเฉิงฮวนเรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง แต่กลับกลายเป็นไม่ได้ต่อเขาคนเดียว

ขันทีเฒ่าถามเบาๆ “ฝ่าบาท ต้องการให้กระหม่อมไปแจ้งไหมพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้มองไปที่คนหัวดำที่ออหน้าจวนซู หัวใจก็ราวกับอุดตันด้วยหินก้อนใหญ่ ยิ่งมองมากเท่าไรก็ยิ่งไม่พอใจมากเท่านั้น

สุดท้ายก็กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา “กลับวัง”


ในจวนซู

หนานซื่อนั่งเอกเขนกบนตั่ง ป้อนอาหารหยกทงหลิงพลางลูบหัวเบาๆ เธอรู้สึกพอใจกับสิ่งที่เห็นด้วยดวงตาสวรรค์เมื่อครู่

“นายหญิง เธอลาป่วย คนทั่วเมืองหลวงก็มาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ครั้งนี้แม้แต่เยี่ยนอ๋องและฮ่องเต้ยังมาด้วยเลย”

หนานซื่อแววตาเป็นปกติ พลิกรายงานทางการดูพลางพูดเบา “ฉันใช้เวลามากมายเพื่อเอาชนะใจผู้คน จะไม่มีผลได้ยังไง?"

หยกทงหลิงชอบจอมมารที่ดูมั่นใจอย่างนี้

แมวดำเลียคอเธออย่างเชื่อฟังพลางพูดอย่างปวดใจ “นายหญิงไม่ต้องพบหมอจริงๆ เหรอ?”

หนานซื่อยื่นมือออกไปหยิบกระจกทองแดงขึ้น

รอยบีบคอจางลงเกือบหายแล้ว หลังจากรักษามากว่าครึ่งเดือน ร่างกายก็เกือบฟื้นตัวทั้งหมด

ในคืนนั้นฮ่องเต้บีบคอเธอแน่น เกือบทำให้เธอสำลักตาย

จุดสุดยอดที่มาพร้อมความเจ็บปวดและความสุขผสมผสานปนเน แม้ว่าเล่นแบบนี้จะสนุก แต่ผลที่ตามมาก็น่าเป็นห่วง

ระหว่างการหายใจไม่ออกและความสุขสม ร่างอ่อนแอนี้ไม่สามารถทนต่อการกระตุ้นรุนแรงสองทางได้

หยกทงหลิงไม่พอใจอย่างมาก “ไม่คิดเลยว่าเขาดูไว้ตัว แต่ภายในแก่นกลับเป็นพวกซาดิสม์”

หนานซื่อเอามือเท้าคางพูดด้วยรอยยิ้ม “นายควรได้เห็นภาพเขาดูไม่จืดหลังจากที่โพล่งเรียกฉันว่า ‘เฉิงฮวน’… ต้องอธิบายสีหน้าเขายังไงดีน้า ความเจ็บปวดระคนขมขื่นเหลือทน?”

หยกทงหลิงตอบอืมออกไป

หนานซื่อกล่าวต่อ “ร่างกายท่อนล่างหลงใหลมัวเมา ร่างกายท่อนบนกลับปวดร้าว สนุกจริงๆ”

หยกทงหลิงถาม “นายหญิง เธอไม่คิดว่าฮ่องเต้คนนี้น่ากลัวหรือ? อารมณ์เขาแปรปรวน บางทีสักวันหนึ่งเขาอาจจะฆ่าใครสักคนเลยก็ได้”

หนานซื่อหลุบตาลงคลึงใบหูหยกทงหลิง “ดูท่าว่านายคงไม่เคยเห็นฉันในอดีต แม้แต่ฉันยังไม่กลัวตัวเองเลยด้วยซ้ำ ทำไมฉันต้องกลัวฮ่องเต้คนนี้ด้วย”

อืม... ดูเหมือนเรื่องนี้ตนจะแตกตื่นไปไกลเกินไปจริงๆ

คนที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือจอมมารใหญ่หนานซื่อ-เจ้าครองสิบพิภพเชียวนะ

ในยามที่เธอโกรธสามารถทำลายล้างโลก ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวไปกว่าเธออีกแล้ว หยกทงหลิงนอนบนตักหนานซื่อพยายามจินตนาการถึงความโกรธนั่น

ข่าวลือทั้งหมดที่เคยได้ยินมาในอดีตเกี่ยวกับจอมมารใหญ่ล้วนฟังจากปากคนอื่นๆ ไม่เคยได้เห็นกับตาตัวเองเลย

พวกเขาเรียกเธอว่าจอมมารใหญ่ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อขังเธอไว้ ตอนแรกเขาก็กลัวเธอมากเช่นกัน แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเจ้าครองสิบพิภพคนนี้ก็ไม่น่ากลัวอย่างที่เล่าลือกัน

หยกทงหลิงร้องเหมียวๆ สองครั้ง ออดอ้อน “นายหญิง ฉันอยากกินปลา”

หนานซื่อยื่นนิ้วออกมาแตะจมูกแมว “ตะกละจริง รู้แบบนี้ฉันให้นายกลายร่างเป็นหนูดีกว่า”

หยกทงหลิงเบ้ปาก “เป็นหนูฉันกินมากกว่านี้อีก”

หนานซื่อยิ้มลุกขึ้นไปแกะปลาให้


หลังจากพักมานานกว่าครึ่งเดือน

ร่างกายของซูเฉิงฮวนก็ดีขึ้น นางกลับไปทำงานในราชสำนักอีกครั้ง

เหล่าขุนนางเข้ามาทำความเคารพถามไถ่กันเนืองแน่น

ก่อนจะออกจากท้องพระโรงซูเฉิงฮวนซึ่งถูกล้อมหน้าล้อมหลังก็ถูกขันทีเฒ่าเรียกตัวไว้ “ท่านอัครเสนาบดีซู ฝ่าบาทให้เข้าเฝ้า”

เมื่อซูเฉิงฮวนเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ก็ได้เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมธรรมดาแล้ว เขาเดินมาที่ข้างหลังนางเงียบๆ “ซูเฉิงฮวน หายดีแล้วหรือยัง?”

เสียงใสกล่าวขึ้น “ขอบพระทัยฝ่าบาทสำหรับความห่วงใย กระหม่อมสบายดีแล้ว”

ดวงตาของฮ่องเต้หลุบลงมองเห็นติ่งหูเล็กๆ โดยเฉพาะลำคอขาวเรียวบางที่ไม่ยาวไม่สั้นจนเกินไป ผิวพรรณละเอียดสม่ำเสมอ

ภาพแนบเนื้อบ้าคลั่งในวันนั้นผุดขึ้นในความคิดเขาฉับพลัน ทั้งร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป

สาวงามที่กกกอดกันบนเตียงก็มีลำคองดงามเช่นนี้


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว