จอมไพร-1

โดย  เบนจี้/B.J./BENJE

จอมไพร

1

ขวัญใจมึนงงขณะนั่งมองผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งที่กำลังจ้องเธออยู่ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใย พอเธอนั่งนิ่งไม่ตอบโต้ อีกฝ่ายยิ่งมีท่าทางร้อนใจ

“เป็นอะไรไปลูก ตอบแม่สักหน่อยเถิด”

...แม่

ขวัญใจยิ่งสับสน เธออายุห้าสิบ ผู้เป็นแม่ตายไปหลายปีแล้ว ต่อให้เลอะเลือนแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะจำแม่ตัวเองไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แม่ของเธออย่างแน่นอน ขวัญใจอายุห้าสิบแล้วนะ จะมีแม่ที่ยังสาวอายุประมาณสามสิบได้ยังไง

“เอินเอ๋อร์อย่าเงียบแบบนี้สิลูก แม่ใจคอไม่ดี หากเจ้าเป็นอะไรไป แม่จะทำอย่างไร”

คนที่เรียกตัวเองว่าแม่ พูดออกมาอย่างลำบาก ขวัญใจเห็นเธอร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร

เอินเอ๋อร์? ไม่ใช่ซะหน่อย เธอชื่อขวัญใจต่างหาก

ชื่อที่ถูกเรียกขานเป็นชื่อภาษาจีนที่ไม่คุ้นเคย แต่กลับฟังรู้เรื่อง ขวัญใจจึงยิ่งเอะใจขึ้น

ขวัญใจในวัยห้าสิบ เกิดและโตในประเทศไทย เป็นคนแก่ที่รู้ภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษแค่งู ๆ ปลา ๆ แต่ไม่รู้ภาษาจีนเลย รู้มากสุดก็แค่คำทักทายง่าย ๆ ไม่กี่คำที่เคยได้ยินผ่าน ๆ ก็เท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะฟังภาษาจีนรู้เรื่องขนาดนี้

ขวัญใจหันมองรอบ ๆ บ้านที่แสนทรุดโทรม ดูเลวร้ายกว่าสมัยเด็กของเธอซะอีก รูปแบบการก่อสร้างไม่คล้ายลักษณะบ้านของคนไทยภาคใด ขวัญใจกวาดตามองไปจนสะดุดกับบางอย่าง

เด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนหายใจรวยรินอยู่ไม่ไกล ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำรุนแรง ใบหน้าบวมปูดจนไม่เห็นเค้าเดิม พอมองลงไปที่ขาทั้งสองข้าง หน้าแข้งข้างหนึ่งถูกพันผ้าไว้ ส่วนที่โผล่พ้นผ้านอกจากมีรอยม่วงช้ำน่ากลัวแล้ว ยังมีรอยเปื้อนเลือดให้เห็นอยู่ด้วย

ต่อให้ไม่ได้ประกอบอาชีพหมอก็ยังมองออกว่าขาข้างนั้นของเขาหักฉกรรจ์ ขาบิดเบี้ยวผิดรูปแบบนั้น ใครมองไม่ออกก็ตาบอดแล้ว

เขายังเป็นแค่เด็กเท่านั้นเอง!

“อึก!”

ขวัญใจรู้สึกปวดหัวรุนแรง เธอกุมหัวตัวเองไว้แน่น ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน รู้สึกวิงเวียนราวกับโลกหมุนอยู่พักหนึ่ง หูอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงเรียกอย่างร้อนรนของผู้หญิงอีกคน

หลี่หลิงฟางมองท่าทางเจ็บปวดของบุตรสาวแล้วราวกับใจจะขาด นางวิ่งออกจากบ้านตรงไปยังโรงหมอเพื่อขอร้องให้รีบมาดูอาการ


ขวัญใจหลับตาลงแล้วพลันก็ปรากฏภาพความทรงจำของคนอื่นหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด ความทรงจำนั้นปะปนกับความทรงจำเดิมของเธอ จนรู้สึกสับสน อาการปวดหัวรุนแรงขึ้นจนเกินจะทานไหว เธอทิ้งตัวลงนอน ลำตัวงองุ้ม มือกุมศีรษะที่ปวดร้าวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนลืมตาขึ้นช้า ๆ

เห็นเด็กหนุ่มที่นอนแน่นิ่งในม่านสายตาก็รู้สึกสะท้านใจ น้ำตาแห่งความเสียใจไหลผ่านหางตาก่อนจะหยดลง

“พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ...” เธอกล่าวพึมพำก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง


“ท่านหมอหยู เอินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่หลิงฟางถามอย่างร้อนใจ นางทำได้แค่ร้องไห้

“นางฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ ฟื้นขึ้นมาแล้วก็นั่งนิ่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้น...จากนั้นจู่ ๆ นางก็เอามือกุมหัว ท่าทางทรมาน”

เสียงถอนหายใจดังขึ้น “หัวนางกระแทก แม้เลือดไม่ออกแต่อันตรายนัก ต้องรอดูก่อนว่านางฟื้นขึ้นมาแล้วมีอาการอย่างไร”

“ท่านหมอหยูได้โปรดช่วยลูกข้าด้วย พวกเขา...ข้ามีแค่พวกเขาเท่านั้น”

ขวัญใจถูกเสียงพูดคุยที่ไม่เบานักปลุกให้ตื่น เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ หรี่ตาลงให้ชินกับแสงสว่างเล็กน้อย แล้วมองหน้าแม่ของเจ้าของร่างนี้

“เอินเอ๋อร์!” หลี่หลิงฟางเหลือบเห็นบุตรสาวลืมตาก็รีบถลาเข้าไปหา “เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหน ท่านหมอหยู!”

“ให้ข้าดูหน่อย” หมอหยูขยับเข้ามาใกล้ ถามเสียงอ่อนโยนว่า “เสี่ยวเอินยังเจ็บหัวอยู่หรือไม่”

ขวัญใจพยักหน้า

“ปวดหัวหรือคลื่นไส้ไหม”

ขวัญใจส่ายหน้า

หมอหยูถามอย่างใจเย็นอีกสองสามคำถาม ล้วนเป็นคำถามเกี่ยวกับครอบครัว อย่างรู้หรือไม่ว่ามารดาชื่ออะไร คนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ชื่ออะไร ขวัญใจตอบคำถามได้จากความทรงจำ

ดวงตาของเธอเข้มขึ้นเมื่อมองเด็กหนุ่มที่ยังนอนนิ่งอยู่

“นางไม่เป็นอะไรแล้ว อาจจะเจ็บหัวบ้าง ถ้าไม่ค่อยเจ็บแล้วให้คลึงเบา ๆ ลูกมะนาวบนหัวจะได้คลายลง” หมอหยูบอกอาการ

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลี่หลิงฟางกล่าวขอบคุณอย่างโล่งอก “ท่านหมอหยู ท่านช่วยดูอาเหวินด้วยได้หรือไม่ เขายังไม่ฟื้นเลย”

“ได้” หมอหยูตรวจอาการของอีกคน ตามตัวมีแต่ร่องรอยบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะแผลที่ขายังคงมีอาการร้ายแรง เขาคลายผ้าที่พันขาออกมาดู สีหน้าของท่านหมอไม่ค่อยดีนัก

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

“หลิงฟาง บุตรชายของเจ้าอาการสาหัสกว่านังหนูมากนัก ที่ร้ายแรงที่สุดคือกระดูกที่หัก กระดูกซี่โครงเขาหักสามท่อน กระดูกขาก็หักจนผิดรูป ครั้งก่อนข้ารักษาเบื้องต้นให้แล้ว แต่ข้าไม่เชี่ยวชาญรักษากระดูก เจ้าลองไปเชิญหมอจากกลางเมืองมาดูเถิด” หมอหยูบอกตามจริง “หากรักษาช้า ข้าเกรงขาข้างนี้ของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีก”

“ไม่เหมือนเดิม! เขาจะพิการหรือเจ้าคะ” หลี่หลิงฟางแทบสิ้นสติ

“หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีก็คงจะเป็นเช่นนั้น”

ขวัญใจกำมือทั้งสองข้างแน่น เขายังเด็ก พี่ชายของเธอยังเป็นแค่เด็กสิบสี่ปี พวกมันถึงกับทำร้ายเขาจนเกือบพิการ

หมอหยูตรวจอาการแล้วก็จากไป ไม่รับเงินแม้อีแปะเดียว ครั้งที่แล้วที่มารักษาให้ก็เหมือนกัน เนื่องจากเขารู้สึกเวทนาก็เลยไม่ยอมเรียกเก็บเงินค่ารักษา


ขวัญใจได้รับความทรงจำของเด็กน้อยวัยสิบสองปีนามลู่เอิน ไม่แน่ใจว่าตัวเองในโลกเก่าตายแล้วมาเกิดใหม่ หรือวิญญาณหลุดเข้าร่างคนอื่น

แต่หลังจากทบทวนดูแล้ว ขวัญใจคิดว่าที่โลกเก่า เธออาจจะตายไปแล้วเพราะขวัญใจในวัยห้าสิบไม่ได้มีสุขภาพที่แข็งแรงนัก ตรากตรำทำงานมาตั้งแต่เด็ก งานหนักงานเบาล้วนไม่เกี่ยง ส่งเสียตัวเองจนเรียนจบได้อาชีพที่ดี พอมีเงินเก็บก็เปิดร้านอาหารเพราะชอบทำอาหาร ตั้งแต่เช้าจรดเย็นล้วนทำแต่งาน งาน แล้วก็งาน

เธอไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกเต้า พอแก่ตัวลงก็ไม่มีใครดูแล ร่างกายที่ถูกใช้งานมาอย่างหนักเริ่มประท้วงด้วยอาการเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ยันเรื่องใหญ่อย่างกระดูกทับเส้นประสาท แล้วเบาหวานกับความดันก็ตามมา แต่ถึงอย่างนั้นขวัญใจก็ยังคงเปิดร้านขายอาหารต่อไป

ความทรงจำสุดท้ายของเธอคือ เอนหลังลงหลังจากเก็บร้าน ไม่แน่ว่าตอนนั้นเธออาจสิ้นใจแล้ว ยังดีที่ไม่มีความทรงจำตอนตายที่เจ็บปวดมากนัก นับว่ายังพอมีบุญอยู่บ้าง

พอคิดดี ๆ แล้วเธออาจจะมาเกิดใหม่เป็นลู่เอินก็เป็นได้ และเพราะหัวกระแทกอย่างแรงเลยทำให้ระลึกชาติตอนเป็นขวัญใจขึ้นมาได้

เช่นนั้นก็จงใช้ชีวิตนี้ให้ดี ละทิ้งชื่อขวัญใจไปก็แล้วกัน

..................................................................

สวัสดีค้า มาเจอกันในเรื่องใหม่อีกแล้ว

ก่อนอื่นเลย พรายอยากจะขอย้ำเลยนะคะว่านิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ ให้ทุกคนคิดไว้เสมอว่ามันคือโลกคู่ขนานอีกโลกหนึ่ง สถานที่และตัวละครพรายจินตนาการขึ้นทั้งหมด โดยมีความจริงมาอ้างอิงเพื่อเป็นรากฐานของโลกนิยาย

เรื่องสำคัญอีกเรื่องก็คือ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่มีเนื้อหาการทำอาหาร พรายไม่มีความรู้เกี่ยวกับพืชพันธุ์ท้องถิ่นของจีน ไม่สามารถบอกได้ว่าในยุคสมัยที่เซ็ตขึ้นมามีพืชพันธุ์อะไรบ้าง ดังนั้นพรายจะผสานวัฒนธรรม พืชพันธุ์ต่างๆ ในเรื่องจะไม่ถูกจำกัด มีเครื่องเทศของไทยหรือพืชผลของต่างประเทศก็ไม่แปลก แน่นอนว่าเพื่อความไหลลื่น พรายจะเขียนเรื่องราวที่จะทำให้รับได้ไว้ การทำอาหารในเรื่องจะหลากหลายขึ้น ขอให้ทุกคนอ่านโดยมีความคิดเหล่านี้และสนุกไปกับนิยายน้า

ความเป็นมาของเรื่องนี้ก็คือ พรายหิวค่ะ พรายหิวมากๆ พรายเขียนเพื่อระบายความเครียดจากการลดความอ้วน อย่าถามว่าอ้วนแค่ไหน เอาเป็นว่ามันอ้วนจนเราต้องหันมารักตัวเองให้มากกว่านี้ พรายไม่ชอบออกกำลังกาย ดังนั้นจึงเน้นไปที่การคุมอาหาร ซึ่งมันทรมานมากกับคนที่ชอบกินอย่างพราย ดังนั้นจึงได้เขียนเรื่องนี้ออกมาค่ะ

ไม่ได้กินอย่างน้อยอิ่มทิพย์ก็ยังดี แน่นอนว่าพรายจะไม่ทนหิวคนเดียว พรายจะมาแบ่งปันกับทุกคน (จงหิวไปด้วยกันซะ)

เขียนไปเขียนมายาวซะงั้น เอาเป็นว่าใครที่กำลังลดน้ำหนักขอให้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจ จงตั้งสติดีๆ อย่าตบะแตก ระวังน้ำหนักตัวเองเอาไว้ให้ดีๆ น้า


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว