ตอนที่ 1
เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องสองต่อสอง ในบ้านพักครูห่างไกลหมู่บ้านและสายตาผู้คน
ครูหนุ่มศิลปะคนเดียวของโรงเรียนก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรทั้งสิ้น เขาใช้ร่างแน่น ๆ ในวัยฉกรรจ์ดันดิฉันเข้าติดข้างฝาไม้กระดานบ้านพักอย่างคล่องแคล่วว่องไว ไม่ต่างจากนักฟุตบอลกองหน้าเตรียมยิงประตูเต็มที่
ไม่ถามสักคำเลยว่าผู้รักษาประตูอย่างดิฉันยินดีเต็มใจให้ยิงหรือเปล่า !
อย่างว่าแหละ
สายตาคือหน้าต่างของหัวใจ ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวให้เสียเวลา งั้นแสดงว่า..สายตาดิฉันคงเปิดเผยให้เขาเห็นจนทะลุทะลวงถึงตับไตไส้พุงเป็นแน่แท้
เมื่อปากต่อปากประกบกันแน่นได้ที่ดีแล้ว ปลายลิ้นร้อนผ่าวเจ้าเล่ห์แสนเหลี่ยมก็แทรกซ้อนเข้ามาในเขตหวงห้ามของดิฉันแบบตั้งตัวไม่ทัน ด้วยความไม่เคย แต่ก็อยากลิ้ม อยากลองดูบ้าง ไหน ๆ ก็โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ไม่เห็นจะเสียหายวายปวงตรงไหน อีกอย่างเขาคนนี้ก็เป็นครูในโรงเรียนเดียวกันกับดิฉันและเรายังเป็นโสดด้วยกันทั้งคู่
ถ้าเราจะมีอะไรเด้ง ๆ โดน ๆ กันบ้างก็คงจบลงด้วยการเป็นผัวเมียตามประเพณีเหมือนคนอื่นทั่วไป ไม่น่ามีปัญหาอะไร โดยเฉพาะในวันหยุดเช่นนี้ไม่มีตลาด ไม่มีห้าง ไม่มีม่านรูด โรงแรมที่ไหนให้หลบเร้น ลูบคลำ แล้วอะไรจะดีกว่าเล่นกีฬาในร่มกันสองต่อสอง ถึงคราวมันก็ต้องมันกันบ้าง
ไม่ลองไม่มันส์ !
ดิฉันลองใช้ลิ้นแตะไปที่ปลายลิ้นของเขาซึ่งร้อนผ่าวแลบเลียอยู่ริมฝีปากของดิฉันอย่างกระหาย และจงใจอย่างยิ่ง หลังจากนั้นลิ้นของเราก็พันกันนัวเนีย ดั๊วะเดี๊ยะด้วยรสชาติอันแปลกประหลาดมันเจือจางไปด้วยกลิ่นหอมหวานปร่าแปร่งในตอนแรก ๆ เท่านั้น ก่อนจะกลายเป็นรสหวานซาบซ่านเข้าไปในห้วงอารมณ์ที่ไม่เคยพบพานมาก่อน
จุ๊บ ! จ๊วบ !
เสียงเราแลกจูบกันอย่างดื่มด่ำ แม้ว่ามันจะเป็นครั้งแรกก็ตาม นั่นก็นานหลายเดือนแล้วกว่าเราจะยินยอมพร้อมใจกันให้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญในวันนี้
ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ใครเล่าจะห้ามได้ !
ลิ้นของเขาชอนไชเข้าไปสัมผัสภายในปากของดิฉันทุกซอกทุกมุมแทบจะสำลักอารมณ์เสียวแปลบแปลก ๆ สั่นสะท้านไปกับอารมณ์สวาทหวามที่ทวีรุนแรงขึ้น
มีอะไรหลายอย่างในร่างกายเราเปลี่ยนไปทันที !
ร่างของเราทั้งสองกอดรัดกันกลมอยู่ในเงาสลัวจากแสงแดดที่ลอดเข้ามาตามรอยต่อระหว่างไม้กระดาน บางครั้งมีเสียงดังออดแอดจากพื้นไม้ที่เรายืนอยู่ มันคอยรบกวนความรู้สึกอยู่บ้างในบางขณะที่ร่างของเขากระแทกเข้ามาถี่ ๆ ลมหายใจของเขารดราดตามใบหน้าของดิฉันพลางพูดอะไรอู้อี้ในลำคอพร้อมกระชับร่างหนาหนักบดเบียดเข้ามาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า จนสัมผัสได้ว่าส่วนล่างของเขาพองโตเต็มที่แทบว่าจะมุดหัวออกมาข้างนอกได้
ทำไมมันโตเร็วมาก เลี้ยงไม่ยากเลยอ่ะ
ก็ไม่ต่างอะไรกับดิฉันหรอกค่ะ ตอนนั้นบอกได้เลยว่าทั้งกลัว ทั้งกล้า กลัวคนเห็น กลัวแม่พ่อด่า กลัวเจ็บ กลัวมีลูก สารพัดความกลัวที่จะสรรหามาให้ตัวเองได้กลัว
แต่ในที่สุดความกลัวก็หายวับไป เหลือแต่ความกล้าบ้าบิ่น เพราะในความกล้านั้นย่อมมีอะไรดีตอบแทนให้เสมอ
ก็ขอแค่ ความเสียว ความสยิวเท่านั้นพอ !
จะไม่เสียวยังไงไหว ในเมื่อปลายลิ้นของเขาไม่เคยหยุดการกระทำอันช่ำชองนั้นเลย แลบเลียอย่างเอร็ดอร่อยบนหน้าผากที่ยังไม่เคยมีชายใดแตะต้องแล้วตวัดฉับมาที่หัวคิ้วทั้งสองข้างอีกต่างหาก
เกือบนึกว่าเขากำลังตวัดปลายพู่กันวาดรูปเสียอีก
จากนั้น...ชายหนุ่มที่ไม่เคยมีทีท่าในเรื่องแบบนั้นเลยก็เลื่อนริมฝีปากผะผ่าวลงไปหา
ติ่ง !
ดิฉันหันข้างให้เขาอย่างลืมตัว นั่นช่วยให้เขาได้ร่ายมนต์สวาทได้สะดวกขึ้น ดูดติ่งซ้ายย้ายมาติ่งขวาได้ถนัดถนี่ แรงลิ้นชายหนุ่มเหมือนแรงลมที่โหมไฟกำหนัดให้ปะทุขึ้นทั่วสรรพางกายสาว ไม่เว้นแม้รูขุมขนใด ๆ เลย
ภาพต่อจากนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น แม้หลับตาสนิทแน่นอย่างไรก็ตาม...เหมือนมันเพิ่งผ่านไปหยก ๆ
*******
ดิฉันเป็นครูสอนเด็กอยู่ที่โรงเรียนชนบทอันห่างไกลความเจริญ อยู่ท่ามกลางกลิ่นควันและดงหญ้าคาป่าไผ่ที่ประกอบขึ้นด้วยคำเปรียบเปรยแสนหดหู่จากคนภายนอกว่า
“บ้านนอก “
นับย้อนหลังไปคราวนั้นเป็นเวลาประมาณ 3 ปีเศษที่ดิฉันคลุกคลีอยู่กับสายตาซื่อใส ไร้เดียงสาของเด็กน้อยลูกหลานชาวนา ชาวไร่ซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวโยงสัมพันธ์เป็นเครือญาติทั้งโดยสายเลือดและโดยการแต่งงาน สืบสานกันมานานเนิ่น
ครั้งแรกที่ดิฉันตัดสินใจเข้ามาทำตัวมอมแมมบนถนนสายฝุ่นเพียงหวังขอเป็นทางผ่านสักระยะหนึ่งเท่านั้น หากสบโอกาสเหมาะเมื่อใดก็จะรีบเผ่นข้ามไปสู่ถนนสายใหม่ที่ดีกว่าโดยไม่ลังเล
แต่ในที่สุดแล้ว…
วันเวลาที่ผ่านมาเมื่อโอกาสเหมาะได้ยื่นมือมาถึงดิฉันแล้วก็ตาม แต่ดิฉันกลับปฏิเสธอาชีพใหม่ที่สะดวกสบายกว่านั้นอย่างไม่ใยดี
ด้วยอุดมคติหรืออุดมการณ์สูงส่งอันใดก็หาไม่ เพียงแต่ดิฉันพอคิดได้ว่า วิถีชีวิตประจำวันที่สัมพันธ์อยู่กับผู้เยาว์วัยทั้งหลาย ทำให้ดิฉันได้กลับไปมองย้อนหลังถึงฤดูกาลต่าง ๆ ที่พัดผ่านชีวิตดิฉันไปปีแล้วปีเล่า มันหว่านโปรยความสุขมาให้
บางครั้งยังทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดให้ต้องจดจำ
ใช่แล้ว...
วันนี้ดิฉันอยู่กับความทรงจำอันแหว่งวิ่น
ดิฉันทนเจ็บปวด ขมขื่นกับเรื่องหัวใจของตนเอง...อันเนื่องมาจากสิ่งที่เรียกว่าความรัก...รอยสวาทที่ไม่เคยจางหาย....
สิ่งเยียวยาหัวใจคือภาพเหล่านี้ที่ห้อมล้อมทุกวี่วัน...
เมื่อถึงยามเช้าตรู่ของชนบทอันห่างไกลสังคมเมือง ตามถนนไม่มีไฟฟ้า รถราแล่นพลุกพล่านและเสียงจอแจของผู้คน นอกจากดวงตะวันสาดแสงสีเงินยวงฉายฉานอาบขอบฟ้าและท้องทุ่งสงบงาม พร้อมกับเสียงขับขานของไก่วิเวกแว่วมาแต่ไกล
ดิฉันได้ซุกซ่อนหัวใจเงียบเหงากับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมรอบตัวซึ่งเป็นโอสถขนานเอกที่อาจเยียวยาความเจ็บปวด ชอกช้ำลงได้บ้าง.......
ภายในบ้านพักรังสวาทในคราวนั้น เงาสลัว ๆ ของแสงแดดใกล้เที่ยงวัน เสียงนกกระจิบร้องเจื้อยแจ้วอยู่บนกิ่งมะม่วงหน้าบ้าน เช่นเดียวกับครูหนุ่มสาวทั้งสองยังเล่นกีฬากันอยู่อย่างเพลิดเพลิน
เขาเดินไปแนบนัยน์ตากับรอยแตกของฝาบ้านพักตามคำขอร้องของดิฉัน เพื่อความสบายใจว่าไม่มีใครมาแอบมองอยู่แถวนั้น
“ไม่มีใครมาสนใจเราหรอก เรื่องของเราสองคน” เขาเอ่ยเบา ๆ เพื่อให้ดิฉันคลายความวิตกกังวล
“เป็นไปได้หรือที่ไม่มีใครสนใจเลย”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ก็คนรักกันอยู่ด้วยกันแค่สองคนเท่านี้จะมีอะไร....”
“นั่งคุยกันธรรมดางั้นหรือ”
“ไม่ใช่นักเรียนอนุบาลสักหน่อย...มันต้องนอนแก้ผ้ากอดกัน จูบกันแบบนี้...คนถึงจะเชื่อ...ฮ่า ๆ ๆ ๆ ”
“เย ๆ...” ดิฉันร้องรับเบา ๆ ในใจเท่านั้น
เขาโถมร่างพร้อมมัดกล้ามเป็นหลั่น ๆ เข้ามากอดดิฉันเป็นการใหญ่ ใช้ลำตัวหนาและแข็งแกร่งไปทุกสัดส่วนกดให้ดิฉันนอนราบกับพื้นที่นอนบาง ๆ และหมอนเล็ก ๆ เพียงใบเดียวที่รองรับอยู่ข้างล่าง คงไม่สะดวกเท่าไรนักกระมังถ้าจะทำอะไรกันมากไปกว่านั้น ฉันคิด
แต่เขาคงไม่คิดหยุมหยิมเหมือนฝ่ายหญิงเป็นแน่แท้ ทุกคำตอบของเขาอยู่ที่การกระทำ ชายหนุ่มในวัยไม่ถึงสามสิบและเคยผ่านผู้หญิงมาบ้างตามประสาวัยหนุ่ม แต่วันนี้ไม่เหมือนวันที่ผ่านมา เขาอยากทำในสิ่งที่เขาปรารถนาและด้วยความเต็มใจที่สุด
เพราะเขาก็รักหญิงสาวเช่นกัน
“ผมอยากมีเมียเป็นครูครับ คุณครูคนสวย” เขาก้มไปกระซิบใกล้ ๆ หูครูสาวที่มีรอยยิ้มพรายอาบใบหน้าตอบรับอย่างเหนียมอาย
“จะ..จะดีหรือค่ะ”
“นั่นสิ ถึงต้องลองไงล่ะ”
“ไม่ใช่หนูทดลองยานะคะ”
“ไม่ใช่ทดลองอย่างนักวิทยาศาสตร์”
“แล้วแบบไหนกันล่ะ พ่อนักทดลอง”
“แบบคนจะเป็นผัวเมียกันตลอดไปยังไงล่ะ”
“วู๊วววว....” เสียงซู๊ดปากดังอยู่ในลำคอของหญิงสาว
ถึงกระนั้น
หญิงสาวก็ยังพยายามเบี่ยงอกอวบอิ่มขาวสว่างหลบจากใบหน้าของเขาในท่าตะแครงข้าง ใช้ฝ่ามือทั้งสองปิดยอดเนินไว้มิดชิด แต่ก็ถูกชายหนุ่มรั้งมือขึ้นพร้อมทิ่มใบหน้าตามไปอย่างทันท่วงทีแล้วรีบงับปากเบา ๆ ไปที่หัวนมสีชมพูระเรื่อ ขมวดแข็งเป็นไตโดยไม่มีทางดิ้นหลุด
เขาแตะลิ้นสากกระด้างละเลงเลียไปรอบตุ่มเล็กอย่างพิถีพิถันพร้อมกับดุนลิ้นแรงขึ้นตามการขยายออกของป้านหัวนมซึ่งมันเริ่มตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัดจนคับลิ้น หญิงสาวทิ้งร่างส่ายไปมาด้วยอารมณ์ไหวหวั่น
ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็เลื่อนลงไปหาส่วนล่างของหญิงสาวที่หนีบต้นขาไว้อย่างแน่นเหนียว สะโพกกลมผายเกร็งลงไปถึงต้นขาอ่อน ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นว่าคงไม่ใช่เรื่องหมู ๆ ซะแล้วละงานนี้
“อย่า...อย่านะ..”
คล้ายเสียงร้องห้ามดังก้องอยู่เต็มรูหู แต่มันก็เหมือนยิ่งยุให้ความกระสันอยากเป็นผัวของหญิงสาวมีมากขึ้น จนไม่อาจได้ยินอะไรอีกต่อไป นอกจากเสียงเต้นของหัวใจตัวเองที่ไม่ต่างจากกลองศึกดังระรัวเป็นกราวใหญ่
ด้วยท่านั่งใกล้ขอบที่นอนโดยมีร่างหญิงสาวนอนหงายอยู่แค่คืบ เขาก้มลงประกบปากอวบอิ่มเผยอรอของหญิงสาวไว้อีกครั้ง แต่คราวนี้บดไว้เพียงเบา ๆ ในขณะใจของเขาจดจ่ออยู่ที่สัดส่วนความสาวแห่งใหม่ที่แสนอร้า
อร่ามและวาบหวามใจยิ่งนัก
เขาป้ายฝ่ามือสัมผัสเนินไศลงามไปพร้อม ๆ กันทั้งสองเต้าซึ่งกระเพื่อมสั่นน้อย ๆ อย่างน่ารัก น่าใคร่ กลิ่นหอมจากกายสาวช่างเย้ายวนใจเหลือคณา เคล้าคลึงอย่างมันเขี้ยวราวกับจะขยี้ขยำให้แหลกคามือ ผิวเนื้อเนียนผ่อง ครัดเคร่งราวจะแตกปริ
ในขณะที่อีกมือหนึ่งเลื่อนขยับย้ายเป็นขาตั๊กแตนย่างเหยาะลงไปที่รอบสะดือเนื้อแน่นตึงราวดอกบัวตูม แม้จะรู้สึกหยุ่น ๆ ซ่อนอยู่ข้างในก็ตาม ค่อย ๆ ลากนิ้วผ่านลงไปเนินมักกะสันอันล่ำลือ ถึงความมหัศจรรย์บรรดามี ความอุ่นหรือความร้อนไม่อาจรู้ได้ที่มันกระฉับกระเฉงไปทุกส่วนสัด สะโพกมหึมาของหญิงสาวที่เคยขยับเพียงเบา ๆ ก็เริ่มส่ายสาละวนเป็นจังหวะชะชะช่าบอกถึงความปรารถนามากขึ้น
ภายในอุโมงค์ลึกลับมีแรงดูดดึงอย่างมหัศจรรย์ กลีบนิ่มเนื้อบางเบาเหล่านั้นกระตุกเต้นเป็นจังหวะเข้ากับแรงนิ้วของเขาที่แหย่แยงเข้าไปเบา ๆ จนรู้สึกถึงความหนึบหนับ ๆ ซึ่งแล่นซ่านไปทั่วไขสันหลังแทบจะไม่ทนมันอีกต่อไป
“โอ๊วววว..แม่นางคนสวยของข้า”
เหมือนเติมกำลังใจให้เขาอีกหลายร้อยเท่า
“กูมาถูกทางแล้วเว้ย”เขาเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง
ฝ่ามือที่เคยจับพู่กันและดินน้ำมันสอนนักเรียน บัดนี้ มันกำลังทำหน้าที่ของความเป็นสามีให้หญิงสาวสวยคนรัก ได้คืบคลานลงไปบนเนินโหนกโคกทุเรียนร้อยล้านของครูสาวร่วมโรงเรียนเดียวกัน
รอยแยกขมุกขมัวใต้ท้องน้อยของหญิงสาวทำให้เขาย่ามใจนักที่จะฉีกพลูทุเรียนให้อร่อยเต็มคาบเสียที อุตส่าห์หักห้ามใจมาหลายปีดีดัก
นิ้วมือกางออกสัมผัสผ่านดงหญ้าพญาไฟของสาวน้อยนุ่มสลวยคล้ายเส้นไหมนับพันนับหมื่นเส้นซึ่งพลิ้วไหวไปตามแรงสัมผัสแผ่วของเขายิ่งกว่าการถนุถนอมใด ๆ เนื้อเนินเป็นสันงามสองข้างไม่ใช่คูเมืองโบราณ แต่มันคือคูเนื้อสาวคนสวยฟูฟ่องขึ้นมาเต้นตุ๊บตับพร้อมกับหลั่งสายน้ำเมือกลื่นเป็นยางเหนียวซึมซับออกมาเลอะง่ามนิ้วจนเหนียวหนืด ส่งกลิ่นหอมกำหนัดหนักออกมาเย้ายวนจนเขาสั่นสะท้านแทบทำอะไรไม่ถูก
“โอ้วววว...” หญิงสาวครวญครางในลำคอ “ไม่เคยเสียวอะไรอย่างนี้มาก่อนเลยจ้า โอ๊ววว..”
“ขนนุ่มดีจังครับ ดกสลวยเป็นเงางาม”
“ฮื่อ..โอ๊ววว”
เจอะ! แจะ! ๆ ๆ ๆ ๆ
“นุ่มขนาดไหนเหรอ”
“นุ่มยิ่งกว่าพรมเปอร์เซียร์แหละ”
“ฮึ! ว่าไปโน่น...แรงอีกนิดก็ได้...”
“เรามีเวลาโดนกันตลอดวัน ตลอดคืน” เขายิ้มให้หล่อนด้วยแววตากระสันเช่นกัน
เจอะ! แจะ! ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงดังเบา ๆ ตามแรงชักเข้าออกของนิ้วมือซึ่งมันทำให้ความเป็นชายของเขาแข็งตัวเต็มที่จนรู้สึกปวดหมุบ หมับไปทั่วท่อนเอ็นมะเมื่อมโดยเฉพาะบริเวณรอยหยัก ๆ แห่งขุนเขาศิวลึงค์ มันคอยผงกหัวขึ้นลงตามแรงหายใจของเขา
เส้นเลือดกระสันมันได้ไหลมารวมหล่อเลี้ยงแท่นเจาะน้ำมันประจำตัวเขาให้คัดแข็งพร้อมจะใช้งานได้เต็มสตรีมที่มี
แต่เขาก็พอรู้ว่าโมงยามนั้นยังมาไม่ถึง..
“ฮิ..ฮะ..”หญิงสาวรู้สึกยั้งปากไว้ทันหรือไม่ไม่แน่ใจ เพราะประตูของหล่อนพร้อมแล้วสำหรับการสังหารลูกโทษของเขา
“แรงกว่านั้น...กว่านั้นก็ได้ค่ะ.....”
ชายหนุ่มสอดสองนิ้วลงไปลึก ๆ แหวกว่ายระหว่างซอกกลีบกุหลาบสาวซึ่งรัดติ้ว ๆ เหมือนจะไม่ยอมคลายตัวเอาเสียเลย จากนั้นแล้วงอนิ้วเป็นตะขอค่อย ๆ ไถถากลากขึ้นมาหาฝั่งช้า ๆ อย่างใจเย็นและระวัดระวังเต็มที่ กระทั่งจรดหัวนิ้วมือที่เตรียมรับอยู่ปากถ้ำโดยมีติ่งสวาทสั่นกระดิกดิ้นอยู่ระหว่างกลางนิ้วทั้งสาม
เขาเขี่ยแตเล่นและวนปลายนิ้วไปรอบ ๆ ระหว่างเขตหวงห้าม พร้อมกับกลืนน้ำลายเหนียวหนับลงลำคอเหมือนตกอยู่ในการทรมานแสนสาหัส
ทันทีที่มือของหญิงสาวคว้าจับไปที่แท่นเอ็นร้อนผ่าวและแข็งไม่ต่างจากสากเหล็ก ร่างบางสะท้านไหวเล็กน้อยเพราะความไม่เคยจับ ไม่เคยโดนมาก่อน กระชับมือรูดหนังยับ ๆ ย่น ๆ เป็นมันขึ้นลงสองสามครั้งก็ทำให้หัวใจหล่อนพองโตขึ้นอีกครั้ง เมื่อชายหนุ่มส่งเสียงร้องราวกับจะขาดใจ
“ซี๊ดดด..เสียวดีจังที่รักจ๋า มือนุ่มน่ารักมาก ซี๊ดดด”
“มันใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง โอ้วววว”
หล่อนไม่นึกหวั่นกลัวอะไรอีกแล้ว เมื่อชีวิตเป็นของเรา เราก็ควรใช้มันให้เต็มที่โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และไม่กระทบกับหน้าที่การงาน
ชายหนุ่มขยับกายเปลือยเปล่าออกไปยืนพิงฝาโดยมีหญิงสาวในผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าพร้อมจะดูดดื่มและลิ้มเลียเจ้าโลกของเขาอีกครั้ง หญิงสาวจ่อปากเข้าใกล้หัวบานซึ่งผงกรับอย่างเชิญชวน
แต่ทว่า, ยังไม่ทันได้แลบลิ้นสีชมพูอ่อน ๆ ออกมาด้วยซ้ำ ทั้งสองถึงกับชะงักร่างราวกับถูกสาป
เมื่อมีเสียงรถมอเตอร์ไซด์ดังแถ๊ด ๆ แว่วมาแต่ไกล...ยังไม่แน่ใจนักว่าเป็นรถของใครกันแน่
เร็วเท่าความคิด ทั้งสองรีบคว้าผ้าผ่อนมาปิดกายให้เรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว โดยคิดว่าอาจเป็นเพื่อนครูคนใดคนหนึ่งทีมีธุระด่วนจึงได้เข้ามาโรงเรียนในวันหยุด..
แต่แล้ว เสียงเครื่องยนต์นั้นก็ขับผ่านเลยไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วพลันเสื้อผ้าก็หายวับไปทันท่วงที เหลือแต่กายเปลือยเปล่าที่เม็ดเหงื่อยังส่องแสงพราวพรั่ง ต่างผวาเข้าหากันด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทาเหมือนผีเข้าสิงอีกครั้ง
“รถใครเหรอ”
“น่าจะเป็นรถกำนัน”
“เดี๋ยวก็วกกลับเข้ามาในโรงเรียนอีก”
“ไม่มาหรอก คงไปบ้านเมียน้อย”
*****
ดิฉันพยายามลบภาพในวันนั้นออกไปจากความทรงจำ แต่ว่า มันยิ่งกลับชัดเจนมากยิ่งขึ้นคล้ายกับจ้องทรมานดิฉันให้แหลกเป็นผุยผงไปกับรสสวาทในคราวนั้น
เถอะ..!..
ถึงอย่างไรรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กน้อยบ้านป่ายังชโลมลูบหัวใจอันเดียวดายของฉันใช้รื่นรมย์ขึ้นมาได้บ้าง พวกเขาเปรียบเสมือนดอกไม้สีขาวที่กำลังบานสะพรั่งในสวนเดียวดายของดิฉัน
วัยเด็กคือวัยที่กำลังผลิดอก ออกใบที่ยังอ่อนต่อสายลมและแสงแดด มองโลกด้วยสายตาซื่อใส บริสุทธิ์ ผูกพันกับผู้ผ่านมาและผ่านไปด้วยความรักและศรัทธาไม่มีวันแปรเปลี่ยน
เสียงกลองยามใกล้เที่ยงดังกังวานมาจากวัดป่าวิเวก เป็นสัญญาณศักดิ์สิทธิ์บอกถึงกาลเวลาที่กำลังผ่านไปอย่างเงียบเชียบ
แต่ทว่า โหดร้ายยิ่งนักที่มันกัดกินชีวิตของสรรพสัตว์ให้เหลือน้อยนิดลงไปทุกขณะ...
หัวใจดิฉัน
ไม่ใช่หิน
ไม่ใช่กรวดทราย
เคยรู้สึก...สมหวัง
และ...ผิดหวัง
สุข ทุกข์อยู่กับกาลเวลาที่เคลื่อนผ่าน..
ภาพของครูหนุ่มคนนั้น “พรายยุทธ์”ที่ดิฉันไม่อยากจดจำชื่อของเขาลอยเข้ามาในความทรงจำของดิฉัน จากเงาสลัวเลือนกลายเป็นชัดเจน แจ่มใสขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับเจ้าของภาพนั้นยังยิ้มกริ่มอยู่ตรงหน้า
ตรงหัวใจฉัน..
เราทั้งสองได้มาพบกันโดยบังเอิญหรือมีใครลิขิตไว้แล้วตามความเชื่อเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ก็ตาม
เขาถูกย้ายให้มาสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ สิ่งต่าง ๆ ที่ตามมาไม่ใช่ความบังเอิญ หากเกิดจากความช่วยเหลือ ดูแลกันตามหน้าที่ซึ่งดิฉันไม่เคยหวังผลรางวัลตอบแทนใด ๆ หวังอยู่ย่างเดียวว่า ในความเป็นส่วนตัว เราทั้งสองคงมีโอกาสพิเศษได้ดูแลเอาใจใส่กันและกันไปตลอดชีวิต
ดิฉันเคยนั่งหลับตาถึงอนาคตอันไม่ไกล ความฝันทั้งหมดนั้นต้องกลายเป็นจริงสักวัน หากหัวใจเราทั้งสองได้คล้องคลอกันไปตลอดชีวิตโดยไม่ยอมแพ้กับกาลเวลาแม้ผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม
ถ้อยคำสุดท้ายของเขายังแว่วอยู่ในใจ
“ แม้ผมจะจากไปเพียงร่างกาย แต่หัวใจยังอยู่กับคุณเสมอ“
“ ค่ะ…ขอให้จริง…“
“ระยะทางแม้ห่างไกลก็ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของพี่ที่มีต่อน้อง”
“เช่นกันค่ะ...นานเท่าไรน้องก็จะรอพี่...รออยู่ตรงนี้...ตรงที่เราเคย...รักกัน...ได้กัน..ที่นี่....”
แต่แล้ว…มัน...ไม่ใช่อุปสรรคแน่หรือ..!
เขาขอย้ายไปสอนโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดบ้านเกิดของเขา เพื่อเรียนต่อระดับสูงในช่วงวันหยุดและมุ่งหน้าขยับตำแหน่งสูงขึ้นเป็นผู้บริหารในวันข้างหน้า
ดิฉันยินดีสำหรับอนาคตอันสดใสบนเส้นทางหน้าที่ การงาน แต่แอบร้องไห้อยู่คนเดียว…
****
ตอนนั้นดิฉันจำได้ดีทีเดียวกับเหตุการณ์ในกลางวันแสก ๆ มันเป็นภาพสวยสดงดงามที่ไม่เคยลบเลือนไปจากสมองของดิฉันเลย...
ในบ้านพักยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของความรัก เสียงหัวใจกระซิบกระซาบยังไม่จางห่างหาย
หลังจากเสียงรถมอเตอร์ไซด์กำนันลับหายไปแล้ว เราดื่มน้ำกันคนละแก้วแก้กระหายจากการเสียเหงื่อไปมากมาย
จากนั้น เขาก็ออกคำสั่งเฉียบขาดให้ดิฉันรีบเปลื้องผ้าออกโดยเร็ว เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะมีใครมาขัดจังหวะความสุขอีกหรือเปล่า ซึ่งดิฉันก็รีบปฏิบัติตามโดยเร็วเช่นกัน
บางครั้ง ความสุขเราต้องรีบตักตวงให้ทัน ไม่งั้นมันอาจโบยบินผ่านเลยไปจนคว้าไว้ไม่ทัน
โอ..เจ้าประคุณเอ๋ย..เขาช่างแข็งแกร่งราวกับนักรบ โรมันเสียเหลือเกินในยามนี้
เขายกร่างของดิฉันโดยหันหน้าเข้าหากันขึ้นด้วยแรงมหาศาล ฉีกขาดิฉันถ่างออกเต็มที่ไปวางคีบไว้ระหว่างเอวสองข้าง เขาเดินบนลำแข้งที่แข็งแรงและโยกลำตัวไปมาหาจุดสมดุลระหว่างเราทั้งสองก็ไม่เชิงนัก เดินหาจุดที่บ้านพักสั่นยวบ ๆ น้อยหน่อยมากกว่า
“เราจะขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกัน” เขาบอกอย่างมั่นใจ เมื่อเสียงลั่นออดแอดใต้เท้าเบาลง
“โอ๊ววว... ๆ ๆ..” ดิฉันคิดว่าปล่อยเสียงร้องและปล่อยอารมณ์เต็มที่ อย่างมากก็แค่นกเท่านั้นที่จะได้ยิน
แล้วท่อนเอ็นเท่าลำแขนและแข็งโด่เด่รองอยู่ใต้ก้นของดิฉันก็ผงกขึ้นมาจ่ออยู่ปากถ้ำเมืองลับแลซึ่งเปียกแฉะด้วยน้ำเสี่ยนอีกระลอก เขาใช้มือจับเอวของดิฉันยกเฉียงขึ้นเล็กน้อยแล้วบรรจงพุ่งเข้าหาปลายหยัก ๆ รองรับอยู่ข้างล่างอย่างพอดิบพอดีแทบจะไม่ผิดเพี้ยนไปแม้แต่องศาเดียว แม้จะมีน้ำหล่อลื่นนำทางไว้แล้วก็จริง แต่เพราะความใหญ่ยาวของความเป็นหนุ่มของเขาทำให้ดิฉันต้องแขม่วท้องตามไปเป็นจังหวะที่มันค่อย ๆ มุดหัวมหึมาเข้าไปโดยที่ดิฉันไม่อาจดิ้นหนีไปไหนได้เลย
จำเป็นต้องเขมือบเอาไว้ทั้งดุ้น !
ดิฉันผวาเข้ากอดใต้วงแขนของเขาเหมือนตัวจะปลิวหายไปกับแรงที่มันชำแรกลึกเข้าไปอยู่ในร่างกาย ความเจ็บปวดที่มันเคยมีแต่ตอนแรกได้หายไปเสียสิ้น ทั้งหมดที่เหลืออยู่ในขณะนี้คือความเสียว สยิว...มัน..ไม่ผิดเลยที่คนเราจะเยกันแล้วต้องพบกับอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้...
“มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง...”เขาบอกดิฉัน
“คนฮิกันอย่างนี้หรือคะ เป็นศิลปะ”
“ใช่”
“ศิลปะสัปดนละไม่ว่า”
ดิฉันอดแย้งไม่ได้ แต่เขาก็ไม่โต้ตอบอะไร เอาแต่อธิบายด้วยการโลมลูบไปตามเนินเนื้อของดิฉันอย่างหลงใหล มันก็ยิ่งทำให้ดิฉันปั่นป่วนมากขึ้น
จากที่เคยปล่อยให้เขาใช้กำลังฮึกหาญอยู่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็เปลี่ยนเป็นขยับสะโพกตัวเอง แอ่นโหนกงามขึ้นเล็กน้อยพอให้เข้ากับจังหวะที่เขาชำแรกเลื้อยหลุดเข้าจมมิดด้ามมหึมาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสง่างามเยี่ยงนักรบโดยแท้
“สุดยอดเลยครับ เมียจ๋า..มันดีมากเลย..”
“จ้า ที่สุดในชีวิตเช่นกัน...โอ๊ววว...”
“ผมเสียวมาก มีความสุขมากครับ ซี๊ด ๆ ๆ ๆ”
พลั่บ ! พลั่บ !
เสียงโหนกเนินทั้งสองกระทบกันเป็นจังหวะถี่กระชั้นพร้อมกับเสียงหายใจกระเส่าและลมหายใจแรงรดเพิ่มองศาเดือดขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ยอมให้จังหวะสอดประสานกันหลุดลอยไปง่าย ๆ ในขณะย่อตัวลงบนที่นอน เขาใช้หัวเขาทั้งสองข้างประคองร่างของหญิงสาวไว้อย่างแน่วแน่ พอร่างนั้นทอดลงไปพอดีแล้วเขาจึงกระดกก้นเล็กน้อย กระชับมันปักลงไปแบบเน้น ๆ อีกครั้ง ซึ่งกลีบกายสาวเจ้าเองก็ยังขมวดขมิบเสียวสะท้านไปทั่วทรวงในแทบจะแหลกละลายไปทั้งกายใจ
สักครู่หนึ่งเขาตัดสินใจถอนมันออกมาจากร่างงามของหล่อนโดยไม่ถามไถ่
พรืด ! พล๊อค ! เสียงดังบ่งบอกถึงความฟิตเต็มร้อย
“..ออกทำไมเล่า..”
“เดี๋ยว..”
เขาคว้าผ้าเช็ดตัวขึ้นมาสะบัดเล็กน้อยท่ามกลางความสงสัยของดิฉัน นกกระจิบยังครวญเพลงเจื้อยแจ้วอยู่บนกิ่งไม้หน้าบ้านพักอย่างร่าเริง ไต่เต้นท่ามกลางสายลมยังโบกโบย พลิ้วแผ่ว
เขาค่อย ๆ เช็ดน้ำเขื่อนกระเสียวระหว่างร่องสวนหญ้าของดิฉันอย่างบรรจงแล้วก็เช็ดจากหัวถลอกมันมะเมื่อมของตัวเองอย่างใจเย็นเช่นกัน
ดูเขาช่างใส่ใจราวกับเป็นงานศิลปะจริง ๆ
ชายหนุ่มขยับเอวเข้าหาร่างที่นอนอล่างฉ่างบนที่นอนซึ่งยับยู่ยี่เกินบรรยาย รอยหินแตกเหิบเนินสงวนมีริ้วรอยขมุกขมอมของปอยเส้นไหมเปียกฉ่ำเม้มมิดเข้าหากันสนิทแน่น แม้จะร่ำศึกมาหลายยกก็ยังเต้นตุ๊บติ๊บราวม้าสาวคึกคะนองเต็มที่
พอเขาแหวกปอยขนปากถ้ำออกเล็กน้อย ดันหัวท่อนเอ็นเข้าไปเท่านั้นแหละ หล่อนเป็นต้องหลับตาปี๋
“อุ๊ย วี๊ด ว๊าย ตายแน่คราวนี้”
“มันแน่นมาก รัดมาก พี่ขยับเบา ๆ ก่อนก็ได้“
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น เต็มที่ได้เลย...โอ๊ววว...นั่นแหละใช่เลย โฮ เย โฮ เย”
ดิฉันรู้สึกใจหายวาบเมื่อตอนที่เขาถอนท่อนเอ็นออกจากตัวดิฉันซึ่งกำลังตกอยู่ในความปลอดภัยและรู้สึกอบอุ่น มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง พอเขากลับเข้ามาสอดประสานลำตัวของเราเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งถึงกับผวากอดเขาไว้แน่น
“เราจะไม่พรากจากกันตลอดชีวิตนี้ แม้มันจะเจ็บแสบเพียงใดก็ตาม”
“อึ๊บ ๆ ไม่เจ็บแน่นะ”
ดิฉันไม่ตอบ รู้แต่ว่าคล้ายกับโลกทั้งหมดอยู่ในกำมือของเรา ดิฉันไม่รอช้ารีบแอ่นสะโพกเข้ารองรับตามลีลากระชั้น กระชากของกระแสธารที่ทะลักทะลวงรุนแรงเหลือเกิน
เสียงเสียดกระแทกหนึบหนับ ๆ ลึกเข้าไปในความเป็นหญิงของดิฉันไม่ได้มีความหวั่นไหวอะไรอีกเลย เหมือนว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เมื่อฟ้าดินสั่งให้เราเกิดมาแล้ว เราก็พร้อมยอมรับทุกสถานการณ์ที่เป็นการกระทำของเราเอง
ในขณะเดียวกันความเป็นชายของเขาก็ช่างอหังการยิ่งนัก หัวถลอกล่อนมันร้อนผ่าวไม่ต่างจากหัวลูกสูบแรงสูงถลำลึกลงไปใจกลางจักรวาลซึ่งร้อนลุ่มไม่แตกต่างกัน
เราทั้งสองปล่อยให้หัวใจมันคุยกันไปพร้อมกับการเสียดสีภายในที่มันกระชับแน่นเข้า แน่นเข้า เขม็งขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด เสียงดังระหว่างเนินเนื้อเบื้องล่างที่เปียกแฉะและแรงเต้นระบำของหัวใจมันเป็นจังหวะเดียวเท่านั้นที่แสนไพเราะเพราะพริ้ง กำลังนำพาเราทั้งสองทะยานขึ้นสู่เวิ้งเวหาอันว่างเปล่า...ดุจแดนฉิมพลี
สายลมพายุแห่งความรักหรือความใคร่ก็ตามเถอะ มันได้มอบเราทั้งสองได้พบกับอิสรภาพครั้งสำคัญโดยโยนขึ้นไปในเวิ้งอากาศ ลอยละลิ่วปลิวปั่นเข้าไปในกลุ่มก้อนเมฆขาวโพลน ประดับประดาดารดาษดุจปุยนุ่นที่รองรับอยู่อย่างอบอุ่น
ไม่ช้าไม่นาน ก็มีเสียงฟ้าร้องลั่นกัมปนาทขึ้นอย่างรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง แสงไฟแรงสูงแปล๊บ ๆ แปลบปลาบฝ่าเปรี้ยงลงจุดนั้น จุดนี้ ไม่เลือกที่ ก่อนที่หยาดพิรุณขาวใสบริสุทธิ์จะเทถั่งลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน...สายน้ำเต็มปริ่มทั่วท้องปฐพี.
เราทั้งสองต่างคนต่างก็หลับเป็นตายตลอดบ่ายวันนั้น ด้วยความเหนื่อยอ่อน
****
กระทั่งกาลเวลาผ่านไป..ผ่านไป...
ดิฉันแน่ใจแล้วว่าไม่มีคำตอบจากหัวใจใครคนนั้นแน่นอน ! ดิฉันคงต้องแสวงหาคำตอบจากความรักและความเจ็บปวดอันสุดซึ้งที่บ้านพักหลังเก่าแห่งนี้ตลอดไป
จนกว่าเขาจะกลับมา เพราะดิฉันเผลอตัวเผลอใจโดนไปแล้วหลายประตูด้วยรอยรัก...รอยสวาทจากครูหนุ่มศิลปินเจ้าเล่ห์แสนกลในวันนั้น
*****