ไอ้พวกชีเปลือก ไอ้พวกชอบโชว์!
เธอด่าเขาแต่ด่าแค่ในใจเท่านั้น ขืนด่าออกไปได้โดนกดติดเตียงอีกแน่ๆ
ดมิสานอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนที่ชัชวินทร์จะกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“โทร. ไปบอกเลิกกับพี่นัสซะ”
“หมายความว่ายังไง” เธอมองหน้าเขาอย่างตกใจ
“เป็นเมียชัชแล้วยังจะไปเป็นชู้กับสามีชาวบ้านอีก”
“พูดไม่น่าฟัง”
“จะโทร. ไปดีๆ หรือจะให้ชัชส่งรูปที่รักนอนเปลือยก้นลายไปให้พี่นัสดู”
“คนบ้า!” เธอเหวใส่ใบหน้าแดงก่ำ ท่าทีเหมือนอยากจะตะกุยหน้าของเขาให้เลือดซิบ
“เร็วสิ” เขายื่นโทรศัพท์ให้เธอท่าทีเร่งเร้า
“รู้แล้ว”
“อย่าเอาตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำไปประเคนให้คนอื่นอีกเลย ตัวเองน่ะมีสามีอยู่แล้ว นั่งหัวโด่อยู่นี่ไง พี่นัสเองก็คงไม่ชอบพวกย้อมแมวขายหรอกนะ”
“ชัช!” เธอเสียงดังใส่เขาอย่างโกรธๆ
“เร็วสิ” เขาเร่งเร้าจับเธอมากอดจูบ หอมแก้มแรงๆ เธอดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขนของคนเอาแต่ใจ
“อย่ากอดแรงสิ อึดอัด หายใจไม่ออก”
“ทีเมื่อกี้บอกให้เบียดลึกๆ”
“ชัช!”
“โทร. เร็วๆ”
“ก็อย่าชวนทะเลาะสิ” ชัชวินทร์มองคนในอ้อมแขนอย่างกดดัน เขารู้ข่าวว่ามนัสวีประสบอุบัติเหตุตาบอดอยู่โรงพยาบาลเพราะพลอยใสโทร. มาเล่าให้ฟัง อีกฝ่ายร้องไห้เสียใจ เขาก็ปลอบไปตามเรื่อง แต่ยินดีจะช่วยหากเพื่อนมีปัญหาอะไร สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องทำให้ดมิสาเลิกกับมนัสวีให้เด็ดขาด โอกาสเหมาะมาถึง ช่วงที่มนัสวีอ่อนแอมากที่สุด คือช่วงที่เหมาะแก่การบอกเลิก คนที่โทร. ไปขอเลิกกับมนัสวีหน้าเสีย เธอไม่รู้ว่าเขาประสบอุบัติเหตุ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“พี่นัสพูดแปลกๆ บอกว่าเลิกกันก็ดีแล้ว อย่าให้มิจมปลักอยู่กับคนแบบพี่เลย” เธอจำประโยคของเขาได้ติดหู
“อย่าไปคิดมากเรื่องสามีคนอื่น” เขาจับคิ้วที่ผูกโบออกจากกัน เธอหันมาเหวใส่เขาเมื่อเขาจับเธอไปกอดรัดแนบแน่น
“ปล่อยนะ”
“ไปกินข้าวกัน ทำข้าวผัดปูให้กิน เห็นชอบกินไม่ใช่เหรอ”
“ไม่หิว”
“จริงเหรอ” เขาแหย่
“จริง... ไม่หิว”
“งั้นก็ตามใจ” ดมิสาอ้าปากค้าง มองตามร่างสูงไปอย่างอึ้งๆ เขาไม่คิดจะง้อเธอบ้างเลยเหรอ
คนบ้า! หญิงสาวหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ ก็เห็นร่างสูงของชัชวินทร์เดินถือจานข้าวผัดปูเข้ามาในห้องนอน กลิ่นข้าวผัดปูกับน้ำซุปไก่ต้มฟักทำเธอว้าวุ่นใจไม่น้อย แต่เชอะ! พูดไปแล้วว่าไม่อยากกิน จะกลับลำได้อย่างไรกัน
“ไม่กินจริงๆ น่ะเหรอ” คนเอ่ยถามเปิดทีวี นั่งกินอยู่ที่โต๊ะมุมห้องอย่างสบายอารมณ์
“ไม่กิน ไม่หิว!”
“กลัวอ้วนเหรอ ไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนี้กำลังพอดีเลย กอดแล้วนุ่มไปทั้งตัว” เธอเม้มปาก นอนตะแคงหันหลังให้เขา กอดผ้าห่มแน่น
หิวจัง...
เชอะ! แต่คนแบบเธอเหรอจะยอมง้อเขา
“อร่อยนะ นุ่ม หอม เนื้อปูเน้นๆ” เขาถือจานข้าวเดินมาตรงหน้าเธอ ก่อนจะตักกินอย่างแสนอร่อย
“อืม... อร่อยจริงๆ นะ”
“ไม่กิน!” คนแสนงอนพลิกไปอีกด้าน กอดผ้าห่มแน่น
“อร่อยสุดๆ ไปเลย” เขานั่งลงมาบนเตียงเบียดมาอยู่ด้านหลังที่เธอนอนหันหลังให้อยู่
“เอ๊ะ! รำคาญจริงเชียวบอกว่าไม่กินยังไงล่ะ”
“อร่อย...” เขาเดินไปหยุดยืนข้างเตียงอีกด้านตักข้าวผัดเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ดมิสาลอบกลืนน้ำลายก่อนจะพลิกไปอีกด้าน
ท้องเธอดันร้องขึ้นมาให้อับอาย หญิงสาวเอาผ้าห่มคลุมศีรษะ อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“อิ่มจัง” เขาเดินไปดื่มน้ำวางจานข้าวลงบนโต๊ะ นั่งดูทีวีสบายใจ ดมิสาแอบมองลอดใต้ผ้าห่มด้วยความหมั่นไส้
หนอย... กินจนเกลี้ยงเลย
คนอะไรแล้งน้ำใจที่สุด!
“ในกระทะยังเหลืออีกนิดนะ แบ่งเอาไว้ให้แล้ว ถ้าจะกินก็กินซะ ถ้าไม่กินจะเทให้หมาใต้คอนโดฯ มันกิน” เขาพูดลอยๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เธอผุดลุกขึ้นนั่ง ดึงผ้าห่มออก ทำปากยื่น
ดมิสาแอบย่องออกมาดูลาดเลา ไม่เห็นคนชอบแกล้งอยู่ในบ้าน หรือเขาจะออกไปข้างนอก เธอเลยเดินไปที่ประตู แต่ประตูดันเปิดไม่ออก เขาล็อกเอาไว้
“คนบ้า!” เธอเดินเข้าห้องครัว เห็นข้าวผัดปูอยู่ในกระทะกับน้ำซุปไก่ต้มฟักเขียวก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอติดๆ กันหลายครั้ง
หิวน่ะสิ ถามได้…
ดมิสากินอาหารตรงหน้าจนหมด ก่อนจะเก็บจานชามไปล้าง
“อุ๊ย!” เธออุทานเมื่อกำลังล้างจานเพลินๆ เขาก็มาสวมกอดจากทางด้านหลัง
“ที่รักกินอิ่มแล้วเหรอ” เขาหอมแก้มนวลฟอดใหญ่
“ก็เห็นว่ากินหมดแล้ว จะมาเยาะเย้ยใช่ไหม” เธอกระแทกเสียงใส่ แกล้งทำเสียงแข็งเข้าใส่เอาไว้ก่อน จะได้ไม่หน้าแตกที่แอบกินข้าวผัดปูของเขาจนหมดเกลี้ยงกระทะ
ก็คนมันหิวนี่นา...
“ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย ที่รักกินอิ่มจะได้มีแรง ชัชไม่ว่าหรอก”
“มิจะกลับบ้าน”
“ได้สิ เดี๋ยวพรุ่งนี้พาไปเก็บของ”
“เก็บของไปไหน”
“กลับบ้านชัชไง”
“ไม่ใช่ มิจะกลับบ้านตัวเอง” เธอมาจากต่างจังหวัด ปิดเทอมก็ต้องกลับบ้านของตัวเองสิ
“บ้านชัชก็เหมือนบ้านที่รักนั่นแหละ”
“มิไม่ไปบ้านที่...รักนะ”
อ๊าย... ขืนไม่เรียกเขาว่าที่รักโดนปล้ำจมอยู่กับเตียงแน่ๆ
“ชอบจังเวลาถูกเรียกว่าที่รัก”
“ไม่ได้อยากเรียก แต่โดนบังคับ” เธอหน้างอเดินหนี
“โทร. ไปบอกพ่อตากับแม่ยายชัชสิว่าที่รักต้องอยู่ทำงานตอนปิดเทอม หรือเรียนซัมเมอร์ก็ได้”
“มิไม่ชอบพูดโกหก”
“งั้นก็ไม่ต้องโกหก บอกว่าที่รักไปบ้านสามี”
“บ้าน่ะสิ!” เธอค้อนใส่คนหน้ามึน ขืนเธอไปพูดแบบนั้น พ่อกับแม่เลี้ยงได้เป็นลมน่ะสิ
“ที่รักต้องไปทำความรู้จักกับพ่อแม่สามีนะ เพราะที่รักได้ชัชแล้ว จะทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ได้”
“ห้ะ!” เธออุทาน มองท่าทีของเขาแล้วค้อนควัก ดูทำท่าเข้า ยังกับเขาเสียหายจนเธอต้องรับผิดชอบ เธอต่างหากเป็นคนเสียหาย
“จู่ๆ ที่รักก็พามิไปบ้าน พ่อกับแม่ที่รักจะว่ายังไง” ดมิสาอยากจะกัดลิ้นตัวเองนักที่ต้องเรียกเขาว่าที่รัก
โอ๊ย! มันมุ้งมิ้งไม่สมกับความหล่อล้ำของเขาเลย
ใช่! ชัชวินทร์หล่อล้ำน่าปล้ำ แต่เธอไม่เคยคิดกับเขาเกินเพื่อน เธอชอบมนัสวีต่างหากล่ะ เมื่อก่อนเธอเคยคิดว่าชัชวินทร์ชอบพลอยใสเสียอีก แต่เหตุกลับตาลปัตรเสียได้
“พ่อกับแม่ของชัชใจดีนะจะบอกให้ ถ้ารู้ว่าชัชพาที่รักกลับไปแนะนำว่าเป็นแฟน ต้องดีใจมากแน่ๆ เลย ท่านบอกว่าเรียนจบชัชต้องลงจากคานเลย จะได้มีลูกทันใช้” พูดเป็นตุเป็นตะ! เธอว่าเขาในใจ
“จะดีเหรอคะ” ผู้หญิงไปบ้านผู้ชายมันไม่ค่อยงาม ไม่รู้สิ ไปทำความรู้จักเฉยๆ ได้ แต่นี่ไปแนะนำว่าเป็นแฟน แถมยังต้องไปค้างคืนอีก
“ดีสิ ตกลงนะ” ชัชวินทร์จับศีรษะของหญิงสาว ก่อนจะกดให้เธอพยักหน้า
“โอเค ที่รักตอบตกลงแล้ว”
“แบบนี้เรียกมัดมือชก”
“ข้าวผัดปูอร่อยไหม” เขายื่นหน้ามาหา ยิ้มใส่ตาเธอ เปลี่ยนเรื่องกะทันหันจนคนฟังตั้งรับแทบไม่ทัน พยักหน้าบอกว่าอร่อยไปเสียแล้ว
“แล้วจะทำให้กินอีกนะ” เธอเดินหนี อ๊าย... ไปพยักหน้าบอกว่าอร่อยทำไมกัน ก่อนหน้าเธอเพิ่งบอกเขาไปว่าไม่กิน นี่ก็อายจะแย่อยู่แล้ว เหมือนกลับคำกลืนน้ำลายตัวเอง
“ไม่ต้องอายหรอก หิวก็บอกว่าหิว หื่นก็บอกว่าหื่น” เขาตามมาตีบั้นท้ายของเธอ ดมิสาอุทาน หันมาทำตาเขียวใส่
“อาบน้ำกันไหม รู้สึกเหนียวตัวจัง” เธอส่ายหน้าดิก เริ่มถอยหนี เขาเดินเข้าหาปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดๆ อย่างใจเย็น
“จะ... จะทำอะไรน่ะ ปลดกระดุมเสื้อทำไม”
“มีสองอย่างให้เลือก ไปอาบน้ำด้วยกันแล้วเข้านอน หรือจะเข้านอนกันเลย”
“ถ้าไปอาบน้ำก็จะเข้านอนเลยใช่ไหม” เธออ้อมแอ้มถาม หมายถึงว่าเขาจะไม่ทำอะไรเธอแล้วใช่ไหม
“อาบน้ำเสร็จก็เข้านอนเลย” ยอมแก้ผ้าอาบน้ำกับเขากับโดนเขาจับกิน แต่เดี๋ยวนะ!
“เข้านอนเลย คือนอนเฉยๆ ใช่ไหม”
“คิดว่าจะนอนเฉยๆ ได้ไหม” เขาปลดกระดุมจนหมดรัง เธอกลืนน้ำลายติดกันหลายครั้ง
“งั้นไปอาบน้ำและเข้านอนเลยใช่ไหม”
“อือ.. เข้านอนเลย” เขารับคำหลุบสายตาเจ้าเล่ห์ลงมองพื้น ดมิสามัวแต่ครุ่นคิดเรื่องการเข้านอนเลยไม่ได้สนใจ
“ว้าย!”
“สรุปว่าจะอาบน้ำก่อนใช่ไหม จะได้ไม่เหนียวตัว”
“ยังไม่ได้ตอบตกลง กำลังคิดอยู่”
“งั้นระหว่างคิดเราก็อาบน้ำไปด้วย” เขาจับเธอปลดเสื้อผ้าออกจากกาย ดมิสากรีดร้องสักพักก็สงบลง กลายเป็นเสียงครางแทน ไหนเขาว่าจะไม่ทำอะไรยังไงเล่า
“อื้อ...” เธอจิกมือกับไหล่แกร่งของเขาเมื่อโดนกดไปกับผนังห้องน้ำ ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นเพื่อแยกแย้มให้เขาสอดแทรกกายเข้าหาเป็นจังหวะจะโคน
ปากร้อนบดจูบไม่ยอมละห่าง แนบชิดเข้าหาเพื่อสอดแทรกล้ำลึก
ดมิสารทวงสัญญาจากชัชวินทร์ ก็เขาบอกว่าอาบน้ำเสร็จจะนอนกันเลยยังไงเล่า ไหงเธอถึงโดนเขากดและตรึงร่างเอาไว้ไม่ยอมห่างแบบนี้
“ไหนบอกว่าอาบน้ำเสร็จจะเข้านอนเลย”
“ก็นี่ไงเข้านอนเลย แบบนี้เรียกพาเมียเข้านอน”
“นาย เอ๊ย! ที่รักขี้โกง” จะเผลอเรียกเขาว่านายเลยต้องรีบเปลี่ยนเป็นที่รัก เพราะแค่เธอเผลอเรียก เขาก็กดลำกายเข้าหามิดเม้นจนเธอสะดุ้งเสียวซ่านไปทั้งร่าง
“แบบนี้แหละเรียกเข้านอน” เขาก้มลงมาหายิ้มใส่ตาเธอ ขณะที่สะโพกสอบยังขยับเป็นจังหวะรุกล้ำรุกรานหนักหน่วง เธอกัดปากร้องคราง จิกมือกับผ้าปูเตียงแน่น
“ไม่น่าเชื่อคนแบบนาย อ๊าย... ที่รักเลย” เรียกผิดไม่ได้โดนกดจนจมเตียง เธอมองเขาแล้วค้อนควัก
ดมิสารับรู้ได้ถึงอ้อมแขนที่กอดเธอแนบอก ก่อนที่จะหลับไปด้วยความเพลียเพราะโดนสูบพลังไปเกือบหมด
รุ่งเช้าของวันใหม่ ชัชวินทร์พาเธอไปเก็บของที่หอพัก เธอจะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะถึงเขาไม่ฉุดก็เหมือนโดนฉุดนั่นแหละ สุดท้ายก็ต้องนั่งรถไปบ้านเขาอยู่ดี
“อากาศที่บ้านชัชเย็นสบายเชียวนะ มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ด้วย”
“ไม่เคยไปราชบุรีเลยสักครั้ง” เธอเป็นคนใต้อยู่ภูเก็ต ฐานะทางบ้านปานกลางบิดามีอาชีพค้าขาย
“ก็กำลังจะพาไปนี่ไง แล้วจะติดใจ”
“อวดอ้างหรือเปล่า” เธอพูดแล้วแอบอมยิ้ม
“บ้านของชัชติดแม่น้ำ ร่มเย็น มีต้นไม้เยอะ รับรองว่าต้องชอบแน่ๆ”
“ติดแม่น้ำด้วยเหรอ”
“ใช่ครับ”
“บ้านของมิติดทะเล”
“ชัชก็อยากไปเที่ยวทะเล เอาไว้พาชัชไปกราบพ่อตาแม่ยายบ้างนะ”
“แน้... วกมาเรื่องนี้อีกแล้ว”
“อยากเจอ จะได้ฝากเนื้อฝากตัว”
“พูดเป็นเล่นไป พ่อของมิดุนะ ไปแนะนำตัวเองว่าเป็นแฟน ได้โดนยิงกบาล” เธอพูดแล้วหัวเราะคิกๆ
“ไม่กลัวหรอก อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือสิ”
“มิเหมือนเสือเหรอ”
“ก็เหมือนนะ ตอนข่วนหลังชัชน่ะ”
“บ้า!” เธอหน้าแดง นึกถึงประโยคของเขาก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร
“ชอบคิดลึก หมายถึงเวลาโกรธแล้วชอบข่วนน่ะ คิดอะไรอยู่เหรอ”
“ไม่ได้คิด” เธอเสมองออกไปชมวิวข้างทาง ใจอยากถามเขาเหมือนกันว่าเขามาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวเหรอ เพราะถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันมาหนึ่งปีแล้ว เธอก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรของชัชวินทร์นัก
“ชัชมาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว เพราะต้องมาเรียนที่นี่ เป็นบ้านเก่าของคุณแม่น่ะ ทิ้งเอาไว้นานแล้ว ถ้าระหว่างเรียนมีเพื่อนร่วมบ้านก็คงดีนะ”
แน่ะ! เขาพูดเหมือนจะชวนเธอไปอยู่ด้วย แต่นั่นแหละ ตราบใดที่เขายังไม่ชวน เธอก็อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง
“ที่รักไปอยู่ด้วยกันไหม” เธอหันขวับไปมอง หน้าตาเหลอหลา พ่อกับแม่เลี้ยงรู้ว่าไปอยู่กับผู้ชายก็โดนตีก้นลายน่ะสิ
“ที่รัก”
“ครับ” เรียกเขาแบบนี้แล้วรู้สึกเขินชะมัดเลย แถมยังรู้สึกจั๊กจี้เสียจริงๆ
“ที่รักถ่ายคลิปเอาไว้จริงๆ เหรอ ลบออกได้ไหม”
“ใครจะไปถ่ายอะไรแบบนั้นเอาไว้ เดี๋ยวหลุดขึ้นมาจะแย่”
“ก็ชัชบอกว่าถ่ายเอาไว้แบล็กเมล์เรา” เธอเปลี่ยนสรรพนามเสียงแข็งใส่เขาทันที
“พูดเล่นน่ะ”
“ชัช”
“คาดโทษที่รักเอาไว้ก่อนนะ”
“เรื่องอะไร”
“บอกให้เรียกที่รักไง”
“พามิกลับบ้านเลย”
“เรื่องอะไร”
“โกหกมิทำไม”
“ไม่โกหกจะยอมตามมาเหรอ”
“คนเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจที่สุด”
“จองที่รักเอาไว้นานแล้ว ไม่ยอมให้ไปชอบคนอื่นหรอก”
“มิชอบพี่นัส”
“คาดโทษครั้งที่สอง ถึงบ้านโดนหนักแน่ มีผัวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วยังไปรักผัวคนอื่น”
“เอาแต่ขู่”
“ไม่เคยขู่ เอาจริง เอากันจริงๆ ไม่เคยล้อเล่นเลย”
“มิจะโกรธ” เธอพูดแค่นั้น ไม่กล้าบอกว่าโกรธที่รัก
“ก็โกรธสิ ไม่เกี่ยวกับชัช ไม่ได้บอกว่าโกรธชัชเสียหน่อย”
“โกรธชัชนั่นแหละ”
“คาดโทษครั้งที่สาม”
“จะข่มเหงกันให้ได้ใช่ไหม”
“ไม่ได้ข่มเหงแบบนี้เรียกว่าแสดงความรัก”
“บ้านชัชแสดงความรักกันแบบนี้เหรอ”
“ครับ” เธอหน้าแดง อ้าปากค้างกับประโยคของเขา ดูพูดแต่ละอย่างสิ น่าตบปากนัก
“หิวไหม”
“ไม่หิว”
“แต่เรายังไม่ได้กินอะไรกันเลยนะ นี่ก็บ่ายแล้ว”
“หิวก็ได้” เธอรีบพูด เมื่อหันไปเห็นร้านไก่ย่างส้มตำข้างทาง เขาเลี้ยวรถเข้าไปเหมือนรู้ใจ เธอทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่แอบดีใจเพราะกำลังหิว ปากก็พูดไปแบบนั้นแหละ
จะไปแสดงออกได้ยังไงว่าหิว เดี๋ยวเขาก็จะหาว่าเดาใจเธอถูกอีก ยิ่งให้ได้ใจไม่ได้ ชอบแหย่เธอล้อเธออยู่เรื่อย
“สั่งเต็มที่เลยนะ ชัชเลี้ยงเอง”
“ที่รักก็ต้องเลี้ยงมิอยู่แล้ว” เธอยิ้ม เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ เธอกินจุนะจะบอกให้ จะกินให้เขากระเป๋าฉีกไปเลย
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว