โต้ง กะ มิว [ Fanfic NC17 / อ่านฟรี ]-โต้ง กะ มิว ตอนที่ ๒๐

โดย  ปรัชญา ชลายุทธ

โต้ง กะ มิว [ Fanfic NC17 / อ่านฟรี ]

โต้ง กะ มิว ตอนที่ ๒๐

บทที่ 9 : การปัดรังควานของลูกหลานขี้กลัว

บรรดาเชื้อพระวงศ์ ขันที และ นางกำนัล พากันแห่แหนมาดูพิธีกรรมปัดรังควานที่ตำหนักซูหนี่ว์อย่างคับคั่ง ปากก็ซุบซิบนินทาถึงต้นสายปลายเหตุเกี่ยวกับเรื่องนี้จนเกิดเสียงเซ็งแซ่ทั่วบริเวณ เนื่องจากน้อยครั้งนักที่วังหลวงจะมีข่าวร่ำลือเกี่ยวกับเรื่องผีสางปรากฏกายให้เห็นเช่นที่องค์หญิงลู่ไป่เหอ กับ เหล่าบ่าวไพร่คนสนิทเจอเมื่อคืน

บ้างก็เชื่อ...ด้วยการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ภายในวังหลวงแห่งนี้เป็นเรื่องปกติ จะเจอเรื่องลี้ลับบ้างก็ไม่แปลก

บ้างก็ไม่เชื่อ...ด้วยองค์หญิงลู่ไป่เหอเพิ่งประสบอุบัติเหตุจมน้ำ ร่างกายอาจยังอ่อนล้าเกิดภาพหลอนลวงตา

“อย่างไรเสียข้าก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง นอกจากองค์หญิงลู่ไป่เห่อแล้ว ทั้งซือกูกู เสี่ยวเฉิง กับ เสี่ยวหลิน ก็ล้วนเห็นผีเช่นกัน” หลี่อี้ตาอิ้งมั่นใจในสิ่งที่มองไม่เห็นว่ามีอยู่จริง

“พวกบ่าวไพร่ตำหนักซูหนี่ว์ขี้ประจบจะตาย เห็นองค์หญิงลู่ไป่เหอทำอะไรก็หมายทำตามเอาหน้ามากกว่า...เจ้าช่างหัวอ่อน ตามเล่ห์เหลี่ยมคนมิทันเยี่ยงนี้ ข้าก็ไม่นึกแปลกใจที่เจ้ายังดักดานเป็นแค่ตาอิ้ง ทั้งที่เข้าวังหลวงมาพร้อมกับข้าแท้ๆ” วาจาถากถางของเฟิงกุ้ยเหรินบั่นทอนความงามบนใบหน้าลงกว่าครึ่ง นางกำลังผยองถือตนเป็นสนมที่ฮ่องเต้เฉินหลงเพิ่งโปรดปรานจึงไม่มีใครกล้าถกเถียง ด้วยทราบนิสัยใจคออีกฝ่ายดีว่าเป็นอย่างไร

เขาว่ากันว่าคนที่ชอบให้ร้ายคนอื่นไว้เช่นไร แท้จริงแล้วตัวเองมักเป็นเช่นนั้น

หากเฟิงกุ้ยเหรินไม่ใช้แผนหว่านเสน่ห์ฮ่องเต้เฉินหลงด้วยการแสร้งทำชุดขาดด้วยตัวเอง แล้วอ้างว่ากิ่งไม้ในอุทยานเกี่ยวขาดจนเห็นเนื้อหนังมังสาขณะองค์ประมุขแห่งแผ่นดินเสด็จผ่านมาพอดี รวมถึงอาศัยการประจบประแจงเอาหน้า มีหรือที่นางจะไต่เต้าจากตาอิ้งขึ้นเป็นกุ้ยเหรินได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ไม่มีเหตุจำเป็นให้หลี่อี้ตาอิ้งต้องนึกใส่ใจถ้อยคำฟอนเฟะของอดีตเพื่อนสาว จึงให้ความสนใจยังพิธีกรรมปัดรังควานตรงหน้าต่อ เวลานี้นักพรตลัทธิเต๋ากำลังวาดกระบี่กลางอากาศใช้วิชาเหมาซานขับไล่สิ่งชั่วร้ายในตำหนักซูหนี่ว์อย่างขะมักเขม้น องค์หญิงลู่ไป่เหอยังคงวางตัวสง่างามทั้งที่เพิ่งเจอะเจอเรื่องสยองขวัญสั่นประสาทเมื่อคืน หากแต่ซือกูกู เสี่ยวเฉิงและเสี่ยวหลินนั้นมีสีหน้าท่าทางที่ยังหวาดกลัวชัดเจน ต่างคนต่างจับไม้จับมือกันแน่น พลางเหลียวซ้ายแลขวาบ่อยครั้ง ราวกับว่าหากพบอะไรไม่ชอบมาพากลอีกสามารถช่วยกันฉุดกระชากลากถูออกไปได้พร้อมกัน

“พิธีกรรมต่างๆเสร็จสิ้นแล้ว ขอองค์หญิงโปรดวางใจ ผีร้ายตนใดก็ไม่มีทางเข้าสู่ตำหนักซูหนี่ว์ได้อีก” นักพรตชราเอ่ย พลางนำพู่กันจุ่มหมึกแดงแล้ววาดอักขระลงบนกระดาษสีเหลือง ก่อนจะส่งมอบให้สตรีสูงศักดิ์ “นี่คือฮู้ศักดิ์สิทธิ์ เก็บไว้ติดตัว จะไม่มีวิญญาณร้ายใดๆรบกวนอีก”

“ขอบใจท่านมาก” องค์หญิงลู่ไป่เหอรับแผ่นยันต์มาเก็บไว้กับตัวด้วยความยินดี ก่อนจะหยิบเงินจำนวน 5 ตำลึงออกมาหมายให้นักพรตสูงวัยเป็นค่าจ้าง ทว่า ซือกูกูกลับสะกิดนางยิกๆเสียก่อน

“ไม่พอเพคะ” หัวหน้านางกำนัลแห่งตำหนักซูหนี่ว์ส่ายหน้ารัวๆ

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้ท่านนักพรตเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง เป็นเงิน 10 ตำลึง” ผู้เป็นนายตั้งท่าจะล้วงเงินออกมาจากหีบที่ขันทีนายหนึ่งถืออยู่

“หม่อมฉันหมายถึงฮู้ไม่พอเพคะ ขอให้หม่อมฉันสักแผ่นเพื่อความอุ่นใจ”

“หม่อมฉันด้วยเพคะ!” เสี่ยวเฉิงกับเสี่ยวหลินร้องบอกพร้อมเพรียงกัน

ยันต์ศักดิ์สิทธิ์จึงถูกเขียนเพิ่มอีก 3 แผ่น ให้แก่บ่าวไพร่คนสนิทขององค์หญิงลู่ไป่เหอในราคา 5 ตำลึงเงินเช่นเดิม เพราะซือกูกูไม่ยอมให้ผู้เป็นนายจ่ายเพิ่มเพื่อกระดาษเปื้อนหมึกไม่กี่แผ่น ส่งผลให้นักพรตชราแอบมองค้อนใส่หัวหน้านางกำนัลแห่งตำหนักซูหนี่ว์ก่อนขอตัวกลับสำนัก

เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เก็บไว้กับตัว...หัวใจที่แห้งผากของผู้เป็นนายและบ่าวที่เพิ่งเจอะเจอเรื่องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อคืนจึงชุ่มชื้น องค์หญิงลู่ไป่เหอจำไม่ได้ว่าแย่งผ้าห่มคลุมโปงกับซือกูกู เสี่ยวเฉิงและเสี่ยวหลินนานเท่าไร เพราะในที่สุดก็ผล็อยหลับพร้อมกัน 4 คนบนเตียงเดียว ตื่นมาอีกทีก็พบรุ่งอรุณใหม่เสียแล้ว

หวังว่าคืนนี้จะปลอดภัย...

ดูเหมือนพิธีกรรมปัดรังควานโดยนักพรตลัทธิเต๋าจะเห็นผลชะงัดนัก ตลอด 5 วันที่ผ่านมาไม่มีวี่แววของเสียง เงา หรือ การปรากฏกายของชายปริศนาผู้นั้นอีกเลย คล้ายกับว่าไม่เคยมีเรื่องราวน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นมาก่อน ผู้คนในตำหนักซูหนี่ว์จึงกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอีกครั้ง

“พิธีกรรมปัดรังควานนี่เห็นผลชะงัดนัก” เสี่ยวหลินเปิดประเด็นขณะปัดฝุ่นแถวชั้นวางของ

“นั่นสิ...เหยียนเจิ้งอ๋องไม่มาให้เห็นอีกเลย” เสี่ยวเฉิงสมทบพลางจัดดอกไม้ใส่แจกันไปด้วย “เพียงแค่เสียงกับเงายังน่ากลัวขนาดนี้ องค์หญิงช่างน่าสงสารเหลือเกินเห็นจะๆ เป็นข้าคงขาดใจตายไปแล้ว”

“เลิกพูดเรื่องนั้นเสียที!” ซือกูกูตำหนิเหล่านางกำนัลใต้โอวาท พลางวางป้านชาลงบนโต๊ะข้างกายองค์หญิงลู่ไป่เหอซึ่งกำลังพักผ่อนตรงแท่นประทับ “หากได้ยินผู้ใดเริ่มพูดเรื่องนี้อีก ได้เห็นดีกับข้าแน่!” ฝ่ามือกร้านหยาบตามประสาคนทำงานหนักมากว่าค่อนชีวิตเงื้อสูงหมายขู่เสี่ยวเฉิงกับเสี่ยวหลินให้ขยาดกลัว แต่พวกนางกลับอมยิ้มไม่ได้แสดงความหวาดหวั่นสักนิดเดียว ด้วยทราบดีว่าผู้อาวุโสไม่เคยทำร้ายตบตีผู้ใดจริงๆ

“ฮ่องเต้เสด็จ!!!”

ทุกคนในตำหนักซูหนี่ว์รีบละมือจากสิ่งที่กำลังกระทำทันทีหลังได้ยินการป่าวประกาศของซู่กงกง พลางน้อมเคารพองค์ประมุขแห่งแผ่นดินที่เยื้องย่างเข้ามา

“ถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ”

“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!!!”

“ลุกขึ้นๆ...ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้เฉินหลงโบกหัตถ์ไปมา พลางทิ้งกายลงบนแท่นประทับอย่างสง่างาม พระราชธิดาบุญธรรมจึงรีบเข้าไปนั่งข้างๆแล้วโอบกอดผู้เป็นบิดาไว้อย่างรักใคร่

“คิดว่าเสด็จพ่อจะหลงลืมลูกเสียแล้ว”

“พ่อจะหลงลืมเจ้าได้อย่างไร” ฮ่องเต้เฉินหลงโอบร่างเล็กๆของนางเอาไว้อย่างเอ็นดู

“ใครๆในวังหลวงต่างก็ทราบว่าช่วงนี้เสด็จพ่อไปตำหนักหย่งเหอกงแทบทุกวัน” องค์หญิงลู่ไป่เหอแกล้งกระเซ้าถึงพระสนมคนโปรดวัยไล่เลี่ยกับนาง

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาองค์ประมุขแห่งแผ่นดินไม่ได้เลื่อนตำแหน่งให้สนมคนใดเป็นพิเศษ นอกจากฮองเฮาหลันฮวาแล้ว ก็มีเพียงพระสนมจิ้งเฟย กับ พระสนมซูเฟยเท่านั้นที่ไปมาหาสู่บ่อยครั้ง เฟิงกุ้ยเหรินผู้นี้คงพิเศษไม่น้อยจึงทำให้ฮ่องเต้เฉินหลงสนใจได้

“เด็กโง่...ไม่มีพ่อคนใดเห็นคนอื่นสำคัญกว่าลูกๆหรอก” ผู้เป็นบิดากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พ่อเองก็มีงานบ้านเมืองต้องสะสางมากมายช่วงนี้ แม้ไม่มีเวลาแวะเวียนมาหาเจ้าช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่ผู้คนในวังหลวงก็ร่ำลือหนาหูนักถึงพิธีกรรมปัดรังควานที่ตำหนักซูหนี่ว์ เกิดอะไรขึ้น มีความเป็นมาอย่างไร ไม่คิดเล่าให้พ่อฟังบ้าง” ด้วยถ้อยคำนั้นส่งผลให้องค์หญิงลู่ไป่เหอเหลือบมองบ่าวไพร่ใต้โอวาททันที

เป็นจริงดั่งที่คาดคิดไว้...

“ไหนกูกูบอกจะจัดการคนที่เริ่มพูดเรื่องนี้อีก” เสี่ยวเฉิงได้ทีกระซิบเบาๆเย้าแหย่ซือกูกูซึ่งชักสีหน้าเจื่อนๆ

“พวกเรารอดูอยู่นะ” เสี่ยวหลินสมทบ นั่นทำให้ผู้อาวุโสมองค้อน 2 นางกำนัลที่ต่างยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากพลางหัวเราะคิกคักทันที

“เอ่อ...เป็นเพียงพิธีปัดรังควานธรรมดาเพคะ ลูกโชคร้ายได้รับอุบัติเหตุเสียขวัญ จึงอยากขจัดสิ่งอัปมงคลออกไปจากชีวิตบ้างก็เท่านั้นเอง” พระราชธิดาบุญธรรมกล่าวอ้อมๆ

จะกล้าเล่าได้อย่างไร...ผีร้ายที่ถูกปัดรังควาน คือ เหยียนเจิ้งอ๋อง ผู้เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ของอดีตฮ่องเต้จินหลงกับอวิ้นหยางฮองไทเฮา และ เป็นพระเชษฐาแท้ๆของฮ่องเต้เฉินหลง นางคงโดนตำหนิเป็นแน่

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี...จะได้หมดเคราะห์หมดโศก พ่อยังใจหายอยู่เลยตอนนึกถึงสภาพเปียกปอนของเจ้าหลังตกน้ำ”

“เสด็จพ่อเพคะ ลูกมีความค้างคาใจบางประการ แต่ไม่รู้สมควรถามหรือไม่” แม้จะเกริ่นเปิดประเด็นเหมือนเกรงใจอีกฝ่าย แต่องค์หญิงลู่ไป่เหอทราบดีว่าผู้เป็นบิดาจะไม่ถือสาในสิ่งที่ตนอยากทราบ และ ช่วยไขข้อกังขาบางอย่างได้เป็นแน่

“ว่ามาเถิด”

“วันที่พวกเราเดินทางไปเซ่นไหว้บรรพชนและเยี่ยมสุสานหลวงที่เมืองฉางผิงนั้น ลูกมีโอกาสได้เห็นตำหนักสุสานใหญ่โตโอ่อ่าบนเนินเขาหลังจากเคารพสักการะท่านพ่อท่านแม่ ยินซือกูกูเล่าว่านั่นคือสุสานของเหยียนเจิ้งอ๋อง ลูกเกิดไม่ทันเห็นเสด็จลุงจึงอยากทราบว่าเป็นคนอย่างไรเพคะ”

นามของเชษฐาส่งผลให้ดวงพักตร์ของฮ่องเต้เฉินหลงหมองหม่นลงเล็กน้อย รำลึกนึกถึงอดีตที่เคยใช้ช่วงเวลาวัยเด็กด้วยกันมาก่อนจะต้องพรากจากกันถาวรด้วยความตาย กระนั้นดวงตากลับยังแฝงความรักและอาลัยอาวรณ์จนต้องเผยรอยยิ้มออกมาบางๆ

“เหยียนเจิ้งอ๋องเป็นคนดีมาก รักพี่รักน้อง รักบ้านเมือง เที่ยงธรรม ซื่อตรง เอาจริงเอาจังกับทุกอย่าง”

“มิน่าเล่าท่านจึงดูเอาจริงเอาจังในการหลอกพวกเรา” เสี่ยวเฉิงพึมพำเบาๆ แต่แล้วก็ต้องเงียบปากทันควันหลังโดนซือกูกูเอาคืนกระทุ้งศอกใส่จนตัวงอเพราะความจุก

“เสด็จลุงเป็นคนรักพี่รักน้องเยี่ยงนี้ คงจะมีความขี้เล่นเป็นกันเองอยู่บ้าง เสด็จพ่อจึงได้รักเสด็จลุงนักหนา สร้างตำหนักสุสานยิ่งใหญ่เทียบเทียมบูรพกษัตริย์” องค์หญิงลู่ไป่เหอหวนคิดถึงการปรากฎตัวของเหยียนเจิ้งอ๋องในแต่ละครา

หากไม่ติดว่าเขาเป็นภูตผีก็ดูเหมือนมาดีเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ช่วยเหลือนางให้รอดพ้นจากการจมน้ำตาย และ รอยยิ้มของเขาที่มอบให้นั้นยังติดตรึงในความทรงจำไม่สร่างซา

“หาใช่เลย...ลุงของเจ้านั้นเป็นคนนิ่งขรึมแทบจะไม่เคยเล่นหรือพูดคุยกับพี่ๆน้องๆสักครั้ง กระนั้นก็ไม่เคยมีพี่น้องคนใดเกรงกลัวหรือรังเกียจ เพราะยามใดเกิดปัญหาลุงของเจ้าจะคอยช่วยออกหน้าและปกป้องเสมอ” องค์ประมุขแห่งแผ่นดินทอดถอนหายใจเพื่อระงับความโศกาจากการสูญเสียเชษฐาอย่างไม่มีวันกลับ “เอาเถิดลู่ไป่เหอ...พ่อเห็นสมควรแก่เวลากลับตำหนักเฉียนชิงกงแล้ว เจ้าพักผ่อนเสีย และ รักษาสุขภาพด้วย อากาศเริ่มหนาวเย็น อีกไม่นานงานชมเหมยบานจะถูกจัดขึ้นในวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ ญาติพี่น้องเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่ออกไปอยู่ตามเมืองต่างๆจะกลับมาร่วมพบปะสังสรรค์กัน พ่ออยากให้เจ้างามสง่ายามได้รู้จักทุกคนเป็นครั้งแรก” ฮ่องเต้เฉินหลงตัดบท

“เพคะ...น้อมส่งเสด็จพ่อ” องค์หญิงลู่ไป่เหอรีบยืนน้อมคำนับทันที

“น้อมส่งฝ่าบาท!”

แม้ผู้เป็นบิดาได้ออกจากตำหนักซูหนี่ว์พร้อมซู่กงกงและเหล่าข้าราชบริพารติดตามเสด็จแล้ว แต่ถ้อยคำบอกเล่ากลับยังติดใจผู้เป็นพระราชธิดาบุญธรรมให้ใคร่ครวญคิดอย่างสงสัย เหตุใดอุปนิสัยของเหยียนเจิ้งอ๋องตามคำบอกเล่าจึงไม่ละม้ายกับชายปริศนาผู้นั้นเลย

หรือเขาจะไม่ใช่เหยียนเจิ้งอ๋อง!

แล้วเขาคือวิญญาณผู้ใดกันแน่?

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว