“คุณหนู...คุณหนู...ตื่นเถิดเจ้าค่ะ ”ถิงถิงเดินเข้ามาปลุกหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทเช้ากว่าทุกวันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“อือ...อย่ากวนน่า...ข้าจะนอน”คนพูดหลับตาส่งเสียงอู้อี้หงุดหงิดใจและพลิกกายหนี
“ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่านให้มาเรียนว่า ให้คุณหนูเตรียมตัวให้พร้อมรอต้อนรับคู่หมั้นเจ้าค่ะ”รายงานพร้อมดึงแขนคุณหนูให้ลุกขึ้น
“อือ..ข้ารู้แล้ว...แล้วนี่ยามใดแล้วรึ?”หญิงสาวขืนตัวไม่ยอมลุกขึ้นง่ายๆสองตายังคงปิดสนิท
“ยามอิ๋นเจ้าค่ะ”ตอบโดยที่มือยังคงดึงรั้งร่างระหงของนายสาวไว้มั่น ไม่ให้ล้มลงไปนอนได้อีก
“หา!...ยามอิ๋น?...เจ้าปลุกข้าให้มาแต่งตัวรอผู้ชาย ตั้งแต่ตอนนี้เนี่ยนะ!!..”
“คุณหนู!...กล่าวเช่นนี้ไม่งามเลยนะเจ้าคะ...มาเจ้าค่ะ ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาก่อนเถิด”
“ฮึ่ม..ข้าอดนอนก็เพราะท่าน คอยดูนะ..จะเอาคืนให้หนักเชียว”ลับหลังสาวใช้แสนดี เหอซือเมี่ยวพึมพำคาดโทษบุรุษหน้านิ่งไร้อารมณ์กับตัวเองเบาๆ
----------
ยามเหม่า ด้านหน้าตำหนักพรรคมังกรเหมันต์
ไป๋เสวี่ยเจี้ยน ในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสและลุงแท้ๆของท่านประมุขพรรค กำลังใช้สายตาตรวจดูความเรียบร้อยก่อนออกเดินทางเป็นครั้งสุดท้าย
“เรียนนายท่านไป๋ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วขอรับ”ชายชุดดำสวมหน้ากากสีขาวเดินเข้ามารายงานไป๋เสวี่ยเจี้ยน
“ดี...แล้วท่านประมุขเล่า?”
“ข้าอยู่นี่”ไป๋เสวี่ยเจี้ยนหมุนกายไปทางเสียง ส่งยิ้มบางเบาออกไป พิศบุรุษรูปงามที่ดูแปลกตากว่าทุกวันอย่างพึงพอใจ
บุรุษที่มักสวมใส่อาภรณ์สีดำสนิทรัดกุมตลอดเวลา บัดนี้กลับเลือกสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าทับด้วยเสื้อคลุมสีขาวปกตั้งปักลายแปลกๆสีดำคล้ายลายมังกร ผมเกล้าขึ้นสูงครอบด้วยกวานสีฟ้าที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ดูเต็มตาแล้วก็รำพันในใจว่า
...สูงส่งและสง่างาม...สมแล้วที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์........
“...ท่านลุง?”ไป๋เสวี่ยหลงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบไป
“อา...พร้อมแล้วใช่รึไม่?”ไป๋เสวี่ยเจี้ยนพลันคืนสติยิ้มบางแล้วถาม เห็นหลานรักพยักหน้า จึงหันไปออกคำสั่งเสียงเข้ม
แล้วขบวนรถม้ากว่ายี่สิบคันที่บรรทุกสินสอดทองหมั้นนับร้อยหีบก็ได้เริ่มต้นขึ้น......
------------
พรรคมังกรเหมันต์ตั้งอยู่บนเขาสูงทางทิศตะวันออก นอกเมืองหลวงตงไห่ กินพื้นที่ภูเขาทั้งสิ้นสามลูกหากจะตีเป็นพื้นที่น่าจะมากกว่าพันไร่
ระยะทางจากที่ตั้งพรรคถึงสกุลเหอ ใช้เวลากว่าสองชั่วยามโดยรถม้า หากควบม้าไปจะใช้เวลาราวหนึ่งชั่วยาม แต่สำหรับไป๋เสวี่ยหลงที่มีสุดยอดวิชาตัวเบา พายุท่องเมฆา กลับใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นก็ถึงจุดหมายแล้ว
พรรคมังกรเหมันต์ พื้นที่ทั้งหมดถูกโอบล้อมปกป้องด้วยค่ายกลหลายชั้น มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถเหยียบย่างเข้าไปภายในได้ พวกสอดรู้สอดเห็นและศัตรูเอาชีวิตที่หมายบุกทำลายต่างจบชีวิตให้กับค่ายกลนี้แทบทั้งสิ้น จนเป็นที่กล่าวขานสร้างความหวาดกลัวไปทั่วเพียงได้ยินชื่อพรรคก็ขนลุกเกลียว เจอที่ไหนเป็นต้องรีบหลบทางให้ ทั้งที่ในความจริงพรรคมังกรเหมันต์รักสันโดษ ไม่เคยไประรานหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใดก่อน กระนั้นก็ยังเป็นที่หวาดเกรงแก่ผู้คนและชาวเมืองอยู่ดี
หนึ่งชั่วยามต่อมา.....
ขบวนสินสอดทองหมั้นของไป๋เสวี่ยหลงได้มาถึงประตูเมือง ทหารยามที่เฝ้าหน้าประตูพอเห็นว่า เป็นขบวนของผู้ใด ก็รีบเข้ามาโค้งคำนับให้บุรุษทั้งสองที่นั่งสง่างามอยู่บนหลังอาชาสีดำตัวใหญ่ด้วยความนอบน้อม จากนั้นก็หันไปตะโกนบอกให้ชาวบ้านหลีกทาง
“อุ๊ย...นั่นท่านประมุขไป๋นี่...”
“อา..ใช่จริงๆด้วย...หล่อเหลาและงดงามอะไรเช่นนี้”
“ว้าย...เขามองมาทางข้าด้วย”
“ไม่ได้มองเจ้าเสียหน่อย มองข้าต่างหาก”
“คิกๆ..พวกเจ้าตาบอดหรือ? เขามองข้าต่างหากเล่า”
“มองข้า!”
“มองข้าต่างหาก!”
“ก็ข้าบอกว่ามองข้าต่างหากเล่า!”
“ว้าย...เจ้ากล้าผลักข้าเชียวรึ? นี่แน่ะ!”
“ว้าย..ฮึ่ม...คิดว่าข้าจะยอมแพ้เจ้ารึ?...นี่แน่ะ!”
“เอาๆๆ...สตรีไร้ยางอายพวกนี้นี่..พวกเจ้า..มาช่วยกันแยกพวกนางออกจากกันทีสิ!”นายกองหงุดหงิดเหลือทนจึงหันไปออกคำสั่งกับพลทหารในสังกัด ให้มาช่วยกันจับสตรีสามนางที่กำลังตบตีกันต่อหน้าฝูงชน
“เจ้าจะตบตีกันให้เจ็บตัวไปทำไม?”นายกองหนุ่มเอ่ยขึ้น
สามสตรีที่ใบหน้ามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงก้มหน้าต่ำสำนึกผิด
“ไม่เห็นรึว่านั่นเป็นขบวนสินสอดทองหมั้น?”
“เอ๊ะ...ความหมายของท่านคือ...”หนึ่งในสามเอ่ยขึ้น
“ไม่สังเกตผ้าแดงที่ผูกอยู่ที่ตัวรถม้าเลยรึ?”นายกองหนุ่มย้อนถาม พอเห็นว่าพวกนางนิ่งเงียบจึงกล่าวต่อ “อยากรู้เสียจริงว่าสตรีโชคดีผู้นั้นเป็นบุตรีบ้านใด?”
----------------
ขณะเดียวกัน เหอซือเมี่ยวสตรีผู้ถูกกล่าวถึงในชุดอาภรณ์สีฟ้าน้ำทะเลรอบชายกระโปรงรุ่มร่ามปักดอกหลันฮวาสีน้ำเงินเข้ม กลับนั่งสัปหงกอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ศีรษะที่โงนเงนไปมา สร้างความลำบากแก่ถิงถิงที่กำลังทำผมให้ไม่น้อย จนต้องเรียกสาวใช้อีกสองคนให้มาช่วยจับคุณหนูของนางไว้ กว่าจะผ่านไปได้ทำเอาสาวใช้ทั้งสามเหงื่อตกไปตามๆกัน
“คุณหนู....คุณหนู...ตื่นเถิด...ขบวนสินสอดใกล้มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”ถิงถิงเขย่าแขนนางเบาๆ
“อือ...ใกล้มาถึงแล้วหรือ?”เงยหน้าขึ้นพูดทั้งที่ยังหลับตา
“เหตุใดคุณหนูจึงดูอ่อนเพลียนัก? นอนดึกหรือเจ้าคะ?”อดถามไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นคุณหนูง่วงเหงาหาวนอนเช่นนี้มาก่อน
“อือ..ข้าคิดอะไรเพลินไปหน่อย”ปรือตาขึ้นเล็กน้อย
“ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับหรือเจ้าคะ?”
เหอซือเมี่ยวไม่ตอบ แต่ใบหน้ากลับแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว
เห็นอาการนิ่งเงียบอีกทั้งใบหน้าขึ้นสีของคุณหนูถิงถิงพลันแย้มยิ้มสุขใจ สองมือหยาบเล็กน้อย กุมมือเรียวนุ่มนิ่มของคุณหนูไว้อย่างทะนุถนอม
“มีอะไรหรือถิงถิง? แล้วนั่นเจ้าร้องไห้ทำไม?”จากที่สะลึมสะลืออยู่เป็นนานก็มาลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มตาเมื่อได้เห็นน้ำตาของสาวใช้แสนดี
“ถิงถิงดีใจเจ้าค่ะ..ฮึก!”พยายามกลั้นก้อนสะอื้นไว้สุดกำลัง กระนั้นก็ยังไม่สามารถกลั้นไว้ได้ทั้งหมด
“ดีใจ?จนร้องไห้?”เหอซือเมี่ยวประคองตัวนางให้ลุกขึ้นมานั่งข้างๆตน
“ก็ถิงถิงดีใจ...ที่คุณหนูของถิงถิงกำลังจะมีความสุข..ฮึก!..แม้จะไม่รู้ว่าท่านประมุขไป๋เป็นบุรุษเช่นไร...ฮึก!... แต่ถิงถิงเชื่อเจ้าค่ะ..ว่าท่านประมุขไป๋ต้องรักคุณหนูมากแน่ๆ”
“ทำไมเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”ถามเสียงอ่อนโยนพลางเช็ดน้ำตาให้
“ถิงถิงได้ยินชาวบ้านเขาพูดกันเจ้าค่ะ บอกว่าท่านประมุขไป๋เกลียดชังสตรียิ่งนัก ครองตัวโสดจนอายุยี่สิบห้าก็ยังไม่ตบแต่งสตรีใดเข้าตำหนักเสียที จู่ๆกลับให้ผู้ใหญ่มาเจรจาหมั้นหมายคุณหนู ไม่สนใจที่คุณหนูผ่านการหย่าร้างมาแล้ว หากไม่เป็นเพราะมีใจปฏิพัทธ์กับคุณหนูแล้วจะให้คิดเป็นอื่นได้อีกหรือเจ้าคะ?”
เหอซือเมี่ยวส่งยิ้มบางเป็นคำตอบ แล้วพาลให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนขึ้นมา อุตส่าห์คิดแกล้งหลอกกินเต้าหู้บุรุษหน้านิ่ง หวังเห็นเขาหัวปั่นหน้าแดงแต่กลับเป็นฝ่ายถูกเขาหลอกกินเต้าหู้เสียเอง!! แถมยังโดนเขา...พอคิดมาถึงตรงนี้ใบหน้างามพลันเห่อร้อน เนื้อตัวร้อนผ่าวจนต้องใช้มือพัดโบกไปมาทำปากห่อเป่าลมออกจากปากเบาๆ
"คุณหนู?....ร้อนหรือเจ้าคะ?"ถิงถิงเอ่ยถามและหยิบพัดมาพัดวีให้
"ปละเปล่า..ไม่มีอะไร.."รีบปฏิเสธกลบเกลื่อนและลุกขึ้นยืนหันหน้าไปทางประตู"ไปเถิด..ข้าหิวแล้ว"
"....เจ้าค่ะ”ถิงถิงเก็บความสงสัยเข้าประคองร่างระหงไปเรือนใหญ่
-------------------
ยามซื่อ
ขบวนสินสอดทองหมั้นของไป๋เสวี่ยหลงได้มาถึง คนงานรีบช่วยกันขนหีบนับร้อยเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็วจนน่าชื่นชม
เหอซือเค่อทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี เชิญบุรุษทั้งสองมายังโถงหลักของจวน ส่วนเหอซือเมี่ยวหลังจากรับอาหารเช้ากับบิดาเรียบร้อยก็กลับไปรอที่เรือนกระจ่างฟ้ารอเวลา.....
"เรียนคุณหนู..นายท่านให้มาเชิญไปที่โถงใหญ่ขอรับ"ถานหู่เดินเข้ามารายงานหลังเวลาผ่านไปสองเค่อนับจากขบวนสินสอดเดินทางมาถึง
"ข้ารู้แล้ว"วางหนังสือในมือลงใบหน้างามดูสงบนิ่ง ทั้งที่ใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ‘อา...ใจเย็นๆข้าต้องทำได้ ข้าต้องทำได้..’ ปลอบใจตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
"เมี่ยวเอ๋อร์..มานี่เร็วเข้า"เหอซือเค่อกวักมือเรียกบุตรี
"คารวะท่านลุงไป๋...คารวะท่านประมุขไป๋"มาถึงรีบยอบกายทำความเคารพไป๋เสวี่ยเจี้ยน ก่อนจะหันไปยอบกายให้อีกคนโดยไม่มองหน้าเขา
"ตามสบายเถิดหลานสะใภ้"ไป๋เสวี่ยเจี้ยนกล่าวกับหญิงสาวอย่างสนิทสนม ผิดกับไป๋เสวี่ยหลงที่นั่งนิ่งไม่กล่าวสิ่งใด แต่นัยน์ตาคมกล้าจับจ้องร่างระหงที่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาด้วยความขบขัน
"อา..เหตุใดจึงเรียกลุงเสียห่างเหินเช่นนั้นเล่า? เรียกท่านลุงเจี้ยน อย่างเดิมเถิด"น้ำเสียงรื่นเริงเป็นกันเองของอาวุโส ทำให้หญิงสาวจำต้องเงยหน้าขึ้นตอบ และต้องชะงักก้มหน้าต่ำยิ่งกว่าเดิม เมื่อสบเข้ากับสายตาล้ำลึกแฝงนัยอะไรบางอย่างของบุรุษที่นั่งอยู่ข้างๆ
"มะเมี่ยวเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านลุงเจี้ยน..."รับคำตะกุกตะกักโดยไม่เงยหน้า
หวนคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ใบหน้างามพลันเห่อร้อน ใจเต้นแรงเสียจนกลัวว่าบิดาที่นั่งใกล้ๆจะได้ยิน แล้วยังมีสายตาเร่าร้อนที่จับจ้องมาของบุรุษตัวต้นเรื่อง ที่ทำให้นางอึดอัดทำตัวไม่ถูกอีก ‘อา..กามตายด้านจ๋า...เหตุใดจึงจากข้าไปเร็วนัก...แล้วชีวิตข้า ความสนุกของข้า หลังจากนี้จะเป็นเช่นใดต่อไปเล่าเนี่ย?...’เหอซือเมี่ยว ได้แต่คร่ำครวญในใจ
“หึๆ”ฝ่ายไป๋สวี่ยหลงเห็นทุกอิริยาบถของร่างระหงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะกลมฝั่งตรงข้าม อดที่จะหัวเราะในลำคอไม่ได้ และพึงพอใจเป็นที่สุดที่เห็นนางมีอาการแปลกๆบ้าง
.......อาการที่เขามักจะเป็น...ทุกครั้งยามที่ได้พบนาง.......
“เมี่ยวเอ๋อร์?”เหอซือเค่อเอ่ยเรียกบุตรีที่เอาแต่นั่งก้มหน้า “เป็นอะไรไป? เหตุใดหน้าจึงแดงนัก?ไม่สบายหรือ?”
“ลูกรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อยเจ้าค่ะ”อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง
“อา..เช่นนั้นก็กลับไปพักผ่อนเถิด”กล่าวพลางลูบศีรษะเล็ก
“ท่านลุง ข้าขออาสาไปส่งเมี่ยวเอ๋อร์ได้รึไม่?”เสียงขออนุญาตกอปรกับท่าทางสุภาพนอบน้อม ของบุรุษหนุ่มรูปงามราวเทพเซียนจากสวรรค์ สร้างความประหลาดใจระคนยินดีแก่บิดาอย่างเหอซือเค่อยิ่งนัก หันไปยิ้มกล่าวอนุญาตด้วยน้ำเสียงยินดี
“ได้สิ...ไหนๆก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันอย่างเป็นทางการแล้ว”
“ท่านพ่อ เรือนอยู่ใกล้แค่นี้เอง ลูกไปเองได้เจ้าค่ะ”หญิงสาวรีบค้านด้วยยังเตรียมใจไม่ทัน หากอยู่ลำพังเกรงว่านางจะเสียทีให้เขาแบบเมื่อคืนอีก.....
“กลัวรึ?”เสียงที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาร่างระหงสะดุ้งโหยง พอเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมกล้าที่หลุบมองอยู่พลันให้ของขึ้น ‘ฮึ่ย...ไอ้สายตากรุ้มกริ่มระคนยิ้มเยาะนั่นมันอะไร!? คิดว่าข้าจะยอมแพ้ง่ายๆรึ!?’
“ท่านเป็นปีศาจรึ?ข้าถึงต้องกลัวท่าน”เชิดหน้าตอบกลับด้วยท่าทางมั่นใจ
"หึๆ เช่นนั้นก็ดี...ท่านลุงข้าจะขออยู่ต่ออีกสักพัก"ไปเสวี่ยหลงกล่าวกับร่างระหงจบก็หันไปกล่าวกับไป๋เสวี่ยเจี้ยน
“ตามใจเจ้า ข้าก็มีเรื่องจะสนทนากับท่านเหอเหมือนกัน”ไป๋เสวี่ยเจี้ยนยิ้มตอบรู้เท่าทันความคิด ไป๋เสวี่ยหลงมองเมินสายตารู้ทันนั้น หันไปค้อมศีรษะให้เหอซือเค่อ อย่างให้เกียรติ จากนั้นเดินเคียงคู่ร่างระหงออกไปจากโถง ท่ามกลางสายตายินดีระคนเอ็นดูของอาวุโสทั้งสองที่นั่งมองส่งจนลับสายตา
------------
พอออกมาจากโถงรับแขก เหอซือเมี่ยว พาคู่หมั้นอย่างเป็นทางการมายังหอเก๋งกลางสวนแทนการกลับเรือนกระจ่างฟ้า เพราะไม่อยากอยู่กับเขาเพียงลำพัง
“ยังโกรธอยู่หรือ?”ไป๋เสวี่ยหลงถามเสียงเรียบติดออดอ้อนเล็กน้อย ขยับกายสูงเข้าไปหาร่างระหงที่ยืนกอดอกหันหลังให้อย่างแนบเนียน
เหอซือเมี่ยวที่เริ่มใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง จึงแสร้งตีหน้าบึ้งค้อนให้เขาเป็นคำตอบ หารู้ไม่ว่าอาการกระเง้ากระงอดทำแง่งอนของนางช่างน่ารักน่าเอ็นดูนักในสายตาประมุขหนุ่ม น่ารักน่าเอ็นดูจนอยากจะ...อีกครั้ง
ความจริงหญิงสาวไม่ได้โกรธหรือเสียใจที่ถูกหลอกกินเต้าหูขั้นแอดวานซ์..ออกจะฟิน...ไม่ใช่...นางควรจะขอบคุณเขาด้วยซ้ำเพราะมันทำให้นางหายจากอาการกามตายด้านและกลับมามีอารมณ์ความรู้สึกยามถูกกระตุ้นเช่นคนอื่นๆ แต่ที่หงุดหงิดไม่ชอบใจและตกประหม่าไม่เป็นตัวของตัวเอง จนไม่อยากพบเขาตอนนี้ เนื่องจากในหัวของนางยังสลัดภาพเหตุการณ์เมื่อคืนออกไปไม่ได้ต่างหากเล่า!...
"เป็นเจ้าที่ล่อลวงข้าก่อน"
"ข้าหรือ ล่อลวงท่าน?"สวนกลับทันควันใบหน้าบึ้งตึง
"เจ้าหลอกกินเต้าหู้ข้า"
"ข้า...ก็แค่หยอกท่านเล่น"
"อ้อ..ทุกครั้งที่พบสินะ?"
"นั่นมัน..ก็ท่านน่าแกล้งจะตาย" ‘และนิ่งจนหน้าหมั่นไส้ด้วย!!’ หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง "แต่..ข้าก็แค่หลอกกินเต้าหู้ท่านเล็กๆน้อยๆเท่านั้น....ไม่เหมือนท่านที่....."
"ที่...อะไร?"
"มะไม่มีอะไรเจ้าค่ะ...ขะข้ากลับเรือนดีกว่า"
"หึๆ"นัยน์ตาคมกล้ามองร่างระหงที่ลุกลี้ลุกลนรีบร้อนจากไป ด้วยความขบขันระคนเอ็นดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วหมุนกายมุ่งหน้ากลับโถงรับรองแขกอีกครั้ง
กว่าไป๋เสวี่ยหลง ไป๋เสวี่ยเจี้ยน และผู้ติดตามกลับถึงพรรคมังกรเหมันต์ก็ล่วงเข้ายามเซินแล้ว
ประมุขหนุ่มขอตัวกลับตำหนักมังกรทะยานฟ้าชำระร่างกาย จากนั้นออกมารับลมที่หอเก๋งหลังตำหนัก ร่ำสุราชั้นดีพร้อมดื่มด่ำความงามโดยฝีมือมนุษย์ด้วยท่าทางผ่อนคลายก่อนจะยกยิ้มน้อยๆเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงดึกที่ผ่านมา......
ย้อนกลับไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์.....
“ริมฝีปากนี้ก็เป็นของข้า ไป๋เสวี่ยหลง”หลังสิ้นเสียงทุ้มๆริมฝีปากอิ่มได้ถูกริมฝีปากร้อนประกบจูบแผ่วเบาแล้วค่อยดุดันร้อนแรงขึ้นตามอารมณ์เสน่หา และผละออกเชื่องช้าเมื่อร่างระหงส่งเสียงอู้อี้ประท้วงโดยที่สองแขนแข็งแรงยังคงโอบกอดเอวคอดไว้หลวมๆไม่ยอมปล่อย
มองใบหน้างามแดงก่ำ ริมฝีปากเจ่อบวมหอบหายใจสะท้านเพราะฝีมือตนแล้วใจประมุขหนุ่มพลันเต้นรัวแรงและวาบหวาม ยิ่งได้สูดกลิ่นหอมละมุนละไมจากร่างเล็กนุ่มนิ่มอารมณ์ปรารถนาในกายพลันพลุ่งพล่านจนระงับไม่อยู่
ริมฝีปากร้อนจึงประกบปากอิ่มอีกครั้ง ดันร่างนางลงบนพื้นหญ้าข้างบ่อน้ำศักดิ์ทาบร่างหนาลงมาบดเบียดแนบชิด มือข้างหนึ่งเลื่อนลงต่ำกอบกุมดอกบัวงามคลึงเค้นความนุ่มหยุ่นเต็มไม้เต็มมือนั้นอย่างถือสิทธิ์
“อื้ออออ”เสียงประท้วงมาพร้อมมือเล็กที่ทุบอกหนา ไม่ได้ทำให้ประมุขหนุ่มรู้สึกเจ็บและหยุดมือกลับยิ่งกระตุ้นอารมณ์เสน่หาของประมุขหนุ่มให้โลดขึ้นสูง ฝ่ามือร้อนสอดมือเข้าไปสัมผัสดอกบัวงามโดยตรง ความเรียบรื่น เนียนนุ่มหยุ่นมือนั้นทำเขาแทบคลั่งเผลอออกแรงขยำเค้นคลึงหนักหน่วงไม่เกรงว่าเนื้อนวลจะช้ำ
ขณะที่ริมฝีปากอุ่นยังคงครอบครองลิ้มรส ตักตวงความหวานหอมจากปากเล็กอย่างดูดดื่มไม่มีทีท่าว่าจะอิ่ม มีผละออกให้นางได้หายใจบ้าง จากนั้นประกบจุมพิตลงไปใหม่ พร้อมบดเบียดเสียดสีร่างกายอันร้อนรุ่มตื่นตัวเต็มที่กับร่างนุ่มนิ่มเพื่อบรรเทาความปวดหนึบที่ไม่สามารถระบายได้ในยามนี้
ครั้นเห็นร่างน้อยตกอยู่ในห้วงเสน่หาไม่ขัดขืนและโอนอ่อนตามการเล้าโลมของตน ในใจพลันกระหยิ่มและฮึกเหิม เลื่อนมือไปดึงสายคาดเอวนางทิ้งอย่างไม่ใยดี สาบเสื้อสีขาวถูกแหวกรั้งไปไว้ข้างลำตัว เผยให้เห็นเอี๊ยมตัวเล็กจิ๋วสีน้ำเงินไร้ลวดลายปกปิดดอกบัวคู่งามไว้ ทรวงอกอิ่มที่สะท้านขึ้นลงเป็นจังหวะตามการหายใจและผิวกายขาวผ่องที่ปรากฏต่อสายตามันทำให้คนมองลอบกลืนน้ำลาย
‘อา..งดงาม นางช่างงดงามเหลือเกิน’ รำพันอย่างเหม่อลอยรู้ตัวอีกทีริมฝีปากร้อนก็เข้าดูดกลืนความหอมหวานสีชมพูของดอกบัวงามเสียแล้ว
“อื้ออออ หยะอย่า พะพี่หลง”
เสียงหวานที่ร้องห้ามและสองมือเล็กผลักดันใบหน้าเขาที่ซุกซบทรวงอกเต่งตึงอีกทั้งการดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลังของคนใต้ร่างดึงสติประมุขหนุ่มกลับคืนมา หลับตาสูดลมเข้าปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วจึงค่อยผละใบหน้าออกมาอย่างอ้อยอิ่ง โดยที่ยังจับจ้องทรวงอกสร้างขาวผ่องที่ยามนี้ปรากฏรอยแดงเป็นจ้ำหลายแห่งแทบไม่กะพริบ ความพอใจพาดผ่านนัยน์ตาคมกล้า ก่อนจะหรี่ลงเพราะความงดงามนั้นถูกมือเล็กบดบัง พอเงยหน้าพลันลอบสะดุ้งอึกอักทำตัวไปม่ถูก เมื่อร่างเล็กจ้องมาด้วยสายตาขุ่นเคืองโกรธขึ้ง
“เอ่อ..ขออภัย..คือพี่...”กล่าวพลางกุลีกุจอช่วยนางแต่งตัวโดยไม่มองหน้า ยิ่งนางเงียบไม่ต่อว่าต่อขาน ไม่แม้แต่จะร่ำไห้คร่ำครวญ ประมุขหนุ่มก็ยิ่งใจคอไม่ดี
“เมี่ยวเอ๋อร์..คือพี่...”
“ขะข้าอยากกลับเรือนเจ้าค่ะ”
“ดะได้…แต่ช่วยเงยหน้ามองพี่หน่อยได้รึไม่?”ขอร้องเสียงทุ้มหวานเจือออดอ้อนอยู่ในที มือหนาจับต้นแขนเล็กบีบเบาๆ เหตุเพราะนางเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขาเลยนับแต่ช่วยนางแต่งตัวเสร็จ มันทำให้ใจประมุขหนุ่มร้อนรนกระวนกระวายกลัวนางจะเกลียดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้เขาอีก หากเป็นเช่นนั้นเขาจะทำเยี่ยงไรเล่า?
“เมี่ยวเอ๋อร์”เห็นนางยังคงยืนก้มหน้านิ่งไม่ขยับเพียงนิด จึงใช้มือบังคับเชยคางนางขึ้นให้สบตาตัวเอง ทันทีที่เห็นใบหน้างามชัดๆเต็มตาประมุขหนุ่มถึงกับตะลึงวูบ
“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้ากำลังเขินอาย?”
“เงียบไปเลย!”คนถูกแกล้งตวาดเสียงขุ่นปัดมือที่จับคางนางออกแล้วหันหลังให้
“หึๆ อา..ในที่สุดปีศาจน้อยของข้าก็รู้จักเขินอายเสียที”นานๆจะมีโอกาสเย้านางคืนบ้าง ประมุขหนุ่มจึงไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ
“นี่ท่าน…ฮึ่ย! ข้าจะกลับแล้ว!”
“หึๆ”พอคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาพลันอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
‘อา…ยามเขินอาย นางช่างน่ารักน่าเอ็นดูนัก..’
ตอนที่ 17 มาแล้วจ้าาาา ไรท์จะทยอยอัพไปเรื่อยๆ
ส่วนรีดท่านใดที่เพิ่งเข้ามาอ่าน ก็ขอต้อนรับด้วยความยินดี และขอให้สนุกกับนิยายจ้า
เหมือนเดิมขอฝากนิยายเรื่องแรก จอมทัพตื๊อรัก ด้วยจ้า ใครที่ต้องการในรูปแบบหนังสือหรือ e-book สามารถหาซื้อได้แล้วจากหลายเว็บไซต์
เพิ่มเติมนิยายในรูปแบบ e-book
https://www.mebmarket.com
www.chulabook.com
https://shopee.co.th
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว